บทที่ 1 - หมอหน้าเดียว
ในฐานะแพทย์ฝึกหัดอย่างจงกลนี พิทักษ์ หรือเจเจ วัย 23 ย่าง 24 ปี มีความฝันอยากเป็นหมอ อยากเป็นแพทย์เชี่ยวชาญด้านระบบประสาทเหมือนลูกชายของเพื่อนแม่ นั่นคือจุดเริ่มต้นของความฝัน เขาเป็นพี่ชายที่แสนดี แสนดีจริงๆ สำหรับจงกลนีแล้วเขมณัฎฐ์ ปองรักษ์ อาจารย์หมอหรือหมอเข้ม วัย 35 ย่าง 36 ปี ที่เคารพนับถือมาตลอด เขาเป็นอาจารย์ของเธอ แถมยังเป็นทายาทคนเดียวของโรงพยาบาลเอกชนชื่อดังขึ้นชื่อที่สุดในยุคนี้ และถือว่าเป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบประสาทมือหนึ่งของโรงพยาบาลก็ว่าได้ ถึงเขมณัฏฐ์จะยังหนุ่ม แต่ความสามารถของเขาไม่ได้ด้อยไปกว่าใครเลย ตั้งแต่เมื่อต้นปีที่แล้ว พ่อของเขาผู้ก่อตั้งโรงพยาบาลแห่งนี้ หัวใจวายเฉียบพลันจากไป เขาก็เข้ามาควบคุมบริหารอย่างเต็มตัว ทั้งๆ ที่ก่อนหน้าเป็นแค่ผู้ช่วยของพ่อเท่านั้น
ในฐานะอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญด้านสมองอย่างเขมณัฏฐ์แล้ว เขามองดูเด็กสาวมาตลอดตั้งแต่เล็กจนโต จนตอนนี้มาเป็นลูกศิษย์ของเขา ใบหน้าที่สวยตามวัย ผิวพรรณขาวอมชมพู ใบหน้ารูปไข่ทำให้เขามองเพลินทุกครั้งที่เจอหน้าหรือพูดคุยกัน จะเป็นแพทย์โดยสมบูรณ์ได้ต้องเป็นแพทย์ฝึกหัดหนึ่งปีหลังจากที่เรียนจบหลักสูตร 6 ปีแล้ว
“อาจารย์หมอคิดอะไรอยู่คะ” จงกลนีถามอาจารย์หมอที่ตัวเองเคารพตรงหน้าด้วยความสงสัย เมื่อตั้งแต่เข้ามาพบเขาในห้องทำงานส่วนตัว เขาก็เอาแต่จ้องมองเธอไม่พูดไม่จา ในกลุ่มนักศึกษาแพทย์ของเธอต่างตั้งฉายาให้เขาว่า ‘อาจารย์หมอหน้าเดียว’
“เย็นนี้ไปไหนไหม” เขาถามคนตัวเล็กทันที
“ก็มีไปดื่มกับเพื่อนๆ ที่เป็นแพทย์ฝึกหัดด้วยกันค่ะ อาจารย์หมอ...”
“อยู่ด้วยกันสองคนไม่ต้องเรียกอาจารย์ก็ได้ เราคนกันเอง” เขารีบเอ่ยแทรกตัดประโยคของคนตัวเล็ก ไม่ชอบเลยที่เธอเรียกห่างเหินแบบนี้
“ค่ะหมอเข้ม” ไม่เรียกอาจารย์หมอ แต่ยังคงเรียกเขาหมอเหมือนเดิม
“ทำไมไม่เรียกว่าพี่เข้มเหมือนสมัยเด็กๆ ล่ะ” เขาขัดใจนัก คนตัวเล็กยังคงดื้อเหมือนเดิม แม้จะไม่ได้เจอกันนานตั้งแต่เธอเรียนแพทย์ จนมาเจอกันเมื่อสองเดือนก่อน ตอนเห็นรายชื่อนักศึกษาจะมาฝึกงานด้วย เมื่อเห็นชื่อเธอ เขาดีใจมากที่จะได้เจอน้องสาวที่น่ารักของตัวเอง แต่พอมาเจอกัน การปฏิบัติตัวและการแสดงออกของเธอแตกต่างจากเมื่อครั้งยังเด็กจนเขารู้สึกน้อยใจและเสียใจอยู่ในที แต่ก็ทำอะไรไม่ได้
“ตอนนี้ดิฉันไม่ใช่เด็กแล้ว เห็นทีจะไม่เหมาะค่ะ อีกอย่างที่นี่ก็โรงพยาบาลด้วย”
เธอเอ่ยแก้ต่างให้ตัวเอง ใครจะอยากสนิทกับคนหน้าเดียวล่ะ ตอนไหนโกรธ ตอนไหนอารมณ์ดี แยกไม่ออกเลย เพราะตั้งแต่รู้จักกันมาและเห็นมาตลอด เขามีแต่หน้านิ่งๆ มองแล้วโลกมืดมนไปหมด ดูยังไงก็ไม่สดใส เสียดายหน้าตาหล่อเสียเปล่า แต่กลับยิ้มไม่เป็น
“แต่นี่ห้องทำงานส่วนตัวของพี่” เขาบอกเธอ
“ค่ะ แต่ก็ไม่ควรอยู่ดี เพราะเราไม่ได้สนิทอะไรกัน ว่าแต่หมอเข้มมีธุระอะไรกับดิฉันเหรอคะ พอดีจะรีบไปค่ะ เพื่อนๆ รออยู่”
“ไปดื่มร้านไหน”
“ก็ร้านนั่งชิลฟังเพลงเบาๆ แถวโรงพยาบาลเนี่ยแหละค่ะ” เธอบอก
“พักที่หอพักหรือคอนโด”
“ถามทำไมคะ”
“แม่พี่ให้ถาม จริงๆ วันนี้แม่ให้ชวนเจเจไปทานมื้อเย็นด้วยนะ ตั้งแต่เจเจมาเป็นแพทย์ฝึกหัดที่โรงพยาบาลของเรา เจเจก็ยังไม่ได้แวะไปหาแม่พี่เลย และน้ายาก็โทรมาย้ำให้พี่ดูแลเราด้วย” ไม่รู้ทำไมเธอถึงมาฝึกงานที่กรุงเทพฯ ทั้งๆ ฝึกงานที่ขอนแก่นก็ได้ แต่ทำไมถึงทำเรื่องขอมาฝึกที่โรงพยาบาลของเขาด้วย ข้อนี้เขาไม่เข้าใจหญิงสาวว่าทำไมต้องมาลำบากตัวคนเดียวในกรุงเทพฯ ด้วย
“ขอบคุณนะคะ แต่ดิฉันดูแลตัวเองได้ค่ะ และฝากบอกป้าขวัญด้วยนะคะ เดี๋ยวว่างๆ จะแวะไปหาที่บ้านค่ะ แต่วันนี้ไม่ได้จริงๆ เพราะนัดเพื่อนไว้แล้ว” เธอบอกอีกฝ่าย
“รู้ว่าโตแล้ว ดูแลตัวเองได้ แต่ยังไงก็ยังเป็นเด็กอยู่ดี พักที่ไหน” เขายังคงถามคำถามเดิม
“พักที่หอพักที่ทางโรงพยาบาลจัดให้ค่ะ”
“สะดวกสบายไหม”
“ก็โอเคค่ะ อยู่กับเพื่อนๆ” เธอบอกเขา
“มาอยู่คอนโดก็ได้นะ พี่มีคอนโดที่ไม่ได้อยู่ และอยู่ไม่ไกลจากโรงพยาบาลเราด้วย” เขาบอกเธอ
“ไม่ดีกว่าค่ะ ดิฉันอยากอยู่กับเพื่อนๆ ถ้าไม่มีอะไรแล้วขอตัวนะคะหมอเข้ม” พูดจบเธอก็ยกมือไหว้ลาอย่างคนมีมารยาทแล้วเดินไปยังประตูและเปิดออกจากห้องไป
เฮ้อ!
เขาเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ทำงานทันที มองเธอจนประตูปิดแนบสนิท ทำไมน้องน้อยที่เคยตามติดเขาสมัยเด็ก พอโตมาถึงได้เปลี่ยนไปแบบนี้ ตลอดเวลาที่เธอมาฝึกงานที่นี่ มาเป็นลูกศิษย์คอยเดินตามเขาตลอดการสอนที่มีเคสพิเศษๆ สำหรับนักศึกษาแพทย์ เขาพยายามมากเพื่อจะเข้าหาเธอ แต่เหมือนว่าจงกลนีจะสร้างกำแพงขวางทางเขาไว้
ตื๊ด! ตื๊ด! ตื๊ด!
“ครับแม่ขวัญ” เขาคว้าโทรศัพท์มากดรับสายพร้อมกรอกเสียงทุ้มสุภาพส่งไปในสาย
“ว่ายังไงหมอเข้ม เจเจจะมาทานข้าวเย็นกับเราไหม”
“เจเจมีนัดแล้วครับแม่”
“แม่อดเจอน้องเลย งั้นไม่เป็นไรลูก ว่าแต่เย็นนี้ลูกจะกลับมากินมื้อเย็นกับแม่ไหมหมอเข้ม หรือว่าติดเวรรึเปล่าเย็นนี้”
“วันนี้ว่างครับแม่ขวัญ อีกอย่างใครจะปล่อยให้แม่ที่รักกินข้าวเย็นคนเดียวครับ” คำพูดกับใบหน้าที่แสดงออกมาต่างกันลึกลับ ก็หน้าของเขายังคงนิ่งตึงเหมือนเดิม ทั้งๆ ที่คำที่พูดนั้นเป็นคำพูดเอ่ยแซวหยอกเย้าผู้เป็นแม่ แต่ก็นั่นแหละสำหรับเขาไม่ว่าจะเสียใจ โกรธ หรือมีความสุข เขาก็มีหน้าเดียว
“จ้า งั้นแม่สั่งเด็กทำของโปรดลูกไว้นะ”
“ครับแม่ ขอบคุณนะครับ”
“จ้า ขับรถกลับบ้านดีๆ นะลูก”
“ครับ เจอกันที่บ้านนะครับ” แล้วก็กดวางสายจากแม่ที่รักแล้วอ่านเอกสารตรงหน้าต่อเพื่อจะได้เซ็นอนุมัติงบประมาณให้เสร็จแล้วรีบกลับบ้านไปทานมื้อเย็นกับคุณแม่ที่รักของตัวเอง
หลังทานมื้อเย็นอิ่มแล้ว สองแม่ลูกก็นั่งอยู่ในห้องนั่งเล่น ลูกชายอ่านหนังสือเกี่ยวกับระบบประสาทเป็นผลงานวิจัยของต่างชาติ ส่วนแม่ก็ปักผ้าเช็ดหน้าเป็นงานอดิเรกเหมือนที่เคยทำทุกวันยามว่าง นอกจากปักผ้าเช็ดหน้าแล้วก็มีทำสวน ปลูกต้นไม้ จัดสวน
“หมอเข้ม” นางวางมือจากผ้าที่ปักอยู่เอ่ยเรียกลูกชายที่สนใจแต่หนังสือในมือ
“ครับแม่ขวัญ” เขาเงยหน้าขึ้นจากหนังสือมองไปยังแม่ที่นั่งอยู่โซฟาตัวยาวตรงข้ามตัวเอง
“เมื่อไหร่ลูกจะมีสะใภ้ให้แม่ และมีหลานให้แม่สักที แม่เหงานะหมอเข้ม”
“ยังไม่ถึงเวลาครับ”
“แล้วเวลาของหมอเข้มมันคือเมื่อไหร่ ตอนนี้สามสิบห้าย่างสามสิบหกแล้วนะลูก หมอเข้มแก่แล้วนะ”
นางล่ะเหนื่อยใจกับลูกชายจริงๆ ไปดูตัวก็หลายครั้งต่อหลายครั้ง แต่ก็ไปทำหน้านิ่งๆ มึนๆ ไร้อารมณ์ให้คู่ดูตัวหงุดหงิดหนีกลับตลอด จนตอนนี้ไม่มีใครกล้าให้ลูกสาวนัดดูตัวกับลูกชายของนางแล้ว แม้จะหล่อ โปรไฟล์ดี เพียบพร้อมทางฐานะด้านการเงินและงาน แต่ก็ไม่มีใครต้องการ เพราะเขมณัฏฐ์นั้นไร้ซึ่งอารมณ์ตอบสนองกลับสาวๆ ที่มาดูตัวทุกครั้ง พูดอะไรก็ไม่แคร์ใครจนสาวๆ หวาดกลัว ยิ่งหน้าดุๆ ด้วยแล้วยิ่งทำให้น่ากลัวไปอีก
“แล้วหน้าน่ะหัดยิ้มบ้าง หัดยิ้มในกระจกวันละครั้งสองครั้งบ้างก็ดีหมอเข้ม แม่ล่ะอยากรู้จริงๆ เลยยามลูกรักษาคนไข้ลูกหน้าไร้ความรู้สึกแบบนี้รึเปล่า”
“ที่ผมรักษามาก็มีตายแค่ไม่กี่คนนะครับ ที่เหลือคือรอดและมาขอบคุณผมด้วยซ้ำ” เขาตอบแม่พร้อมหยักยิ้มมุมปากเล็กน้อย นั่นแหละคือยิ้มของลูกชายนาง
“เฮ้อ! ชาตินี้แม่จะได้เห็นหน้าสะใภ้และหลานไหมเนี่ย ถ้าลูกยังเป็นแบบนี้ เพื่อนๆ ของแม่ก็ไม่กล้าส่งลูกสาวมาดูตัวด้วยแล้วนะหมอเข้ม”
“แม่จะรีบไปไหนครับ ผมยังไม่รีบเลย อีกอย่างตอนนี้ผมก็ดูๆ อยู่” เขาบอกแง้มเล็กน้อยในท้ายประโยค นั่นแหละทำให้ขวัญตาลุกจากโซฟาตัวที่ตัวเองนั่งไปนั่งเบียดลูกชายทันที
“ว่าไงนะหมอเข้ม หมอเข้มมีดูๆ แสดงว่าตอนนี้มีคนที่ชอบแล้วใช่ไหม”
“ก็ชอบมาตั้งนานแล้วครับ เพียงแต่รอเวลาเท่านั้น” เขาตอบเสียงเรียบ
“ลูกเต้าเหล่าใครหมอเข้ม” นางเขย่าแขนลูกชายด้วยความอยากรู้
“ถึงเวลาแม่ขวัญก็รู้เองแหละครับ รับรองแม่ขวัญจะรักเธอแน่นอน เดี๋ยวผมขอตัวก่อนนะครับ แม่ขวัญก็รีบนอนนะครับ พรุ่งนี้ต้องใส่บาตรให้พ่อแต่เช้า”
“ให้แม่เตรียมของใส่บาตรให้ด้วยไหมหมอเข้ม”
“ครับ หนึ่งชุดเหมือนเดิม”
“จ้า งั้นลูกไปนอนพักผ่อนเถอะ รีบๆ พาสะใภ้มาไหว้แม่เร็วๆ นะลูก ถ้าช้าแม่จะให้ลูกไปดูตัวกับลูกสาวเพื่อนแม่อีกนะ เห็นว่าเดือนหน้าจะกลับมาจากสเปน”
“ครับผม” เขาลุกขึ้นแล้วเดินออกจากห้องนั่งเล่นไป
ส่วนขวัญตาก็รีบลุกกลับมานั่งที่เดิมของตัวเองแล้วดูเวลา ตอนนี้เพิ่งจะสองทุ่มเองจึงโทรหาเพื่อนรักที่อยู่ขอนแก่นอย่างจรรยาทันที เพื่อพูดคุยปรึกษาเรื่องลูกชายหน้าเดียวของตัวเอง ก็นางกลุ้ม เครียด กลัวว่าลูกชายจะเป็นอีแอบ ตั้งแต่เป็นหนุ่มจนตอนนี้ยังไม่เคยมีแฟนหรืออาจจะมีแต่นางไม่รู้ก็ได้ แต่คือไม่มีแหละ เพราะไม่เคยเห็นเขมณัฏฐ์เล่าเรื่องผู้หญิงหรือพาผู้หญิงมาบ้านเลยสักครั้ง ทั้งๆ ที่หน้าตาก็ดี รูปร่างก็ดี ดีกว่าพระเอกดาราหนังเสียด้วยซ้ำ แต่กลับไม่สนใจผู้หญิงที่ไหนเลย ทั้งที่สาวๆ ที่นัดดูตัวนั้นก็สวยใช่เล่น แต่เจ้าลูกชายก็ทำเสียเรื่องทุกครั้ง เพราะบุคลิกหน้าตาของเจ้าตัวดีนั่นแหละที่ทำให้สาวๆ หนีไปหมด
หนึ่งอาทิตย์ต่อมา เขมณัฏฐ์เรียกจงกลนีมาพบที่ห้องทำงานและชักชวนสาวเจ้าไปทานมื้อเย็นด้วยกันที่บ้านอีกครั้ง ซึ่งเหมือนเดิม หล่อนปฏิเสธเหมือนทุกครั้ง และบอกว่าวันนี้มีนัดกับเพื่อนๆ แล้ว ไปไม่ได้จริงๆ จึงบอกเขาว่าควรจะนัดเธอล่วงหน้าสองหรือสามวัน ไม่ใช่มาชวนวันที่จะไป เพราะเธอไม่ได้ว่างตลอด
“งั้นไปร้านไหนกันวันนี้ พี่จะไปด้วย”
“อาจารย์หมอ...หมอเข้มจะไปด้วยเหรอคะ” เธอถามเขากลับ
“อือ...พี่จะไปด้วย ครั้งก่อนเห็นเมาจนกลับเองไม่ได้ พี่จะไปด้วย”
“เมาจำทางกลับบ้านไม่ได้ หมอเอ็มก็พามาส่งอยู่แล้วค่ะ หมอเข้มไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ” เธอบอก และคำพูดของจลกลนีก็ทำให้เขาขบกรามทันที สีหน้าที่เย็นชาไม่รับแขกอยู่แล้วยิ่งเพิ่มความน่ากลัวจนจงกลนีเผลอก้าวเท้าถอยหลังไปหนึ่งก้าว
“สนิทกัน”
“ค่ะ ก็สนิท เรียนด้วยกันตั้งห้าปี จนมาเป็นแพทย์ฝึกหัดด้วยกัน”
“เป็นแฟนกัน”
“เพื่อนค่ะ”
คำตอบที่ตอบกลับมาทันควันแบบไม่ต้องคิดนานของจงกลนีทำให้คนหน้าเดียวเผลอหลุดยิ้มมุมปาก แต่ก็ชั่วครู่เท่านั้นแล้วปรับมาเป็นนิ่งสงบเยือกเย็นเหมือนเดิม
“ดีแล้ว อายุยังน้อย อย่าเพิ่งมีเลยแฟน เดี๋ยวพี่จะไปด้วย พี่ก็อยากไปสังสรรค์เหมือนกัน”
“แต่...”
“พี่จะเลี้ยงเอง”
“งั้นตามที่หมอเข้มสะดวกเลยค่ะ”
“กี่โมง และร้านไหน”
“ร้านเดิมค่ะ เดี๋ยวบอกอีกทีนะคะ ตอนนี้ขอตัวไปทำงานต่อก่อนค่ะ”
“ได้ร้านแล้วมาบอกพี่นะ และรอไปพร้อมกันก็ได้ ให้เพื่อนไปรอที่ร้านเลย สั่งได้เต็มที่ วันนี้พี่เลี้ยง”
“แน่นอนอยู่แล้วค่ะ มีเจ้ามือทั้งที พวกเราจะกินให้หมดตัวเลย”
หึหึ
เขมณัฏฐ์ทำเพียงขำในลำคอแล้วมองคนตัวเล็กที่ยกมือไหว้ตัวเอง ยามจงกลนีไหว้ทีไร มันทำให้เขารู้สึกว่าเขาแก่กว่าเธอมาก แก่จนจะเป็นญาติผู้ใหญ่ แต่ไม่แน่นอน เขาไม่ต้องการเป็นญาติผู้ใหญ่และพี่ของเธอ เมื่อประตูห้องปิดแนบสนิท เขาก็เปิดลิ้นชักนำเอกสารที่เตรียมไว้ออกมาอ่านแล้วยิ้มออกมาคนเดียว
นภิสากับปภพมองเพื่อนที่เดินยิ้มหน้าบานมาหาก็อดสงสัยไม่ได้ว่าอารมณ์ดีอะไรมา ทั้งๆ ก่อนหน้านี้ตอนที่รู้ว่าอาจารย์หมอเรียกไปพบที่ห้องทำงานนั้นก็หน้าตึงบ่นไม่อยากไป แต่ขากลับมามันไม่ใช่ เหมือนกับว่าดีใจอะไรสักอย่าง
“ยิ้มมาเชียวนะยะ” นภิสาอดเหน็บเพื่อนไม่ได้
“แน่อยู่แล้ว วันนี้เรามีคนเลี้ยงแล้วนะ”
“ใครเลี้ยง” ปภพถาม
“ก็อาจารย์หมอ คงเครียดทำงานเยอะเลยอยากไปดื่มน่ะ”
“งั้นดีเลย ว่าแต่หลินเถอะ จะออกเวรกี่โมงวันนี้”
“สี่โมงก็ออกแล้ว แล้วเอ็มกับเจเจล่ะ กี่โมง” นภิสาถามกลับ
“ของเราบ่ายสอง” ปภพตอบ
“เราห้าโมงเย็น” จงกลนีตอบแล้วก้มหน้ามองเท้าตัวเอง
“งั้นแยกกันไปทำงานเถอะ เย็นนี้เจอกัน พรุ่งนี้วันหยุด ไม่เมาไม่เลิก” นภิสาตบไหล่เพื่อนทั้งสอง ทั้งสามเป็นเด็กต่างจังหวัดและเรียนที่เดียวกัน แล้วขอทำเรื่องมาเป็นแพทย์ฝึกหัดที่โรงพยาบาลแห่งนี้เอง
“แน่นอน พรุ่งนี้หยุดก็ต้องดื่มให้เมา” จงกลนีผู้คออ่อนที่สุดเอ่ยขึ้น
“เมาตั้งแต่แก้วแรกอย่ามาปากเก่งหน่อยเลย” นภิสาเอ่ยว่าเพื่อน
“ใครจะไปคอแข็งเหมือนหลินกับเอ็มล่ะ ไปแล้ว แล้วเจอกันนะ” แล้วเธอก็เดินจากไป ปภพกับนภิสาเองก็แยกไปทำงานของตัวเองต่อ
“อาจารย์หมอจะไปไหนคะ” ร่างเล็กรีบสาวเท้าวิ่งตามอาจารย์หมอที่เพิ่งเดินออกจากลิฟต์โดยสารทันที
“หมอกา” เขาหยุดเท้าแล้วหันไปหาเจ้าของต้นเสียงที่วิ่งกระหืดกระหอบมาหยุดยืนตรงหน้าตัวเอง
“ค่ะ อาจารย์หมอจะกลับแล้วเหรอคะ”
“ครับ” เขาตอบสั้นๆ
“คือกาว่าจะให้อาจารย์หมอช่วยดูฟิล์มเอกซเรย์ของผู้ป่วยให้หน่อยค่ะ เหมือนมีอะไรผิดปกติในสมอง เหมือนจะเป็นก้อนเนื้อ แต่ดูอีกมุมก็เหมือนไม่ใช่”
“อือ...งั้นก็เชิญที่ห้องทำงานครับ” สำหรับเขาแล้วชีวิตคนสำคัญเสมอ แต่ไม่ลืมกดโทรศัพท์ต่อสายหาจงกลนี
“ไปรอพี่ที่ร้านเลยนะ เดี๋ยวพี่ตามไป กับเพื่อนสั่งได้เต็มที่เดี๋ยวพี่ไปจ่ายเอง” เขาบอกคนปลายสายที่กดรับและรีบกดวางสายแล้วเดินนำหน้าแพทย์สาวรุ่นน้องของตัวเองไปทันที เพราะตอนนี้เรื่องของผู้ป่วยสำคัญไม่แพ้กัน
“อิหยังวะ ทันเว้าอยู่ตัดสายแล้ว” จงกลนียกมือเกาหัวพึมพำเป็นภาษาบ้านเกิดตัวเองออกมาอย่างไม่เข้าใจคนปลายสาย จนเพื่อนเดินมาตบไหล่นั่นแหละถึงสะดุ้งมีสติกลับมา
“อะไรของเธอเจเจ” นภิสาถามเพื่อน เพราะเห็นหน้าของเพื่อนที่ดูมึนๆ งงๆ แล้วก็อยากรู้ว่าเป็นอะไรอยู่
“อาจารย์หมอน่ะสิ โทรมาบอกว่าไปก่อนเลย และให้สั่งได้เต็มที่ จะตามไปทีหลัง”
“มาแน่นะ ไม่ใช่หลอกให้พวกเราสั่งเยอะๆ แล้วไม่มาจ่ายนะ”
“ไม่รู้สิ แต่พูดจบก็ตัดสายไปเลย แต่ไปกันเถอะ ไปรอเอ็มกันเถอะ เอ็มมาพอดี”
“สาวๆ แต่งตัวสวยกันจังนะวันนี้” ปภพชมสองสาวที่ยืนรอตัวเองอยู่หน้าตึกหอพักของทางโรงพยาบาล
“แน่นอน ใครจะโทรมๆ เหมือนตอนทำงานล่ะ” จงกลนีเอ่ย
“อือ...แต่เอ็มว่าเจเจสวยตลอดเวลานะ”
อะแฮ่ม!
“ชมฉันบ้างก็ได้เอ็ม ฉันอยู่ด้วยทั้งคน” นภิสารู้ว่าปภพนั้นคิดยังไงกับจงกลนี
“อือ...ไปกันเถอะ นี่ก็จะสามทุ่มแล้ว” แล้วทั้งสามก็พากันเดินไปยังร้านประจำของตัวเองที่อยู่ห่างจากโรงพยาบาลไม่ไกลนัก เดินไปไม่ถึงสิบนาทีก็ถึงร้านแล้ว