EPISODE 05 แอบกินกัน
เรามาถึงร้านตอนสองทุ่มครึ่ง ยัยคะนิ้งก็สั่งเครื่องดื่มมาเต็มโต๊ะจนฉันสงสัย สรุปคือนัดผู้ชายมาอีกแล้ว ฉันอยากจะบ้า
และผู้ชายคนนั้นก็คงหนีไม่พ้นพี่คิวเพราะช่วงนี้ยัยนิ้งมันคลั่งผู้ชายคนนี้เหลือเกิน
"ได้ยินว่าพี่เขามีแก๊งที่สนิทกันสี่คน แต่พวกผู้หญิงที่คุยกับเขาไม่เคยมีใครได้ไปเจอ เพราะพี่เขาจะไม่พาไป" ยัยนั่นยิ้มกรุ้มกริ่มไม่รู้เพ้อฝันอะไรอยู่ "ฉันว่าถ้าเป็นคนสำคัญกับพี่เขาต้องพาไปแน่"
"..." ฉันนั่งฟังยัยนั่นพูดไป ตั้งแต่เข้าร้านมาก็พูดถึงแต่เรื่องผู้ชาย นี่แหละยัยคะนิ้ง
"แกว่าพี่เขาเป็นไง"
"เจ้าชู้ นิสัยไม่ดี" ฉันตอบเสียงเรียบแล้วเล่นมือถืออย่างไม่ใส่ใจ
"ฉันว่าเขาไม่ได้เจ้าชู้นะ เหมือนยังไม่เจอคนที่ถูกใจมากกว่า" นั่นแหละเหตุผลของคนเจ้าชู้ มันหนักกว่าคนนอกใจเป็นล้านเท่าเพราะทำคนเสียใจมากกว่าหนึ่ง "แล้วเขานิสัยไม่ดีตรงไหน แกอคติกับเขาทำไมเนี่ย"
"ถามจริง ทำไมคนนี้แกจริงจังวะ แค่เล่นๆไม่ใช่เหรอ" เอาจริงๆฉันไม่อยากให้มันจริงจังกับคนนี้เลย ดูเขาไม่แคร์ใครซักคนนอกจากตัวเอง
"เอาจริงนะ ถ้าพี่เขายอมคบฉัน ฉันจะเลิกกับน้องบอล" คำตอบของคะนิ้งทำให้ฉันต้องเงยหน้าขึ้นมามองมันทันที
"แต่น้องบอลไม่เคยทำให้ให้แกเสียใจเลยนะ ตั้งสติหน่อย แกจะเลือกคนแบบพี่คิวแล้วทิ้งคนที่เขารักเดียวใจเดียวเหรอ" ฉันถามออกไปอย่างไม่เข้าใจ เชื่อมโยงหลายเรื่องเข้าหากันจนรู้สึกปวดตุบๆที่หัวไปหมด
"ฉันชอบความท้าทาย แต่บอลดูดจืดชืดว่ะ ไม่มีปัญหามาให้ตื่นเต้นเลย อีกอย่างก็อยู่ไกลกันอะฉันเหงา"
เหตุผลของพี่ดรีมก็คงเป็นแบบนี้ใช่มั้ย เพราะฉันมันจืดชืดและไม่น่าตื่นเต้น ฉันดูเป็นเด็กไม่รู้เรื่องรู้ราวสำหรับเขา
เพราะแบบนี้ไงฉันถึงเปลี่ยนตัวเองมาเป็นพวกชอบแต่ตัวแต่งหน้าหลังจากที่เราเลิกกันแต่ก็เหมือนเป็นการเปลี่ยนเพื่อตัวเองเท่านั้น เพราะยังไงเราก็กลับมาหากันไม่ได้อีกแล้ว
หรือต่อให้เขากลับมา ตอนนี้ฉันก็คงไม่คิดจะคบเขาอีก
"..." ฉันได้แต่เงียบไม่อยากพูดต่อ
ซักพักพี่คิวก็มานั่งกับเรามากับเพื่อนอีกคนชื่อวิลล์เพื่อนไม่ซ้ำหน้าเลย ผู้หญิงก็คงเช่นกัน
ฉันยกมือไหว้ตามมารยาทแล้วก้มเล่นมือถือเงียบๆคนเดียวอยู่อย่างนั้น ยัยคะนิ้งก็ชวนพี่สองคนคุยไปอย่างอารมณ์ดี
"น้องเตยนี่ติดมือถือเหรอ" เสียงของพี่คิวที่พูดถึงฉันทำให้ต้องเงยหน้าขึ้นไปมอง เขาก็ยิ้มแบบทุกครั้งส่งมาให้
"เปล่าค่ะ แค่ไม่มีอะไรทำ" ฉันตอบเสียงเรียบแล้วก้มเล่นมือถือต่อ
"มันอกหักค่ะพี่คิว วันนี้ไปเจอแฟนเก่ามากับเมียใหม่ เขาจะแต่งงานกันเดือนหน้า"
"คะนิ้ง" ฉันเรียกชื่อเพื่อนเพื่อเตือนสติ "เรื่องส่วนตัวไม่จำเป็นต้องเล่าให้คนนอกฟังหรือเปล่า"
"คนนอก..." ได้ยินเสียงพี่คิวหัวเราะออกมาในลำคอ ฉันจึงหันไปมอง เขาก็กอดอกอมยิ้มโดยที่มองลงไปยังแก้วของตัวเองเหมือนคิดว่าฉันเป็นตัวตลก
"คบกันนานเหรอ" พี่วิลล์ถามและหันมาสนใจฉันจากที่ตอนแรกสนใจดูถ่ายทอดสดฟุตบอลอยู่
"ห้าปีค่ะ" ยัยคะนิ้งตอบแทนฉัน
"แล้วเลิกกันทำไม ขอโทษนะที่ถามเยอะพี่จะได้ปลอบใจถูกวิธี" พี่วิลล์พูดแล้วหัวเราะออกมา
"เขานอกใจค่ะ" อันนี้ฉันตอบเองแล้วยิ้มออกมาเหมือนเป็นเรื่องธรรมไปแล้ว ทั้งที่เมื่อกลางวันยังแอบร้องไห้อยู่เลย
"เออพี่ก็ว่าแปลกนะ ทำไมคนเราถึงชอบทิ้งคนที่คบกันมานานแล้วเลือกคนที่แอบคุยกันไม่กี่เดือน บางทีก็คุยกันไม่ถึงเดือนด้วยซ้ำ" ฉันก็สงสัยอย่างที่พี่วิลล์สงสัยเหมือนกัน
แต่เหตุผลมันก็คงเหมือนกับยัยคะนิ้งตอนนี้
"คนเก่ามันไม่น่าตื่นเต้นมั้งคะ"
"แอบกินกันมันตื่นเต้นกว่าไง" คำพูดนี้ดังมาจากปากของพี่คิว เขาพูดแล้วปรายตามามองฉันพร้อมกับเหยียดยิ้มออกมา
เรื่องนี้มันก็กระทบทุกคนแหละ แต่ฉันกลับอยากเอาขวดเหล้าตรงหน้าทุบหัวเขาซักที พูดแบบนี้ต้องการจะสื่อถึงเรื่องฉันกับเขาอยู่หรือเปล่าเพราะสายตาและรอยยิ้มมันสื่อแบบนั้น
"พี่คิวคงชอบ แต่เตยไม่ชอบ" ฉันตอบเสียงเรียบแล้วเบือนหน้าหนีก็ได้ยินเสียงเขาหัวเราะในลำคอเหมือนเดิม
"ไม่ชอบจริง?"
"..." ฉันจ้องหน้าเขาแล้วก็หลบสายตาเจ้าเล่ห์นั่นกลับมา ถ้ามองกันนานกว่านี้ยัยคะนิ้งคงได้สงสัยแน่
"เพราะอย่างนี้ไงแกถึงโดนทิ้ง หัดทำตัวให้มันน่าตื่นเต้นมั่งดิ" ยัยคะนิ้งพูดแล้วยิ้มออกมาพร้อมกับมองพี่คิว
"..." ฉันพ่นลมหายใจออกมา ก่อนจะยกแก้วตัวเองขึ้นดื่มจนหมด "ฉันอยากกลับแล้ว แกอยู่กับพี่เขาได้ใช่มั้ย"
"เอ้า! เออๆตามใจแก กลับเองนะ" ยัยนั่นตอบแบบไม่ต้องคิด ฉันจึงลุกขึ้นแล้วหยิบกระเป๋าสะพายใบเล็กของตัวเองขึ้นมาถือไว้
"ลาค่ะ" ฉันบอกพวกพี่ๆแล้วยกมือไหว้ก่อนจะหมุนตัวกลับมา
ฉันไม่น่าออกมากับมันเลย มาเสียความรู้สึกเปล่าๆ
พอออกมานอกร้านได้ฉันก็เรียกรถแต่คงไม่กลับหอ หงุดหงิดแบบนี้ไปนั่งร้านเหล้าคนเดียวคงสบายใจกว่า
คิดได้ดังนั้นฉันก็นั่งรถมาอีกร้าน สั่งเครื่องดื่มเบาๆมานั่งดื่มคนเดียว ร้านนี้อยู่ห่างจากร้านเมื่อกี้ไม่ไกลนัก บรรยากาศสบายๆคนก็ไม่ได้เยอะเท่าไหร่เพลงก็เป็นแนวช้าๆเหมาะกับคนกำลังอกหัก
ซึ่งจะรวมฉันเข้าไปด้วยอีกคนก็คงไม่ผิด
"หวัดดี" ขณะที่กำลังนั่งมองนักร้องร้องเพลงเพลินๆเสียงของผู้ชายคนหนึ่งก็ดังขึ้นมา ฉันจึงหันไปมองแล้วยิ้มให้ตามมารยาท
"ค่ะ"
"มาคนเดียวเหรอครับ" เขาถามแล้วหย่อนตัวนั่งลงตรงข้ามฉัน "ขอนั่งชนแก้วด้วยได้มั้ย"
"อ่อ ได้ค่ะ" ฉันตอบแล้วยิ้มให้ ก่อนจะยื่นแก้วไปชนกับเขา
เราคุยกันไปซักพักก็ได้รู้ว่าเขาเรียนอยู่มหาวิทยาลัยเดียวกันอยู่ปีสามคณะเทคโนโลยีสารสนเทศ ชื่อ ซัน หน้าตาดีมากเหมือนกัน เขามากับเพื่อนซึ่งนั่งอยู่โต๊ะห่างจากฉันไม่กี่โต๊ะ
"แล้วเตยมายังไง"
ตอนนี้เกือบเที่ยงคืนแล้วฉันจึงขอตัวกลับ คิดเงินแล้วออกมาจากตรงนั้น
"เราเรียกรถมา"
"ให้ไปส่งมั้ย" เขาเดินตามออกมาแล้วถามขึ้น ตอนนี้เพื่อนๆของเขาก็แซวกันใหญ่
"ไม่เป็นไร เรากลับเองได้" ฉันบอกแล้วส่งยิ้มให้อีกเช่นเคย
"ไม่ได้เมาใช่มั้ย" คำถามเหมือนเป็นห่วง แต่ผู้ชายส่วนใหญ่ที่คิดไม่ดีก็ถามแบบนี้เหมือนกัน
"ไม่เมา" ที่จริงก็มีนิดหน่อยแต่ไม่ถึงกับไม่ไหว
"งั้นเราขอไลน์ได้ปะ"
ฉันพยักหน้าให้แล้วจึงรับมือถือของเขามากดไอดีตัวเอง กดแอดเพื่อนแล้วส่งกลับไป
"เราไปก่อนนะ" ฉันหันไปบอกเพราะรถที่เรียกมารับมาถึงพอดี
"โอเค ถึงหอบอกด้วยนะ"
จะว่าไปแล้วเขาก็ดูเป็นคนดีนะไม่ได้ดูเจ้าชู้อะไร ออกจะเป็นคนใจดีมากๆด้วย
"เตย!" ไม่ทันที่จะเดินไปถคงรถเขาก็เรียกชื่อฉันอีกครั้ง
"ว่า"
"โสดใช่มั้ย"
ฉันไม่ได้ตอบออกไปแต่พยักหน้าให้เขาแล้วยิ้มออกมาก่อนจะเดินขึ้นรถกลับหอตัวเอง
พอมาถึงหอก็เห็นรถของใครบางคนที่คุ้นๆตาจอดอยู่ แต่ไม่รู้ว่าจะใช่คนที่ฉันคิดไว้หรือเปล่าเพราะฉันดันจำป้ายทะเบียนรถเขาไม่ได้นี่สิ
ถ้าใช่เขาก็คงจะมาเอาของที่ลืมไว้ล่ะมั้ง แต่ขอภาวนาให้ไม่ใช่อย่างที่คิดไว้แล้วกันเพราะฉันเพิ่งจะบอกกับตัวเองไปว่าจะพยายามไม่เจอเขาแบบนี้อีก
แต่สุดท้ายก็ต้องเจออยู่ดีเพราะโลกตั้งใจเหวี่ยงผู้ชายคนนี้มาให้ฉันสินะหรือไม่เขาก็เหวี่ยงตัวเองเข้ามาหาฉัน
"นั่งรถกลับหอนานจัง" นี่คือคำทักทายของเขาและรอยยิ้มกวนๆแบบเดิม
"..." ไม่ตอบแกล้งไม่ได้ยิน
"คนขับเขาคงขับรถวนรอบเมืองเลยมั้ง" พี่คิวยังคงพูดต่อแล้วเดินตามฉันมาจนถึงหน้าห้อง
"แล้วพี่ยุ่งอะไร"
"เมียทั้งคนก็ต้องห่วงหรือป่าว"