๑.๑ ผู้ร้ายปากแข็ง
๑
ผู้ร้ายปากแข็ง
ปลายเดือนมกราคม...
สายลมยามเช้าที่โชยมาเพียงแผ่วๆ พัดใบไม้ให้แกว่งไกว บ้างปลิดปลิวพลิ้วลอยไปตามกระแสลมเย็นอันสดชื่น หมู่ไม้ดอกหลากชนิดพากันชูช่อบานสะพรั่งอย่างมีชีวิตชีวา น้ำค้างสีใสสะท้อนแสงแดดเป็นประกายพราวระยับตามยอดหญ้า ท้องฟ้าที่เคยเต็มไปด้วยเงาดำทะมึนของหมู่มวลเมฆฝนกลับเปิดโล่งสว่างสดใส บ่งบอกให้คนที่มาเยือนรู้ว่านี่คือบรรยากาศหน้าหนาวของภาคเหนืออย่างแท้จริง
รถสปอร์ตโฟร์วีลสมรรถนะสูงแบบเจ็ดที่นั่งกำลังแล่นออกจากสนามบินของจังหวัดเชียงใหม่ด้วยความเร็วคงที่ มุ่งหน้าไปยังอาณาเขตอันกว้างใหญ่ไพศาลของไร่ ‘วลีพรรณ’
ทัศนียภาพสองข้างทางนั้นประดับไปด้วยภูเขาลูกย่อมๆ และต้นส้มที่ปลูกเรียงรายกันอย่างเป็นระเบียบซึ่งตอนนี้กำลังออกผลดกจนกลายเป็นสีเหลืองอร่ามสุดลูกหูลูกตา
แสงแดดอ่อนยามเช้าเริ่มส่องแสงลงมากระทบกับน้ำค้างสะท้อนเป็นภาพระยิบวิบวับแวววาวหยอกล้อกับสายลมที่เคลื่อนไหวเพียงบางเบาเป็นระยะๆ คล้ายดั่งใครบางคนที่เคยฝากรอยยั่วเย้าเอาไว้บนเรียวปากนุ่มโดยที่เจ้าตัวไม่ได้เต็มใจสักนิด
มือเรียวบางดั่งหยกสลักของ ‘ยศสิตา’ ขยับไปกดปุ่มข้างๆ ประตู ลดระดับกระจกลงมาเพื่อสัมผัสกับอากาศบริสุทธิ์และความสดชื่นที่หาแสนจะยากนักในกรุงเทพบ้านของหล่อนอย่างเต็มที่ หญิงสาวยังคงตื่นเต้นและดื่มด่ำกับบรรยากาศอันแสนสวยงามตรงหน้านี้เช่นเดิม แม้นี่จะไม่ใช่ครั้งแรกที่ได้มาเยือนยังไร่แห่งนี้ก็ตาม... ดนัย อนุนาท พ่อของหล่อนมักจะพามาที่นี่เสมอตั้งแต่เด็กจนโต อย่างน้อยปีละหนึ่งครั้ง ยกเว้นปีก่อนที่แล้วไม่สามารถมาได้เพราะพิมลพร อนุนาท ผู้เป็นมารดาเสียชีวิตลงด้วยโรคหัวใจล้มเหลว
ปีนี้ยศสิตาอายุได้ 21 ปี แล้วพึ่งเรียนจบปริญญาตรีมาหมาดๆ และมีโครงการจะไปเรียนต่อปริญญาโทที่ประเทศฝรั่งเศส ส่วนน้องสาวคือ อริสรา อนุนาท อายุ 19 ปี ยังเรียนอยู่ในระดับมหาวิทยาลัยในชั้นปีที่สอง
เจ้าของไร่แห่งนี้คือ พ่อเลี้ยงภูชิต พิริยะกร เพื่อนสนิทของดนัยนั่นเอง
“สวยจังเนอะพี่เอย”
เสียงเจื้อยแจ้วใสๆ ของอริสราผู้เป็นน้องสาวดังขึ้นทำลายความเงียบและสมาธิของยศสิตาซึ่งกำลังจดจ่ออยู่กับทัศนียภาพที่สวยงามด้านนอก
เมื่อเห็นพี่สาวกำลังดื่มด่ำธรรมชาติ หล่อนจึงไม่รบกวนอีก
“คุณพ่อคะ” อริสาหันไปทางบิดา “ไร่นี้กว้างสักกี่ไร่คะ” หล่อนถามเพราะพื้นที่อันกว้างใหญ่ไพศาลแห่งนี้เกินกว่าจะคะเนด้วยสายตา
“เกือบๆ พันไร่ล่ะมั้ง” ดนัยตอบลูกสาวคนเล็กตามที่รู้มา
“โอ้โห!” สาวน้อยอุทานตาโตก่อนจะยิ้มให้ผู้เป็นพ่ออีกครั้ง “คุณลุงคงรักคุณป้ามากเลยใช่ไหมคะถึงตั้งชื่อไร่ตามชื่อของคุณป้า” อริสราถามต่อ
คนเป็นพ่อระบายยิ้มบางๆ “ใช่แล้วลูก”
การสนทนาของอริสราและบิดาดังขึ้นอย่างต่อเนื่องส่วนยศสิตายังจดจ่ออยู่กับสิ่งสวยงามภายนอกรถ ความงดงามของธรรมชาติเบื้องหน้าราวกับสวรรค์บนดินก็ไม่ปานพลางสะกดดวงตาสวยใสกลมโตจนแทบไม่อยากจะละสายตาไปแม้สักเสี้ยววินาที
อีกไม่ถึงสิบห้านาทีต่อมารถคันนั้นก็แล่นมาจอดบริเวณหน้าบ้านไม้ทรงไทยขนาดใหญ่ซึ่งทำจากสักทองทั้งหลัง รอบๆ นั้นถูกตกแต่งอย่างประณีตด้วยสวนหย่อมอันมีหมู่มวลดอกไม้ประดับนานาพรรณ
ดนัยผลักประตูรถให้เปิดออกและสาวเท้าดุ่มเข้าไปหาเจ้าของบ้านทั้งสามอันได้แก่ พ่อเลี้ยงภูชิต แม่เลี้ยงวลีพรรณ และภูริภัชร์ผู้เป็นลูกชายยืนรออยู่แล้ว
เพื่อนรักทั้งสองจะโผเข้ากอดกันทันทีด้วยความยินดีที่ได้พบกันอีกครั้ง
ยศสิตาก้าวตามลงมาก่อนจะชะงักฝีเท้าเมื่อเงยหน้าขึ้นประสานสายตากับดวงตาคมดุที่กำลังจ้องมองหล่อนอย่างพิจารณา ใบหน้าหวานละมุนตึงขึ้นทันที เปลือกตาที่ประดับไว้ด้วยขนตางอนกะพริบปริบๆ เพราะเกลียดจับใจ ไม่อยากแม้แต่จะมอง! แต่กระนั้นก็ยังอุตส่าห์สู้สายตากับเขาอย่างไม่คิดจะหลบ
ใบหน้าหล่อคมคร้ามของภูริภัชร์ยังคงเรียบเฉยเย็นชาราวกับปีศาจน้ำแข็ง โดยมีเพียงดวงตาเท่านั้นที่ฉายแววระริกไหวเป็นเชิงขบขันกิริยาของหญิงสาวด้วยความเคยชิน ไม่ว่าจะเจอกันกี่ครั้งหล่อนก็มักจะมีท่าทีแบบนี้ใส่เขาอยู่เสมอ
ชายหนุ่มกวาดสายตามองร่างอ้อนแอ้นราวกับกำลังประเมินส่วนเว้าส่วนโค้งไปทั่วเรือนกายหล่อน เริ่มตั้งแต่วงหน้ารูปไข่ที่ประดับด้วยนัยน์ตาดำขลับดุจนัยน์ตากวางป่า กลีบปากแสนรั้นรูปกระจับเป็นสีชมพูระเรื่อรับด้วยคางเรียวมน ศีรษะสวยได้รูปสไลด์ผมยาวสลวย อกอวบเต็มตึงซึ่งซ่อนอยู่ในเสื้อยืดตัวน้อยอวดโอ้ความโค้งนูนกลมกลึง เอวบางลาดลงไปยังสะโพกผายงอนงามดั่งบั้นท้ายเสือชีตาห์ และช่วงขาเรียวยาวซึ่งโผล่พ้นกระโปรงยีนส์สั้นสีซีดที่หล่อนใส่อยู่
วิธีการมองของเขาเล่นงานยศสิตาจนหน้าร้อนผะผ่าวและประหม่าขึ้นมาดื้อๆ หล่อนเกลียดสายตาแบบนั้นเป็นที่สุด เหมือนเขากำลังใช้สายตาแทนนิ้วเรียวยาวสัมผัสไปทั่วทุกอณูเนื้อของหล่อนในทุกครั้งที่มีโอกาส แล้วไหนจะแววตาสีน้ำตาลเข้มซึ่งเจือไว้ด้วยความยั่วเย้านั้นอีกล่ะ มันชวนให้เตลิดเพริดไปเสมือนมีมือเกร็งแกร่งสอดเข้ามาในใต้เสื้อของหล่อน ทะลุลอดบราเซียร์ แล้วคลึงขยำส่วนนั้นอย่างเร่าร้อน
...คุณพระช่วย!!...
หล่อนเอ่ยเพียงในใจ เหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดพรายขึ้นมาบนหน้าผากมนทันที และมีบางจังหวะที่นิ้วปลายนิ้วหัวแม่มือและนิ้วชี้ช่วยกันรุมจิก ตะบี้ตะบันบีบคลึงที่ปลายถันของหล่อน
“ไม่นะ!” ยศสิตาอุทานออกมาเสียงดังอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยเล่นเอาสายตาทุกคู่หันพรึบมองมายังหล่อนเป็นตาเดียวกัน วินาทีนั้นหญิงสาวจึงรู้ตัวว่าเผลอหลุดปากเพราะจินตนาการที่ไปไกลเหนือการควบคุม ใบหน้าหวานแดงแปร๊ดขึ้นด้วยความอับอาย
‘เป็นอะไรของเขา’ ภูริภัชร์ขมวดคิ้วผูกเป็นปมอย่างสงสัย หากยังคงวางฟอร์มเก๊กหน้าขรึมตามแบบฉบับของตน
“สวัสดีค่ะคุณลุง คุณป้า พี่พี”
เสียงของอริสาราวกับระฆังช่วยชีวิต ยศสิตาจึงกลบเกลื่อนสถานการณ์อันน่าขายหน้า รีบกระวีกระวาดตามน้องสาวเข้าไปทำความเคารพผู้ใหญ่ทั้งสองคนและกล่าวทักทายตัวต้นเหตุอย่างไม่อาจจะหลีกเลี่ยงได้
“ว่าไงเราสบายดีไหม” ภูริภัชร์กล่าวทักทายอริสราอย่างสนิทสนม เอื้อมมือมาขยี้ผมหล่อนเล่นอย่างเอ็นดูเช่นเคย
ภาพนั้นกระทบหัวใจที่กำลังวูบไหวส่งผลไปยังเปลือกตาคู่สวยต้องหลุบมองลงพื้นเพื่อบดบังรัศมีอันร้อนผะผ่าวของเปลวไฟริษยา ภูริภัชร์ให้ความเป็นกันเองสนิทสนิมกับอริสราแบบนี้มาตลอดแต่กับหล่อน... เขาจะวางตัวห่างเหิน เย็นชา ชวนให้ยะเยือกบาดลึกเข้าไปในขั้วหัวใจราวกับกำลังถูกโอบล้อมด้วยน้ำแข็งขั้วโลก
“สบายดีค่ะพี่พี... แล้วพี่พีล่ะคะ กลับมาจากเมืองนอกเอาพี่สะใภ้แหม่มมาฝากเอิงหรือเปล่า?” อริสราพูดสัพยอกอย่างสนิทสนมเช่นกัน
“ไม่มีหรอกครับ เพราะพี่ชอบสาวไทย” ตาคมเข้มชำเลืองมองไปทางคนหน้ามุ่ย
ยศสิตาเบ้ปาก แกล้งทำเป็นไม่ได้ยินแล้วเดินตามผู้ใหญ่ทั้งสามเข้าบ้านไป ทิ้งให้ภูริภัชร์และอริสราคุยกันอย่างถูกคอตามลำพัง
ชายหนุ่มแอบมองตามหลังคนที่เดินดุ่มๆ ไป กิริยาอันแนบเนียนไม่รอดพ้นจากสายตาอันช่างสังเกตของอริสราไปได้ หล่อนจับตามองท่าทีของยศสิตาและภูริภัชร์อยู่เงียบๆ รู้สึกถึงความพิเศษลึกๆ ที่ทั้งคู่มีให้กันได้ไม่ยากนัก คนหนึ่งเอาแต่ทำหน้าบึ้งใส่ ส่วนอีกฝ่ายก็ขยันยั่วอยู่ในที
“เอ... ถ้าอย่างนั้นใครกันน้อจะมาเป็นพี่สะใภ้ของเอิง” อริสราแสร้งถามต่อเมื่ออยู่กันสองคนพลางแอบหวังว่าถ้าได้ภูริภัชร์มาเป็นพี่เขยก็คงดีไม่น้อย
“ใจเย็นๆ สิครับสาวน้อย”
“ต้องบอกเอิงคนแรกเลยนะคะ” หญิงสาวคะยั้นคะยออย่างคนที่คุ้นเคยกันดี