บททดสอบจากใจ
กว่าหนึ่งสัปดาห์ที่ญาดาต้องใช้ชีวิตในค่ายทหาร เธอเริ่มคุ้นชินกับกลิ่นฝุ่นปนเหงื่อและเสียงคำสั่งที่ดังก้องไปทั่วลานฝึก เธอไม่ได้เป็นเพียง "แขก" ผู้มาเยือนอีกต่อไป แต่ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของระบบที่ซับซับซ้อนนี้ไปแล้วอย่างสมบูรณ์ ลายมือที่เคยสั่นเทาในวันแรกกลับมั่นคงขึ้น เธอจัดเรียงแฟ้มเอกสารได้อย่างรวดเร็ว พิมพ์รายงานสรุปผลการฝึกได้คล่องแคล่ว จนเจ้าหน้าที่ทหารคนอื่น ๆ เริ่มมองเธอด้วยสายตาที่เปลี่ยนไปจากความสงสัยกลายเป็นความยอมรับ
"คุณญาดาทำงานเร็วกว่าที่ผมคิดไว้มาก" นายทหารหนุ่มคนหนึ่งในฝ่ายบริหารกล่าวขึ้นในวันหนึ่ง ขณะที่เขารับแฟ้มจากมือของเธอ ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความประหลาดใจ
"ถ้าเป็นแบบนี้ คงไม่ต้องมีผู้กองมาคอยตรวจงานบ่อยๆ แล้วล่ะครับ" ญาดายิ้มเล็กน้อย ใบหน้าของเธอไม่ได้แสดงความดีใจมากนัก
เธอรู้ดีว่าความคล่องแคล่วที่เกิดขึ้นมานี้ มาจากแรงกดดันที่เธอได้รับจากผู้กองภูมินทร์ต่างหาก แรงกดดันที่บีบให้เธอต้องเก่งขึ้น ต้องปรับตัวเพื่อเอาชีวิตรอดในโลกที่เขาเป็นผู้ควบคุม เธอเงยหน้ามองไปที่โต๊ะทำงานของเขา ภูมินทร์นั่งอยู่ตรงนั้นกำลังก้มหน้าอ่านรายงานด้วยสีหน้าเคร่งขรึม เขายังคงเป็นผู้ชายที่เย็นชาและเข้าถึงยากเหมือนเดิม
แต่ในตอนนี้ญาดามองเห็นอะไรบางอย่างที่เปลี่ยนไปในตัวเขา ความเย็นชาไม่ได้มาจากความไร้หัวใจ แต่มาจากความรับผิดชอบอันยิ่งใหญ่ที่เขามีต่อคนในกองร้อยต่างหาก
ในขณะเดียวกัน ภูมินทร์เองก็เฝ้าสังเกตการณ์ญาดาอยู่ห่างๆ ตั้งแต่วันแรกที่เขาเห็นเธอ เขาคิดว่าเธอเป็นเพียงเด็กสาวที่เปราะบางและเอาแต่ใจ แต่ตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาได้เห็นความมุ่งมั่นที่ไม่ยอมแพ้ในตัวเธอ เธอปรับตัวเข้ากับระบบที่เขาคิดว่าไม่มีใครจะยอมรับได้ และทำมันได้ดีกว่าที่เขาคาดไว้มาก ใบหน้าของเขาอาจจะเรียบเฉย แต่ในใจเขารู้สึกประทับใจ ความรู้สึกที่ซับซ้อนบางอย่างเริ่มก่อตัวขึ้นในใจเขาอย่างเงียบๆ ความรู้สึกที่เขาไม่เคยอนุญาตให้มันเกิดขึ้นมาก่อนในชีวิต
บททดสอบที่ไม่คาดคิด
"วันนี้...พวกคุณต้องไปร่วมการฝึกภาคสนาม" เสียงของภูมินทร์ดังขึ้นในเช้าวันหนึ่ง
ทุกคนในห้องทำงานหันไปมองเขาด้วยความตื่นเต้น การฝึกภาคสนามเป็นงานที่สำคัญและท้าทายที่สุดงานหนึ่งของปี ญาดาเองก็รู้สึกตื่นเต้นเช่นกัน เธอรู้ดีว่านี่คือโอกาสที่จะได้เห็นโลกของเขาในมิติที่แท้จริง รถบรรทุกทหารหลายคันขับเคลื่อนไปตามถนนลูกรังที่เต็มไปด้วยฝุ่นควันและคราบดิน ญาดานั่งอยู่ในรถคันหนึ่งข้างๆ ภูมินทร์ กลิ่นอายของธรรมชาติที่เธอไม่คุ้นเคยทำให้หัวใจของเธอเต้นแรงขึ้นด้วยความรู้สึกที่คาดเดาไม่ได้ ภูมินทร์ไม่ได้พูดอะไรตลอดทาง เขาก้มหน้าดูแผนที่และเอกสารที่ใช้ในการฝึกอย่างตั้งใจ ท่าทีของเขาเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง เขาไม่ได้เป็นเพียงครูฝึกที่เฝ้าสอนในค่ายอีกต่อไป แต่เป็นผู้นำที่พร้อมจะรับมือกับสถานการณ์จริงได้ตลอด
เมื่อถึงที่หมาย ป่าทึบและภูเขาที่โอบล้อมรอบด้านก็เผยโฉมออกมา ต้นไม้สูงใหญ่ขึ้นปกคลุมไปทั่วทุกทิศทาง เสียงนกและแมลงดังระงม ญาดาลงจากรถพลางสูดหายใจเข้าลึกๆ ลมปะทะใบหน้าของเธอให้รู้สึกสดชื่นอย่างประหลาด ภูมินทร์เดินนำเธอไปที่ศูนย์บัญชาการภาคสนามซึ่งถูกตั้งขึ้นอย่างเรียบง่ายแต่มีประสิทธิภาพ ทุกอย่างถูกจัดวางอย่างเป็นระเบียบตามแบบฉบับของเขา
“คุณอยู่ในส่วนของการประสานงานและข้อมูล” ภูมินทร์เอ่ยกับญาดา เขาไม่ได้สั่งให้เธอไปนั่งที่โต๊ะทำงานในศูนย์บัญชาการ แต่กลับเดินตรงไปยังจุดที่มีการเตรียมการฝึกสมรรถภาพเบื้องต้น ญาดาตามเขาไปอย่างงงงวย
"คุณ...จะต้องเข้าร่วมการทดสอบสมรรถภาพเบื้องต้นกับนักเรียนทหาร" เขาหันมาพูดกับเธอด้วยน้ำเสียงที่ทำให้เธอต้องชะงัก ญาดาอึ้งไปครู่หนึ่ง ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยความสับสนและความประหลาดใจ
"แต่...ทำไมคะ หนูไม่ได้เป็นทหารนะคะ" เธอถามอย่างไม่เข้าใจ
“ผมไม่ได้บอกให้คุณเป็นทหาร แต่ถ้าคุณอยากเข้าใจโลกของผม คุณต้องลงมาสัมผัสด้วยตัวเอง” ภูมินทร์มองเธอด้วยสายตาที่ท้าทายแต่ก็แฝงความจริงจังเอาไว้
"ถ้าไม่เข้าใจแรงกายที่ต้องใช้ คุณก็ไม่เข้าใจว่าทำไมระบบนี้ถึงจำเป็น" ญาดาเงียบไปชั่วขณะ เธอรู้ดีว่าเธอไม่สามารถปฏิเสธได้ เธอสูดลมหายใจเข้าลึกๆ และพยักหน้าอย่างช้าๆ
"ค่ะ...หนูจะทำ"
การทดสอบสมรรถภาพเบื้องต้นเริ่มขึ้นด้วยการวิ่งระยะสั้น นักเรียนทหารวิ่งอย่างเต็มกำลังตามคำสั่งของครูฝึก ญาดาเองก็เริ่มวิ่งตามพวกเขาไปอย่างไม่ลดละ ภูมินทร์มองเธอด้วยสายตาที่นิ่งเฉย เขาเฝ้าดูทุกย่างก้าวของเธออย่างเงียบๆ
ในตอนแรกญาดาวิ่งได้ดีแต่เมื่อการฝึกดำเนินไปเรื่อยๆ เธอเริ่มรู้สึกเหนื่อยล้า ร่างกายของเธอไม่คุ้นชินกับการวิ่งในสภาพภูมิประเทศแบบนี้ เธอล้มลงกับพื้นด้วยความอ่อนเพลีย แต่เธอก็ไม่ยอมแพ้ เธอลุกขึ้นและวิ่งต่อไปอย่างไม่ลดละ เขาไม่เคยคิดว่าเธอจะมีความมุ่งมั่นมากขนาดนี้ เขามองเห็นความเจ็บปวดที่ซ่อนอยู่ในแววตาของเธอ แต่เธอก็ไม่ปริปากบ่นอะไรเลย
การทดสอบสมรรถภาพดำเนินไปเรื่อยๆ ญาดาต้องเจอกับอุปสรรคมากมาย ทั้งการวิ่ง การปีนป่าย และการยกของหนัก เธอทำทุกอย่างด้วยความมุ่งมั่นและไม่ยอมแพ้ แม้ว่าเธอจะเจ็บปวดและเหนื่อยล้าแค่ไหนก็ตาม ภูมินทร์มองเธอด้วยความแปลกใจ เขาเริ่มเห็นแล้วว่าเธอไม่ได้เป็นเพียงแค่เด็กสาวที่เปราะบางและเอาแต่ใจอย่างที่เขาเคยคิดไว้
การฝึกดำเนินไปอย่างเข้มข้น เสียงระเบิดปลอมและเสียงปืนดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่วป่า นักเรียนทหารวิ่งหลบกระสุนไปตามจุดที่กำหนดและซุ่มโจมตีศัตรูในจินตนาการตามแผนที่วางไว้ ญาดาทำงานอย่างไม่หยุดพัก เธอคอยจดบันทึกการเคลื่อนไหวของแต่ละกลุ่ม และรายงานผลให้ภูมินทร์ทราบอย่างรวดเร็ว
ในขณะเดียวกัน ความรู้สึกกดดันก็เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อเวลาผ่านไปแสงอาทิตย์เริ่มทอแสงอ่อนลง แสงสุดท้ายของวันกำลังจะลับขอบฟ้าไป ความเหนื่อยล้าเริ่มแสดงผลบนใบหน้าของนักเรียนทหาร ญาดาเองก็รู้สึกเหนื่อยล้าไม่แพ้กัน แต่เธอก็พยายามทำหน้าที่ของเธอให้ดีที่สุด ทันใดนั้นเอง เหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เสียงปืนดังแทรกขึ้นท่ามกลางความเงียบของป่า
“ปัง!”
ญาดาสะดุ้งเฮือกร่างของเธอเซถลาล้มลงไปกับพื้นเพราะแรงกระแทกของกระสุนฝึกที่พุ่งเข้ากลางลำตัว ความเจ็บแล่นปราดขึ้นทันทีแม้จะรู้ว่ามันไม่ใช่กระสุนจริง แต่แรงกระทบก็หนักหน่วงพอจะทำให้ร่างกายเธอชาวาบ
“คุณญาดา”
เสียงของภูมินทร์ดังขึ้นอย่างแข็งกร้าว เขาแทบจะพุ่งตัวเข้ามาทันที ร่างสูงทรุดลงนั่งข้างเธอในความรวดเร็วที่ไม่เคยเห็นมาก่อน แววตาของเขาแม้จะเข้มงวด แต่ก็เต็มไปด้วยความตื่นตัวและระแวดระวัง
“ขยับได้ไหม” น้ำเสียงหนักแน่นดังขึ้นพร้อมกับมือที่ตรวจบาดแผลบนลำตัวเธอ เขาตรวจอย่างรวดเร็วและมั่นคงตามแบบทหาร ไม่ใช่เพราะความอ่อนโยน แต่เพราะต้องประเมินสถานการณ์ทันที ญาดาพยายามฝืนพยักหน้าแต่ริมฝีปากสั่นเพราะความเจ็บ เธอกลั้นเสียงไว้ไม่ให้เล็ดลอด ภูมินทร์กดเสียงต่ำสั่งทันที
“เรียกรถพยาบาลภาคสนาม มาด่วน” นายทหารหลายคนรีบวิ่งออกไปตามคำสั่งทันที ส่วนคนที่ทำปืนลั่นยืนตัวแข็งสีหน้าซีดเผือดภูมินทร์ตวัดสายตาคมกริบไปที่เขา
“นี่คือสนามฝึก! ความผิดพลาดแบบนี้อาจหมายถึงชีวิตจริง นายคิดหรือว่ามีข้ออ้างได้ ”
เสียงของเขาหนักแน่นและเด็ดขาดจนบรรยากาศรอบข้างเงียบงัน นักเรียนทหารคนนั้นก้มหน้าลงทันทีด้วยความละอายและสำนึกผิด ภูมินทร์หันกลับมาหาญาดาอีกครั้ง สายตาเคร่งขรึมไม่เปลี่ยน
“คุณอยู่นิ่งๆ ห้ามฝืนลุกนี่คือคำสั่ง” ญาดาเม้มปากแน่นอยากบอกว่าไม่เป็นอะไรมาก แต่เมื่อสบตากับแววตาของเขาที่เต็มไปด้วยความเด็ดเดี่ยว เธอก็ทำได้เพียงพยักหน้ารับช้าๆ
รถพยาบาลสนามมาถึงในเวลาไม่นาน นายทหารสองคนรีบเข้ามาประคองร่างเธอขึ้นเปลสนาม ภูมินทร์เดินเคียงข้างตลอดทาง ควบคุมสถานการณ์ไม่ให้เกิดความโกลาหล
“จัดเส้นทางให้โล่ง ห้ามมีใครขวาง” เขาสั่งเสียงดังลั่น ทุกคำพูดคืออำนาจที่ทำให้เหล่าทหารรีบทำตามอย่างไม่มีข้อแม้
เมื่อถึงโรงพยาบาลสนามแพทย์รีบเข้ามาตรวจอาการทันที ญาดาถูกพยุงขึ้นเตียงเพื่อตรวจบาดแผล กระสุนฝึกไม่ได้สร้างบาดเจ็บร้ายแรง แต่ผิวหนังช้ำเป็นรอยชัดเจน
“เป็นแค่รอยฟกช้ำครับ ไม่มีอันตรายถึงขั้นต้องพักรักษายาวนาน” แพทย์รายงานหลังตรวจอย่างละเอียด ภูมินทร์พยักหน้ารับเขายืนตัวตรงอยู่ปลายเตียงแววตาคมยังจับจ้องไปที่เธออย่างระแวดระวัง ญาดาเอ่ยเสียงแผ่ว
“ไม่ต้องกังวลค่ะ หนูไม่เป็นอะไรมาก” แต่ภูมินทร์ขัดขึ้นทันที
“ในสนามฝึก ผมไม่ยอมให้ใครบาดเจ็บเพราะความประมาท ไม่ว่าจะเป็นทหารหรือนักเรียนฝึกทดลอง ทุกคนต้องปลอดภัย”
คำพูดนั้นแข็งกร้าวแต่ญาดากลับสัมผัสได้ถึงความจริงจังที่มากกว่าคำตำหนิ เขาพูดในฐานะครูฝึกที่รับผิดชอบต่อชีวิตทุกคนที่อยู่ภายใต้การดูแล เธอหลุบตาลงเล็กน้อยความเจ็บจางลง แต่กลับรู้สึกอุ่นวาบในใจ ภูมินทร์ยังคงยืนตรงไม่แสดงสีหน้าอื่นใด เขาหันไปกำชับแพทย์
“เธอต้องพักจนกว่าคุณหมอจะอนุญาต ห้ามกลับไปที่ค่ายก่อนเวลาเด็ดขาด ผมจะรับรายงานอาการทุกชั่วโมง” ญาดาอ้าปากเหมือนอยากค้าน แต่เมื่อเจอสายตาคมเข้มที่ส่งมา เธอก็ได้แต่กลืนคำพูดลงคอ
“ค่ะ...หนูจะเชื่อฟัง” เขาพยักหน้าเล็กน้อย ก่อนหันไปสั่งการกับเจ้าหน้าที่ต่อเหมือนไม่ได้สนใจความรู้สึกของเธอ แต่ในน้ำเสียงที่จริงจังนั้น แฝงไว้ด้วยบางสิ่งที่ญาดาไม่กล้าพูดออกมา ไม่ใช่ความอ่อนโยนของชายคนหนึ่ง แต่เป็นความรับผิดชอบของครูฝึกทหารที่จะไม่ปล่อยให้ใครต้องเจ็บเพราะอยู่ใต้คำสั่งของเขา
