บทที่ 1 ศิลปินกับครอบครัว 1
“ไม่รู้แหละ ยังไงพี่เอมต้องหาเงินมาให้ดรีมให้ได้สองหมื่น ดรีมจะไปซื้อตั๋วคอนเสิร์ตพี่แจวอน”
เสียงแหลมของสาวน้อยวัยยี่สิบปีตวาดพี่สาวในไส้เสียงดังลั่นบ้าน เพียงแค่ต้องการได้เงินไปซื้อตั๋วคอนเสิร์ตของศิลปินจากแดนเกาหลีชื่อดัง แจวองจุน นักร้องที่ตัวเองชื่นชอบ ไม่ใช่สิ น่าจะพูดว่าคลั่งไคล้มากกว่า
“ทำไมตั๋วคอนเสิร์ตมันแพงอย่างนี้ล่ะ เงินตั้งสองหมื่นภายในอาทิตย์หน้าพี่หาไม่ได้หรอกนะ ดรีมก็รู้ว่าพี่ไม่สบาย ไม่ได้ไปทำงานเกือบจะครึ่งเดือนแล้ว แค่กๆๆ”
เจ้าของใบหน้าซีดเผือดตอบกลับทันควัน รู้สึกตกใจไม่น้อยกับจำนวนเงินที่ลักษณาวดีน้องสาวคนสุดท้องร้องขอ ตามมาด้วยอาการไอจากอาการไม่สบายเรื้อรังมาร่วมสองสัปดาห์
“ค่าตั๋วแถวหน้ามันแค่ห้าพันห้าแต่ที่เหลือดรีมจะซื้อของขวัญไปให้พี่แจวอน จะให้ของกระจอกๆ ได้ยังไง นักร้องดังขนาดนั้น อีกอย่างดรีมไปพูดอวดเพื่อนไว้แล้วว่า จะซื้อแว่นตากันแดดยี่ห้อหนึ่งให้พี่เขา ราคาแค่หมื่นกว่าๆ เท่านั้นเอง ไม่รู้ล่ะ ยังไงพี่เอมก็ต้องลากสังขารไปทำงานเอาเงินมาให้ดรีมให้ได้ แต่ถ้าพี่เอมหาเงินมาให้ดรีมไม่ได้ดรีมจะไม่ไปเรียนเพราะดรีมอายเพื่อนๆ ที่ทำไม่ได้อย่างที่พูด”
น้องสาวคนเล็กจอมเอาแต่ใจและเห็นแก่ตัวพูดตะโกนใส่หน้าพี่สาวที่กำลังป่วยอยู่ สินีนารถถึงกับสะอึกกับวาจาของลักษณาวดี เธอรู้ดีว่าน้องสาวคนเล็กมีนิสัยอย่างไร บ้าคลั่งนักร้องเกาหลีคนนี้มากแค่ไหน แต่ไม่คิดว่าจะมากมายอย่างนี้ ครั้นจะปล่อยให้น้องสาวไม่ไปมหาวิทยาลัยตามที่ได้ประกาศกร้าวก็ทำไม่ได้ เป็นเพราะมารดาให้ความหวังกับลักษณาวดีมาก มากกว่าเธอกับน้องสาวคนกลางเสียอีก สินีนารถกลัวมารดาจะเสียใจจึงตกปากรับคำน้องสาวตัวดี
“ถ้าพี่หาเงินมาให้ดรีมได้ ดรีมต้องสัญญากับพี่นะว่าจะตั้งใจเรียนหนังสือ อย่าให้แม่ผิดหวังเหมือนพี่” เป็นอีกครั้งที่ประโยคอ้อนวอนร้องขอดังผ่านปากของคนไม่สบาย น้ำตาของผู้พูดเอ่อคลอ
“ดรีมสัญญา ตราบใดที่พี่เอมหาในสิ่งที่ดรีมต้องการได้ ดรีมก็จะเรียนให้จบเอาใบปริญญามาให้แม่ แต่ถ้าวันไหนที่พี่เอมทำตามที่พูดไม่ได้ล่ะก็ ดรีมจะไม่เรียน”
ลักษณาวดีพูดจบก็สะบัดหน้าเดินไปยังห้องนอนของตนเองทันที ปล่อยให้คนไม่สบายนั่งร้องไห้ด้วยความเสียใจ นับวันน้องสาวคนนี้จะหนักข้อขึ้นทุกวัน เอาแต่ใจตัวเองมากขึ้น หัวสูงและฟุ้งเฟ้อ แต่ทว่าก็ไม่มีใครในบ้านห้ามปรามได้ แม้แต่กมลรัตน์มารดาของเธอ
สินีนารถพยุงร่างของตัวเองลุกจากที่นอน ก่อนจะเดินโผเผไปยังห้องน้ำ จัดการอาบน้ำอาบท่าผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า แต่งหน้าให้ดูดีไม่ทรุดโทรมจนลูกค้าวิ่งหนี เพื่อเตรียมตัวไปทำงานหาเงินมาให้ลักษณาวดีใช้จ่ายฟุ่มเฟือย งานที่เธอยึดเป็นอาชีพประจำมาเกือบสามปี
หญิงขายบริการ...
ศิรินทิพย์เดินเข้ามาในซอยบ้านอย่างอารมณ์ดี วันนี้เธอได้ทิปจากการสระผมให้ลูกค้ามาเกือบเจ็ดร้อยบาท เธอจึงซื้อของโปรดของมารดา พี่สาวและน้องสาวมาฝากหลายอย่าง ยังคิดเฟ้อฝันว่าหากได้ทิปเช่นนี้บ่อยๆ มีเงินมาจุนเจือครอบครัว บางทีเธออาจให้สินีนารถเลิกทำอาชีพที่ทำอยู่ พอนึกถึงพี่สาวของตน เธอก็อดที่จะสงสารไม่ได้ หากไม่เป็นเพราะเสาหลักของครอบครัวเสียชีวิตไปเมื่อเจ็ดปีก่อน สินีนารถคงไม่ยึดอาชีพนี้หาเลี้ยงครอบครัว
เธอเองก็ไม่ใช่ว่าอยากจะทำงานในร้านเสริมสวยที่ทำอยู่มากนัก เพราะรายได้วันละสามร้อยบาท ไม่สามารถจุนเจือครอบครัวได้มากตามใจคิด แต่ที่ทนทำเพราะต้องการหาความรู้ อาศัยการยืนมองดูเขาตัดผม ตกแต่งทรงผม แต่งหน้าประมาณว่าครูพักลักจำ วาดฝันไว้ว่าสักวันหนึ่งเธอจะออกเปิดร้านทำผม และเมื่อถึงวันนั้นศิรินทิพย์จะให้สินีนารถเลิกอาชีพขายบริการ แล้วเธอจะเป็นคนเลี้ยงครอบครัว โดยมีพี่สาวที่แสนดีคอยช่วยอีกแรง
“แม่จ๋า วันนี้เตยซื้อผัดไทกุ้งสดเจ้าที่แม่ชอบมาด้วยนะจ้ะ เดี๋ยวเตยไปจัดใส่จานให้แม่นะจ้ะ”
ศิรินทิพย์ตรงไปหามารดาที่นั่งเย็บผ้าอยู่บนจักรเก่าๆ กมลทิพย์ละสายตาจากผ้าที่เย็บมามองถุงอาหารในมือของลูกสาวคนกลาง
“ซื้อมาทำไมเยอะแยะเลยสงสัยวันนี้ได้ทิปมาเยอะแน่ๆ”
“ใช่จ้ะแม่ วันนี้ได้มาตั้งเจ็ดร้อย”
เธอยังคาดฝันว่า หากได้เงินพิเศษอย่างนี้ทุกวัน รับรองได้ว่าเธอต้องมีเงินมากพอไปเรียนเสริมสวยเป็นเรื่องเป็นราว หาความรู้ใส่ตัวแบบถูกหลักเกณฑ์ ไม่ใช่ครูพักลักจำเหมือนกับที่ทำทุกวันนี้ แต่อย่างว่าเงินพิเศษนี้ใช่ว่าจะได้ทุกวัน บางวันก็ไม่ได้ บางวันก็ได้ร้อยสองร้อยบาท ห้าสิบบาทยังมี แต่จะมีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ให้เธอครั้งล่ะหนึ่งพัน แต่คนๆ นี้จะมาตัดผมที่ร้านเสริมสวยของลูซี่ เดือนละหนึ่งครั้ง เป็นลูกค้าหนุ่มที่ทำให้เธอใจสั่น เต้นระรัวได้ทุกครั้งที่สระผมให้เขา
“วันนี้ได้เยอะเชียว แล้วซื้อมาเผื่อดรีมด้วยหรือเปล่าเตย?” ศิรินทิพย์ยิ้มก่อนจะชูอาหารจานโปรดของน้องสาวให้คนที่ถามเห็น
“ซื้อสิจ้ะแม่ เตยจะลืมได้ไงกระเพาะปลาเพิ่มไข่จ้ะ”
“ถ้าอย่างนั้นเตยแกะใส่ชามไปให้น้องกินก่อนนะลูก น้องคงหิวเมื่อกี้เห็นบ่นๆ อยู่” กมลทิพย์ห่วงลูกสาวคนเล็กมากกว่าใครๆ หรือจะพูดว่ารักมากที่สุดก็ว่าได้ ไม่แปลกที่นางจะตามใจลักษณาวดีจนเคยตัว
“จ้ะแม่ เตยซื้อยำวุ้นเส้นมาให้พี่เอมด้วยนะจ้ะ พี่เอมบ่นมาหลายวันแล้วว่าอยากกิน”
“เอมไม่อยู่หรอกลูก ออกไปทำงาน”
กมลทิพย์พูดเสียงเบาลงเมื่อพูดถึงลูกสาวคนโต ไม่มีแม่คนไหนที่ทนเห็นลูกสาวมีอาชีพชายบริการ แต่เพราะเหตุผลบางประการที่ทำให้นางต้องทนฝืนใจยอมรับ
“อะไรนะจ้ะแม่ พี่เอมไปทำงาน” ศิรินทิพย์อุทานตกใจ “พี่เอมไม่สบายอยู่ไม่ใช่เหรอจ้ะแม่ แล้วจะไปทำงานได้ยังไง”
คนที่ตกใจเอ่ยด้วยความเป็นห่วงพี่สาว ก่อนจะรีบเดินเร็วๆ ไปในห้องครัวเล็กๆ จัดของโปรดของมารดาและน้องสาวใส่จาน แล้วจึงนำมาให้คนทั้งสอง
“นี่จ้ะแม่ผัดไท” ศิรินทิพย์วางจานที่ใส่ผัดไทลงบนโต๊ะไม้ข้างจักรเย็บผ้า “เดี๋ยวเตยมานะจ้ะ เตยจะไปดูพี่เอมที่ผับ”
ด้วยความเป็นห่วงพี่สาวเธอจึงตัดสินใจไปหาสินีนารถยังผับ วิคตรองค์ ผับหรูบนถนนรัชดา สถานที่ที่น้อยครั้งนักที่เธอจะเหยียบย่างไป