บทที่ 2: กลิ่นพุดซ้อน
วารีนั่งนิ่งอยู่ในรถยนต์ของตัวเองที่จอดอยู่หน้ารั้วเหล็กเก่าของโรงพยาบาลวังแก้ว ฟ้าครึ้มฝนข้างนอกคล้ายจะกลืนกินแสงแดดไปหมด เสียงของดร.หัตถายังวนเวียนอยู่ในหัว...
“บางคน... ฉลาดจนสามารถควบคุมจิตใจของหมอที่รักษาเธอได้”
เธอหยิบแฟ้มเวชระเบียนที่ขโมยสายตามาจากโต๊ะของดร.หัตถา... แล้วเปิดหน้าที่เขียนว่า “สา ม่วงมี”
วารีจ้องภาพถ่ายหญิงชราผมสีดอกเลา ผิวหนังเหี่ยวย่นแต่แววตายังดุดันอย่างไม่ยอมแพ้แก่กาลเวลา
ในช่อง “ชื่อแพทย์ผู้ดูแลหลัก”:
นพ. หัตถา วชิระเมธี
เธอหายใจไม่ทั่วท้อง...
ย้อนกลับไปเมื่อห้าปีก่อน
ห้องบำบัดจิตใจหลังตึกอายุรกรรม โรงพยาบาลจิตเวชวังแก้ว
ยายสาสวมชุดผู้ป่วยสีฟ้าอ่อนนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ กำมือแน่นจนเล็บจิกลงไปในผิวหนังของตัวเอง สายตาของเธอจับจ้องไปยังหมอหนุ่มที่นั่งตรงข้าม
ยายสา:
“หมอรู้ไหม... คนที่ทำร้ายฉันไม่ใช่ผัว ไม่ใช่ลูก... แต่เป็น ‘กลิ่น’”
ดร.หัตถา:
(จดบันทึกโดยไม่เงยหน้า)
“กลิ่นอะไรครับ?”
ยายสา (เสียงแผ่ว):
“กลิ่นพุดซ้อน... มันมาพร้อมเสียงกรีดร้องของยายฉันตอนถูกลากลงบ่อน้ำหลังบ้าน...”
มือของดร.หัตถาหยุดเขียน ดวงตาเริ่มเงยขึ้นช้า ๆ เขารู้ว่าผู้ป่วยรายนี้ไม่ธรรมดา
ยายสา (หัวเราะเบา ๆ):
“หมอก็ได้กลิ่นใช่ไหม... ฉันรู้ว่าหมอก็ ‘เคยอยู่ตรงนั้น’”
ปัจจุบัน
วารีหอบลมหายใจ กลับขึ้นไปที่ห้องเก็บเวชระเบียนโดยใช้บัตรของเจ้าหน้าที่เวรเปลี่ยนผลัด เธอค้นเอกสารเพิ่มเติม พบแฟ้มปึกใหญ่เขียนว่า "บำบัดด้วยกลิ่นบำบัด: รายงานโดย นพ.หัตถา ว."
ในหน้าหนึ่งของเอกสาร มีแผนภาพเชื่อมโยงระหว่าง กลิ่นพุดซ้อน กับ ภาวะหลงผิดชนิดหวาดระแวงรุนแรง โดยมีชื่อคนไข้เพียงคนเดียว... “สา ม่วงมี”
ในบันทึกท้ายสุด เขาเขียนไว้ว่า:
“เธอมีการตอบสนองต่อกลิ่นพุดซ้อนอย่างเฉพาะเจาะจงรุนแรง
แสดงอาการประสาทหลอนย้อนหลัง และสร้างโลกคู่ขนานที่ตนเองเป็นเหยื่อเสมอ
แต่ภายใต้ความหวาดกลัวนั้น กลับมีสัญญาณของการจัดวางแผนเชิงซ้อน
อาจไม่ใช่ผู้ป่วย แต่คือ ‘ผู้ควบคุมการทดลองนี้เสียเอง’…”
วารีพึมพำเบา ๆ คนเดียวในห้องเก็บเอกสาร
วารี:
“ดร.หัตถา... คุณไม่ได้แค่รักษาเธอ... คุณ ‘ให้พื้นที่’ กับเธอ
แต่คุณรู้ไหมว่าเธอใช้พื้นที่นั้นสร้างอะไรขึ้นมา...”
กลิ่นพุดซ้อนที่ติดเสื้อของเธอยังอวลอยู่ไม่จาง
เสียงฝนกระทบหลังคาเมทัลชีทของโรงพยาบาลวังแก้วเหมือนเสียงหัวใจที่เต้นแรงของวารี เธอก้าวฉับ ๆ ไปที่ห้องทำงานของดร.หัตถา ท่ามกลางสายตาเวรเปลี่ยนกะที่มองตามอย่างสงสัย
เมื่อเปิดประตูเข้าไป กลิ่นพุดซ้อนก็แตะจมูกทันที... คราวนี้มันไม่หอมอีกแล้ว — มันคือคำถาม คำเตือน และเงื่อนงำ
ดร.หัตถายืนอยู่ริมหน้าต่าง หันหลังให้เธอ เหมือนรู้ว่าเธอจะมา
วารี (เสียงนิ่ง):
“ฉันรู้แล้วค่ะ ว่าคุณกับยายสา... เคยเป็นมากกว่าแค่หมอกับคนไข้”
ดร.หัตถา (ไม่หันกลับ):
“เธอเล่าเรื่องบ้านหลังนั้นให้คุณฟังใช่ไหม?”
วารี:
“และคุณก็ปล่อยให้เธอใช้มันเป็นศูนย์กลางของความบิดเบี้ยว... คุณรู้ว่าเธออำพรางศพบุญจงใช่ไหม?”
ดร.หัตถา (หันมา ช้า ๆ):
“ผมไม่แน่ใจว่าคุณกำลังพูดถึงความจริง หรือสิ่งที่ยายสาสร้างขึ้นในหัวคุณ”
เขาเดินเข้ามาใกล้ เงาของเขาสะท้อนในแววตาเธอ
ดร.หัตถา:
“คุณวารี... คุณเป็นนักเขียน คุณรู้ดีว่าความจริงกับจินตนาการ บางครั้งมันต่างกันแค่การเลือก ‘จะเชื่ออะไร’…”
วารี:
“แต่บุญจิตกำลังจะถูกตั้งข้อหา — ในขณะที่คนที่น่าจะลงมือจริง ๆ คือผู้หญิงแก่ที่นั่งเงียบ ๆ อยู่ห้อง 4/1 ทุกวัน”
ดร.หัตถา (หลุบตาลง):
“ถ้าคุณอยากเห็นความจริง... ไปที่บ้านหลังนั้น”
บ้านเก่าหลังรั้วไม้ซีดจาง - ริมคลองบางน้ำเปรี้ยว
สองวันต่อมา วารียืนอยู่หน้าบ้านไม้สองชั้นที่ปกคลุมด้วยเถาวัลย์และต้นโมก ดอกขาวสะพรั่งร่วงเต็มพื้น เธอเปิดประตูไม้ที่ลั่นเอี๊ยดออกอย่างระวัง
กลิ่นพุดซ้อน... แรงกว่าที่ไหน ๆ
ภายในเต็มไปด้วยของเก่า โต๊ะเครื่องแป้งไม้ขาหัก ภาพถ่ายเก่า ๆ และ... ถังเหล็กใบหนึ่งที่วางไว้ในมุมห้อง
เธอเดินเข้าไปใกล้ มองเห็นฝาปิดที่มีรอยสนิม และทันใดนั้นเอง...
เสียงฝีเท้าข้างหลัง
เสียงหญิงชรา:
“ทำไมไม่เคาะประตูก่อนเข้าบ้านคนอื่น?”
วารีหันขวับ — ยายสายืนอยู่ตรงประตู ร่มไม้ไผ่ในมือ ชายกระโปรงปลิวไหว
ยายสา:
“หมอหัตถา... บอกเธอใช่ไหม?”
วารี (เบา ๆ):
“คุณฝังอะไรไว้ที่นี่?”
ยายสายิ้ม — รอยยิ้มที่วารีไม่แน่ใจว่าเป็นความบ้าหรือความภาคภูมิใจ
ยายสา:
“กลิ่นน่ะจ๊ะ... ฉันฝัง ‘กลิ่นของความลับ’ เอาไว้ในดินผืนนั้นนานแล้ว...”
แล้วเธอก็ชี้ไปยังหลังบ้าน — ดินบริเวณที่ปกคลุมด้วยต้นพุดซ้อนจำนวนมาก
ฝนยังคงโปรยปรายเบา ๆ เมื่อวารีหยิบจอบเก่า ๆ ที่พิงอยู่ข้างรั้วไม้ขึ้นมา
มือของเธอสั่นเล็กน้อย แต่สายตาแน่วแน่
ยายสาไม่ขัดขวาง ไม่แม้แต่จะขยับ — เธอเพียงแค่ยืนมองอยู่เงียบ ๆ
ราวกับนักบวชเฝ้าพิธีกรรมบางอย่างที่หลุดพ้นจากศีลธรรม
วารีเริ่มขุด...
ดินชื้นเปียกและมีกลิ่นเหม็นอับผสมกลิ่นดอกพุดซ้อนที่เข้มข้นจนแทบคลื่นไส้
1 ฟุต... 2 ฟุต...
เสียงโลหะกระทบดินแข็ง
จากนั้นคือเสียง ‘แตะ!’ เหมือนชนเข้ากับบางอย่าง
วารีหยุด
ใช้มือกวาดดินออกอย่างระมัดระวัง
แสงไฟฉายจากมือถือส่องไปเห็นวัตถุคล้ายโครงกระดูกบางส่วน
...แต่มันไม่ใช่โครงกระดูกธรรมดา
หัวกะโหลกของมนุษย์ ที่ยังมีเศษผมเก่าเกรอะกรังติดอยู่
เลือดในกายของวารีเย็นวาบ ร่างเธอแข็งค้างชั่วครู่
ยายสาเดินเข้ามาใกล้ พึมพำเบา ๆ เหมือนท่องบทสวด
ยายสา (เสียงสั่นพร่า):
“เขาไม่ควรแย่งร้านข้าวมันไก่ไปจากฉัน... มันคือสูตรของฉัน... มรดกของฉัน!”
วารี:
“คุณฆ่าบุญจงจริง ๆ... แล้วหมอหัตถา... เขารู้ใช่ไหม?”
ยายสาหัวเราะ
หัวเราะแบบที่ทำให้ลำคอวารีแห้งผาก
ยายสา:
“เขาคือคนเดียวที่ฟังฉัน... หมอหัตถากับฉัน... เราไม่เหมือนใคร เรารู้ว่าความเจ็บปวดของคนบางคน มันงอกเงยออกมาเป็นกลิ่น เป็นราก เป็นดอกไม้...”
เสียงไซเรนรถตำรวจกรีดผ่านอากาศก่อนที่วารีจะทันได้พูดอะไร
เธอมองไปที่หน้าจอโทรศัพท์
ก่อนหน้านี้เธอกดส่งพิกัดพร้อมภาพถ่ายซากโครงกระดูกให้กับร้อยเวรคนสนิทไว้แล้ว
ยายสายืนนิ่ง ยอมให้เจ้าหน้าที่ใส่กุญแจมือโดยไม่ขัดขืน
ก่อนขึ้นรถ เธอหันมามองวารี แล้วยิ้ม
ยายสา (พูดแผ่วเบา):
“ความจริง... ไม่ใช่ทุกคนจะอยากรู้มันจริง ๆ หรอกนะลูกเอ๊ย...”
วารีหันหลังให้บ้านหลังนั้น — บ้านที่กลบเกลื่อนเสียงกรีดร้องไว้ใต้ดอกพุดซ้อน
แต่คำถามหนึ่งยังไม่จางหาย
หมอหัตถา... เขาเป็นเพียงหมอที่ ‘ฟัง’ อย่างเงียบงัน หรือคือผู้ร่วมปลูกต้นพุดซ้อนด้วยกันแน่...?
หลังจากคดีของยายสาถูกส่งเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม วารีก็ยังรู้สึกว่าปริศนายังไม่จบ เธอไม่เชื่อว่าหมอหัตถาจะเป็นเพียงคนฟังเงียบ ๆ อย่างที่ยายสาอ้าง
วารีกลับมาที่โรงพยาบาลจิตเวชวังแก้วอีกครั้ง คราวนี้ในฐานะนักสืบเงียบ ๆ ของตนเอง
เป้าหมายของเธอคือ “ห้องเอกสารเก่า” — ที่เก็บแฟ้มประวัติของคนไข้และบุคลากรทางการแพทย์ย้อนหลังหลายสิบปี
ในห้องที่เต็มไปด้วยกลิ่นกระดาษเปื่อย
แสงจากหลอดไฟกระพริบ ๆ วาบขึ้น วารีกวาดตามองแฟ้มทีละเล่ม จนมาหยุดที่แฟ้มหนึ่งที่มุมปกมีรอยลบชื่ออย่างจงใจ
เธอลองเปิดดู พบว่าเป็นบันทึกเคสคนไข้เมื่อ 17 ปีก่อน
ชื่อในแฟ้ม:
“เด็กชายหัตถา ศิริโยธิน อายุ 14 ปี – ถูกส่งตัวเข้าโรงพยาบาลจิตเวช หลังพบว่า... พยายามเผาร้านอาหารของครอบครัว”
หัวใจวารีเต้นแรง เธออ่านต่อ...
สรุปการวินิจฉัยเบื้องต้น
ผู้ป่วยมีแนวโน้มเป็น Dissociative Identity Disorder ร่วมกับความเครียดจากครอบครัวที่มีประวัติการใช้ความรุนแรงทางจิตใจและร่างกาย
แม่ของเด็กเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุในครัวเรือน ขณะเดียวกัน เด็กชายให้การว่าเห็น “ร่างของแม่ในตู้กับข้าว” หลายครั้ง
บุคคลที่ดูแลเด็กคือผู้เป็น “ยาย” ชื่อ นางสา มณีรัตน์
วารีชะงัก...
“ยายสา”... คือผู้ปกครองของหมอหัตถาในอดีต
เธอรีบเปิดแฟ้มเวชระเบียนของบุคลากรในโรงพยาบาล และพบข้อมูลอีกชิ้นหนึ่งซ่อนอยู่ในแฟ้มของจิตแพทย์เก่า
บันทึกการบรรจุบุคลากรใหม่ระบุว่า:
“ดร.หัตถา ศิริโยธิน — เปลี่ยนนามสกุลใหม่หลังเรียนจบแพทย์ เพื่อปกปิดประวัติผู้ป่วยในช่วงวัยเด็ก”
วารีเอนตัวพิงเก้าอี้เหล็กเก่า ๆ ในห้องเก็บเอกสาร
ภาพทุกอย่างเริ่มชัด
ดร.หัตถาไม่ได้เป็นแค่หมอของยายสา... เขาเป็นเหยื่อของยายสาในวัยเด็ก และกลายเป็นผลผลิตของความบิดเบี้ยวที่ยายสาปลูกฝังมา
คำถามถัดไปที่ผุดขึ้นในหัวของเธอคือ…
“เขา... ยังเกลียดกลิ่นข้าวมันไก่อยู่หรือเปล่า?”
เพราะหากกลิ่นนั้นคือจุดเริ่มต้นของทุกอย่าง —
มันอาจเป็นเชื้อเพลิงสำหรับการ “ชำระล้าง” อีกครั้ง
