ความจริงยิ่งกว่าเจ็บ (30%)
กรุงเทพฯ สามปีต่อมา
หลังจากปานระพีและมหรรณพจดทะเบียนสมรสกันแบบงงๆ ทั้งสองก็ไม่ได้พบหน้ากันอีกเลย ต่างฝ่ายก็ต่างแยกย้ายไปใช้ชีวิตของตัวเอง เธอก็ยังคงเป็นนางสาวปานระพี พงศ์วิริยะสกุล เพราะไม่ได้เปลี่ยนคำนำหน้าจากนางสาวเป็นนาง และไม่ได้เปลี่ยนนามสกุล เพราะไตร่ตรองดีแล้ว ว่าการเปลี่ยนไปใช้นามสกุลของนักธุรกิจคนดังอาจทำให้เธอถูกเพ่งเล็งจากใครก็ตามที่ไม่หวังดี โดยเฉพาะเพื่อนร่วมคณะที่ต่างพากันไม่ชอบขี้หน้าเธอ เพียงเพราะเธอเก่งกว่า หัวสมองดีเยี่ยม อาจารย์สอนอะไรก็จำได้หมด แถมยังสอบเข้ามหา’ลัยได้ในวัยเพียงสิบหก และกำลังจะจบแพทย์ในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ด้วยเกรดเฉลี่ยสูงที่สุดของรุ่น ในวัยเพียงยี่สิบสองปี
หากแต่พวกเขาเหล่านั้นไม่รู้ความลับอยู่อย่างว่า การเป็นอัจฉริยะต้องแลกมาด้วยการไร้สังคม ปานระพีมีปัญหาในการปรับตัวเข้าสังคมกับเพื่อนวัยเดียวกันเป็นอย่างมาก เพราะเธอกลายเป็นตัวแปลกแยก เนื่องจากมีพัฒนาการในการพูดช้า จนครูหลายคนคิดว่าเธอเป็นเด็กออทิสติก แต่ในทางกลับกันพัฒนาการทางด้านสมองกลับก้าวกระโดด สามารถคิดคำนวณตัวเลขได้อย่างแม่นยำ และสนใจกายวิภาค ซึ่งเป็นศาสตร์แขนงหนึ่งของวิชาชีววิทยาเป็นพิเศษ ยังผลให้เธอคุยกับเด็กในวัยเดียวกันไม่รู้เรื่อง ทุกคนต่างมองว่าเธอเป็นตัวประหลาด บ้างก็ว่าเธอบ้า พากันล้อเลียนว่าเธอเป็นยัยหมูอ้วนจอมเอ๋อ หรือไม่ก็ยัยอ้วนปัญญาอ่อนบ้างล่ะ ไปๆ มาๆ ก็ไม่มีใครอยากเข้าใกล้ และเล่นด้วย
ฉะนั้นชีวิตในวัยเด็กของปานระพีจึงว้าเหว่ จากการขาดพ่อและแม่จนต้องมาอยู่สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า เหงาเพราะไม่มีเพื่อน แต่ยังดีที่สวรรค์เมตตา ส่งคุณหญิงแม้นมาศมาช่วยเยียวยาแผลใจ ท่านไปที่สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าอยู่บ่อยครั้ง พาบริวารทำอาหารไปเลี้ยงเด็กๆ กระทั่งวันหนึ่งท่านบังเอิญเห็นเธอถูกแกล้ง แล้วไปแอบซุกตัวร้องไห้อยู่คนเดียว ขณะที่เด็กคนอื่นๆ พากันทานอาหารกลางวันอย่างเอร็ดอร่อย ท่านจึงสอบถามความเป็นมาจากผู้ดูแลสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า และด้วยความเวทนาที่สุดท่านก็ทำเรื่องรับเธอไปเลี้ยงดู ให้ชีวิตใหม่แก่เธอ ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องที่อยู่อาศัย การศึกษาที่แวดล้อมไปด้วยเด็กอัจฉริยะที่คุยกับเธอรู้เรื่อง คอยพร่ำสอนให้เธอเรียนรู้ที่จะปรับตัวเข้ากับสังคม สอนให้รู้จักการใช้ชีวิตร่วมกับคนอื่น และรักเธอประดุจหลานสาวในไส้ จากปานระพี กล้าใจดี เด็กกำพร้าข้างถนนที่สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้านำมาดูแล จึงกลายมาเป็น ปานระพี พงศ์วิริยะสกุล อย่างเช่นทุกวันนี้
ปานระพีเคยถามท่านว่า ทำไมท่านถึงรับเธอมาอุปการะ ทั้งที่เด็กคนอื่นหน้าตาน่าเอ็นดู ช่างพูดจาออดอ้อนฉอเลาะ และน่ารักกว่าเด็กที่กลัวสังคมอย่างเธอหลายเท่า ท่านก็ตอบว่า
‘เธอหน้าตาคล้ายลูกสาวคนเล็กของท่าน’
ปานระพีอยากจะสอบถามเกี่ยวกับลูกสาวคนเล็กของคุณย่ามากกว่านั้น หากแต่ความใคร่รู้กลับต้องถูกพับเก็บไว้ ในวินาทีที่เหลือบไปเห็นแววตาเศร้าหมองที่ไม่เคยปรากฏ ซึ่งเธอก็เพิ่งประจักษ์เมื่อไม่นานมานี้ ว่าลูกสาวคนเล็กของท่านก็คือมารดาของมหรรณพ ผู้ซึ่งได้ล่วงลับไปเมื่อหลายปีก่อน การจากลาอันแสนเจ็บปวด เพราะทิฐิทำให้ไม่ยอมเปิดอกคุยกัน ไม่ยอมพบหน้า และไม่มีแม้กระทั่งคำล่ำลา คงทำให้คนแก่เสียใจและทุกข์ระทมไม่น้อยเลยทีเดียว
“ปานระพี!”
เสียงเรียกจากทางเบื้องหลังมิอาจทำให้ผู้ที่หมกมุ่นอยู่กับความคิดของตัวเองได้ยินแต่อย่างใด เจ้าของร่างอวบอั๋น ผิวขาวอมชมพู ผมดำขลับยาวไปถึงกลางหลัง ในชุดนักศึกษาตัวโคร่งจนร่างดูเทอะทะเหมือนคนอ้วน ยังคงนั่งนิ่ง และทอดนัยน์ตากลมโตภายใต้แพขนตางอนยาวไปข้างหน้าอย่างไร้จุดหมาย
“ยัยแพร! วู้! คุณหมอแพร!”
ครั้นแสร้งเรียกชื่อจริงไม่หัน คนที่ป้องปากตะโกนเพราะต้องการแกล้งเพื่อนก็เรียกเชื่อเล่นเสียงดัง ทว่าอีกฝ่ายกลับยังไม่มีทีท่าว่าจะขานรับ เห็นดังนั้นผู้มาใหม่จึงเดินหัวเราะคิกคักมาหาเจ้าตัวเสียเอง
“ใจลอยไปถึงไหนน้อคุณเพื่อน ลอยไปถึงโมนาโกไหมนั่น ถึงได้เรียกยังไงก็ไม่หัน”
น้ำเสียงกระเซ้าเย้าแหย่ปนเสียงหัวเราะคิกคักทำให้ผู้ที่จมปลักอยู่กับอดีตหลุดจากภวังค์ หันไปมองคนที่กำลังทรุดกายลงนั่งบนม้านั่งหินอ่อนตัวข้างกัน แล้วยิ้มอ่อน
“เธอเรียกเสียงเบาล่ะสิ เราถึงไม่ได้ยิน”
“เบาที่ไหน เราเรียกเสียงดังจะตาย แต่แพรมัวแต่ใจลอยเลยไม่ได้ยินต่างหากล่ะ” แม่สาววิศวะโยธาจอมเซี้ยวเอ่ยค้านด้วยท่าทางทะเล้น “ว่าแต่…ใจลอยไปถึงคนไกลจริงป่ะ”
“ใช่ที่ไหนกันล่ะ เราแค่คิดอะไรเพลินๆ เลยไม่ได้ยินเท่านั้นเอง”
เจ้าของใบหน้าหวานใสขยับปากรูปกระจับตอบหน้าตาย แต่พวงแก้มอิ่มกลับเป็นสีระเรื่อชวนมอง จนอีกฝ่ายต้องเอ่ยปากล้อเลียนอย่างอดใจไม่ไหว
“ฮั่นแน่! หน้าแดงแบบนี้ คิดถึงสามีอยู่แหงๆ อย่ามาโกหกเสียให้ยาก”
“ชู่ว์…อย่าเอ็ดไปสิยัยลูกจันทร์ เดี๋ยวใครก็มาได้ยินเข้าหรอก”
หลังจากหันซ้ายแลขวาด้วยสีหน้าไม่สบายใจ ปานระพีก็หันกลับมาปรามเพื่อนซี้ตัวแสบพร้อมทำหน้าดุใส่ แต่นอกจากจะไม่สะทกสะท้านแล้ว จันทร์เจ้าขา เมธาวดี สาวงามผู้ที่มีชื่อแสนจะหวานหยดย้อยเหมือนใบหน้า แต่ขัดกับบุคลิกห้าวๆ ลุยๆ อย่างสิ้นเชิง กลับอมยิ้มแก้มตุ่ย แถมยังทำท่าสูดปากแซว
“หูยยยย…ความปกป้องสามี”
“หยุดแซวเราได้แล้วน่า”
ทนไม่ไหวคนถูกล้อมากๆ เข้าก็ฟาดมือลงที่แขนอีกฝ่ายเบาๆ แต่แทนที่จะเลิกคุยเรื่องสามีของปานระพี สาวห้าวกลับวกมาถามไถ่ถึงสิ่งที่ยังค้างคาใจเสมอมา
“งั้นก็บอกเรามาเสียที ว่าแพรคิดยังไงถึงได้จดทะเบียนสมรสกับคุณมหรรณพ และเพราะอะไรถึงทำให้แพรตกหลุมรักเขามากมายถึงเพียงนี้” คำถามอย่างกรรมการนางสาวไทยมาเป็นชุด
“ก็บอกแล้วไง ว่าเขาเคยช่วยชีวิตเราไว้” ว่าที่คุณหมอสาวตอบอย่างยิ้มๆ แต่เป็นรอยยิ้มที่คนเฝ้ารอคำตอบอย่างใจจดใจจ่อเบ้หน้า ทำท่าเซ็งจัด
“โธ่! ตอบแบบนี้ไม่ตอบเสียยังดีกว่า”
“แล้วถามทำไมล่ะ”
“ก็เราอยากรู้นี่นา ว่าเขาช่วยแพรยังไง เล่าให้เราฟังมั่งดิ…นะๆๆ” ท้ายประโยคแม่สาวหน้าหวานดาวมหา’ลัยทำตาปริบๆ ออดอ้อน
“ไม่บอก เป็นความลับ”
“หูยยยย…ใจร้ายอะ”
จันทร์เจ้าขาเอ่ยเหมือนตัดพ้อ ทว่าสีหน้าและแววตายังคงสดใสและขี้เล่นไม่เปลี่ยน ด้วยรู้ดีว่าเรื่องบางเรื่องปล่อยให้มันเป็นลับเฉพาะคนสองคนน่ะดีแล้ว
“งั้นแลกกันไหม ลูกจันทร์เล่าเรื่องของลูกจันทร์กับเดือนคณะสัตวแพทย์ให้เราฟัง ส่วนเราก็จะเล่าเรื่องคุณหวงให้ลูกจันทร์ฟัง แลกกันแบบนี้ดีไหมจะได้แฟร์ๆ”
“ไม่เอา!” จันทร์เจ้าขาสวนกลับทันควัน แล้วทำหน้ามู่ทู่ “เราไม่อยากรู้แล้วก็ได้ แล้วแพรก็ห้ามเอ่ยถึงผู้ชายปากหมาที่เรียนหมอหมาอย่างนายนั่นให้เราได้ยินอีกเป็นอันขาด”
ท่าทางงอนๆ ปากยื่นๆ ทำให้ปานระพีหลุดขำออกมา
ข้อดีของจันทร์เจ้าขาที่ทำให้เธอคบกับอีกฝ่ายได้ยืดยาวพอๆ กับไคลีย์ มิลเลอร์ ซึ่งฝ่ายหลังอยู่ประเทศอังกฤษ ก็คือทั้งคู่เข้ามาอย่างมิตร ไม่มีพิษมีภัย ไม่มองถึงอดีตที่ผ่านมา ไม่ก้าวก่ายความเป็นส่วนตัวมากเกินไปจนกลายเป็นล้ำเส้น เคารพในการตัดสินใจ และที่สำคัญคือยอมรับในสิ่งที่เธอเป็น
เพื่อนรักทั้งคู่มักถามไถ่ถึงเรื่องของมหรรณพอยู่บ่อยครั้ง ซึ่งทุกครั้งปานระพีก็จะตอบด้วยถ้อยคำเดิม ว่าเขาเคยช่วยชีวิตเธอไว้ แต่ไม่ยอมขยายความว่าช่วยยังไง นั่นเพราะเธออยากจะเก็บความรู้สึกพิเศษในช่วงเวลานั้นไว้แต่เพียงผู้เดียว ช่วงเวลาที่เธอมองว่าเขาเป็นฮีโร่ เป็นเทพบุตรขี่ม้าขาว ยังคงตราตรึงอยู่ในห้วงความรู้สึกไม่เสื่อมคลาย ถึงแม้ว่ามันจะไม่ได้มีความหมายอะไรต่อเขา แต่สำหรับเธอแล้วมันมีค่ายิ่งกว่าอะไรทั้งหมด
“หยุดใจลอยถึงสามีได้แล้วจ้า โน่นแน่ะ…ตัวจริงเขามาแล้ว”
จันทร์เจ้าขาว่าพลางบุ้ยปากไปทางถนน แต่แทนที่จะสนใจปานระพีกลับก้มลงหยิบหนังสือตรงหน้ายัดใส่กระเป๋าสะพายข้างใบสีขาว ขณะขยับปากนุ่มเอ่ยตอบโต้
“อย่ามาโกหกเสียให้ยาก เมื่อเช้าคนที่บ้านก็แกล้งเราทีนึงแล้ว อยู่ๆ ก็โทรมาบอกว่าคุณหวงจะมารับเรา เขาหายไปตั้งสามปี อยู่ๆ จะโผล่มารับเราถึงมหา’ลัยเนี่ยนะ มันนอนเซ็นซ์ที่สุด”
“เราว่าคนที่บ้านแพรคงพูดจริงแหละ โน่นแน่ะ…เขามาจริงๆ”
ทันทีที่เงยหน้าขึ้น แล้วหันไปทางที่เพื่อนพยักพเยิด ปานระพีก็นิ่งอึ้ง ดวงตากลมโตเบิกโพลง นั่งตัวแข็งทื่อ แต่ที่ร้ายสุดคือหน้าอกข้างซ้ายของเธอเต้นกระหน่ำอย่างบ้าคลั่ง
ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปีมหรรณพก็ยังคงมีผลต่ออัตราการเต้นของหัวใจเสมอ ร่างสูงสง่าในชุดเสื้อยืดคอกลมสีขาว สวมทับด้วยแจ๊กเกตหนังสีดำ และกางเกงยีนส์ ยืนกอดอกพิงรถสปอร์ตสีดำทะมึนด้วยท่าทีสบายๆ ทว่ากลับหล่อกระชากใจ ดึงดูดให้เธอละสายตาไปไหนไม่ได้
“หูยยยยย…ตะลึงในความหล่อของสามีจนอึ้งไปเลยเหรอจ๊ะคุณเพื่อน”
เสียงแซวทำให้คนที่เอาแต่นั่งนิ่งอึ้งได้สติ ปานระพีหันไปค้อนให้เพื่อนซี้หนึ่งที