ตอนที่ 5
ตอนที่ 5
สามวันถัดมา
ภายในสนามบินสุวรรณภูมิ อดีตนักธุรกิจหนุ่มใหญ่ และคนรับใช้ คนสวนและคนขับรถได้มายืนรอคุณหนูคนเล็กของตระกูลอิทธิเชษฐ์อย่างใจจดใจจ่อ ครู่ต่อมาจึงได้แลเห็นหญิงสาวรูปร่าง บอบบางเดินตรงมาและไม่กี่วินาทีต่อมาปิ่นมุกก็มาหยุดอยู่ตรงหน้าบิดา หญิงสาวยกมือไหว้บิดาพร้อมรอยยิ้มสดใสที่คนเป็นพ่อเห็นคราใดก็มีความสุขเมื่อนั้น จากนั้นสาวน้อยรูปร่างบอบบางก็หันไปไหว้และทักทายคนอื่นๆ อย่างไม่ถือตัว ทำเอาบรรดาคนรับใช้ต่างปลาบปลื้ม ปิ่นมุกเหลือบสายตามองหามารดา พี่ชายและพี่สาวฝาแฝดก็หน้าเสียไปเมื่อมองไม่เห็นบุคคลทั้งสามก่อนที่ เจ้าตัวจะหันมายิ้มหวานให้บิดาแทน
“ลูกปิ่น” คุณกิตติขานเรียกชื่อบุตรสาวที่ถูกลืมของครอบครัวด้วยเสียงสั่นเครือ เพราะท่านเข้าใจความรู้สึกของบุตรสาวคนเล็กดีปิ่นมุกน้ำตาซึมและโผเข้าสู่อ้อมกอดของบิดา เธอกอดท่านด้วยความคิดถึง
“คุณพ่อสบายดีนะคะ ปิ่นคิดถึงคุณพ่อมากที่สุดเลยค่ะ” เสียงหวานใสคล้ายน้ำทิพย์ชโลมรดใจคนเป็นพ่อให้ระบายยิ้มแบบที่คนรับใช้ไม่ได้พบเห็นมานานมากแล้วก็พลอยยิ้มดีใจไปด้วย
“สบายดี...พ่อสบายดี แล้วลูกล่ะเป็นยังไงบ้าง แล้วไหนล่ะ มีหนุ่มผมทองตามด้วยหรือเปล่าลูก” คุณกิตติกล่าวสัพยอกบุตรสาวคนเล็กนิสัยแสนดีของตน พลางยกมือลูบศีรษะเล็กอย่างอ่อนโยน คิดไปว่าหากปิ่นสุดาอ่อนหวาน น่ารัก ได้สักนิดของปิ่นมุกก็คงดีและท่านคงมีความสุขมากที่สุด
“แหมคุณพ่อก็ ปิ่นชอบหนุ่มไทยลูกผสมต่างหากล่ะคะ ไม่ได้ชอบฝรั่งเสียหน่อย อย่ามาแซวปิ่นน่า เดี๋ยวปิ่นงอนจริงๆ ด้วย” ปิ่นมุกยิ้มแก้มปริก่อนตอบบิดาด้วยเสียงกระเง้ากระงอด
“แล้วพ่อจะไปรู้หรือลูก บ้างทีลูกปิ่นอาจเปลี่ยนใจไปชอบพวกฝรั่งมังค่าแล้วก็ได้” คุณกิตติพูดเย้า พลางโอบบุตรสาวเดินทางออกจากสนามบินเพื่อพากลับบ้านหลังใหญ่ที่ปิ่นมุกจากไปหลายปี จนเมื่อพากันมาถึงรถที่จอดรออยู่สองพ่อลูกก็พูดคุยกันด้วยความคิดถึง ร่วมชั่วโมงเศษก็มาถึงคฤหาสน์หลังใหญ่ ปิ่นมุกเดินออกจากรถมายืนมองและสำรวจบ้านหลังใหญ่ด้วยความคิดถึง ที่ถึงแม้จะดูเก่าไปมากแต่ก็ยังสวยเช่นเดิม
“เข้าบ้านกันเถอะลูกปิ่น ครอบครัวของเราจะได้ทานอาหารกลางวันด้วยกัน”
หลังจากบิดาพูดจบ ปิ่นมุกก็หวนให้นึกถึงอดีตที่เธอไม่มีโอกาสได้เข้าไปทานอาหารร่วมกับครอบครัวเลยหรือจะมีโอกาสครั้งใด มารดาก็จะชักชวนให้พี่ปัดและพี่เปรมออกไปหาอะไรทานข้างนอกตลอด ราวกับว่าท่านรังเกียจที่มีเธอนั่งร่วมอยู่ด้วย จากนั้นเธอก็ถูกมารดาห้ามให้มาร่วมโต๊ะอาหารด้วย เธอไม่รู้หรอกว่าบิดาจะรู้เรื่องนี้หรือไม่ เพราะตัวท่านจะออกไปทำงานแต่เช้าและกลับมาอีกครั้งก็ดึกดื่น
“แต่ว่า...” บุตรสาวคนเล็กก้มหน้าอ้ำอึ้งน้ำตาซึม ไม่กล้าพูดต่อ
“พ่อรู้หมดแล้วลูกปิ่น ต่อไปนี้ปิ่นไม่ต้องหลบออกไปทานในครัวอีกแล้วลูก เพราะเราจะทานอาหารร่วมกัน”
คุณกิตติเอ่ยปลอบบุตรสาวคนเล็กด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ยกมือลูบศีรษะเล็กไปมา เพราะท่านเข้าใจความรู้สึกของลูกคนนี้ดีแต่ต่อจากนี้ไป ปิ่นมุกต้องพบแต่ความสุข เมื่อตนหวังจะให้ปิ่นมุกลงเอ่ยกับลูกชายของเพื่อนรัก ชายหนุ่มผู้มีหน้าที่การงานที่ดีและยังกตัญญูต่อบิดามารดา ซึ่งท่านก็หวังจะฝากฝังบุตรสาวคนเล็กให้อธิปเป็นคนดูแล
“แต่คุณแม่คงไม่ยอม” ปิ่นมุกค้าน เพราะหากการที่เธอจะเข้าไปร่วมโต๊ะทานอาหารกับครอบครัว แล้วเป็นเหตุให้บิดามารดาต้องทะเลาะกัน เธอขอเข้าไปทานในครัวเช่นเดิมเสียดีกว่า
“ต้องยอมสิลูกปิ่น เพราะปิ่นก็คือลูกสาวคนหนึ่งของครอบครัว เราเข้าบ้านกันเถอะลูกปิ่น ลูกจะได้ไปอาบน้ำพักสักหน่อย แล้วค่อยลงมา ทานมื้อกลางวันด้วยกัน” พูดจบก็ยิ้มเอ็นดูบุตรสาวคนเล็ก แล้วหันไปทางสาวใช้สองคนพร้อมทั้งสั่งให้เอากระเป๋าสัมภาระต่างๆ ตามปิ่นมุกขึ้นไป จากนั้นคนเป็นพ่อก็เดินเข้าไปพักผ่อนที่ห้องนั่งเล่นโดยมี คุณปภาดาและปิ่นสุดาคอยมองอยู่
