บทที่ 4 โรคประหลาดหรือบุรุษตัดแขนเสื้อ (1/2)
สามปีผันผ่าน แคว้นเฉินเป่ยอยู่ในช่วงเปลี่ยนแปลงรัชศกใหม่ รัชทายาทหมายช่วงชิงตำแหน่งฮ่องเต้จากบิดาของตน ทว่าองค์ชายรองกลับเป็นผู้ปกป้องบัลลังก์มังกรเอาไว้ กระนั้นฮ่องเต้เวินเจียเหลียงกลับทนพิษบาดแผลจากคมดาบอาบยาพิษได้ไม่กี่วันก็สิ้นพระชนม์ลง เมื่อรัชทายาทไม่เถรตรงต่อตำแหน่งหน้าที่ การก่อกบฏหนนี้จึงถูกลงทัณฑ์ด้วยโทษสูงสุด คือประหารเท่านั้น ตำแหน่งฮ่องเต้คนถัดไปจึงมิมีผู้ใดเหมาะสมมากไปกว่าองค์ชายรองอีก
แม้องค์ชายรองยืนกรานไม่ขอขึ้นครองบัลลังก์และต้องการส่งมอบแด่องค์ชายสาม ทว่าบรรดาขุนนางกลับคัดค้านหัวชนฝา เช่นนั้นแล้วผู้ที่มีคุณธรรมสูงส่งอย่างองค์ชายรองจึงจำใจต้องแบกภาระอันหนักอึ้งนี้ไว้บนบ่า
กาลเวลามิเคยคอยท่า องค์ชายสามเกิดประชวรโดยไร้สาเหตุท้ายที่สุดก็สิ้นพระชนม์ตามบิดา เวินเยี่ยนเฉินทุกข์ระทมอย่างหนักหน่วง เขาสูญเสียคนที่ตนรักไปทั้งหมด แทบนับได้ว่าเหลือตัวคนเดียว
เวินเยี่ยนเฉินมักใช้โอกาสจากกรณีสวรรคตของฮ่องเต้องค์ก่อนเป็นข้ออ้างในการแต่งตั้งฮองเฮาและรับสนม ทว่าเป็นเวลาไว้ทุกข์อันเหมาะสมแล้ว ครั้นจะหยิบยกเอาเรื่ององค์ชายสามมากล่าวอ้างก็มิอาจประวิงเวลาได้อีก เนื่องจากยามนี้ทั้งราชวงศ์ล้วนมีเพียงเขา
ฮ่องเต้เช่นเขาจำต้องปลดปลง และยินยอมคัดเลือกสนมเสียที กระนั้นผู้มีคุณสมบัติเหมาะสมขึ้นเป็นสนมเอกก็ต้องมากพิธีรีตอง เพราะเขาไม่มีชายามาก่อนจึงมิสามารถคัดเลือกฮองเฮาได้ในทันที กระทั่งสตรีที่ตนชมชอบหรือสนใจกลับไม่มีเลยสักนาง ไฉนช่างเป็นเรื่องอันชวนปวดหัวยิ่งนัก
"ฝ่าบาท โปรดพิจารณาด้วย หากพระองค์มิทรงแต่งตั้งฮองเฮาหรือรับสนม อาณาประชาราษฎร์จะเชื่อมั่นได้อย่างไร หากแว่นแคว้นไร้ผู้นำล้วนอาจส่งผลให้เกิดเหตุจลาจล ทั่วทั้งสี่ดินแดนแปดทิศระอุดุจทะเลเพลิง อีกอย่างเพื่อลบข้อครหาที่ราษฎรมีต่อพระองค์เรื่องอาการประชวร เช่นนี้แล้วพระองค์จำต้องเร่งแต่งตั้งพระสนม และมีรัชทายาทเพื่อสืบราชบัลลังก์ต่อไปพ่ะย่ะค่ะ"
ขุนนางผมขาวผู้หนึ่งกราบทูลยาวเหยียด เวินเยี่ยนเฉินฟังไม่เข้าใจสักนิด เขาปล่อยเสียงโหวกเหวกของขุนนางชั้นอาวุโสผ่านไปดุจดั่งเสียงนกเสียงกา กระนั้นเหล่าขุนนางต่างเห็นพ้องต้องกันทั่วท้องพระโรง
"เอาล่ะ พวกท่านไม่ต้องมากความ ร่ายวาจาเสียยาวเป็นพรวน ข้าระคายหูยิ่ง เช่นนั้นจะทำอันใดก็สุดแล้วแต่พวกท่านเถิด" เวินเยี่ยนเฉินทอดถอนใจอย่างนึกระอิดระอา
ข้ายังมิเคยชมชอบสตรีนางใดสักคน น่าเบื่อยิ่งนัก เช่นนั้นก็ช่างเถิด จะเป็นผู้ใดก็ล้วนไม่ต่างกระมัง
การเป็นจักรพรรดิเปรียบดั่งรูปปั้นทองคำไร้ชีวิตจิตใจ อนึ่งอยู่เหนือประชาราษฎร์ทว่ากลับเป็นเพียงทาสของแผ่นดินก็เท่านั้น เหล่าขุนนางก็คอยกดดันทั้งซ้ายและขวาช่างน่าอนาถจริงแท้
เวินเยี่ยนเฉินหารู้เช่นกันว่าแท้จริงตนกำลังเฝ้ารอใคร หรือเฝ้ารอสิ่งใดกันแน่ นับตั้งแต่ขึ้นครองบัลลังก์ในวัยยี่สิบเอ็ดปี เขาก็มิเคยเหลียวแลสตรีนางใดเลย กระทั่งนางในยิ่งไม่เคยแตะต้อง บางทีเวินเยี่ยนเฉินแอบคิดว่าตนคงเป็นโรคประหลาดเข้าจริง ๆ เขาด้านชา ตายด้าน หรือเกิดสิ่งใดขึ้นกับตนกันแน่ เหตุใดจึงไม่เคยมีความรู้สึกใคร่อยากกับสตรีนางใดเลยสักคน หากจะกล่าวหาว่าเขาคือบุรุษตัดแขนเสื้อกลับยิ่งมิใช่เข้าไปใหญ่
.
.
จ้าวหลิงหลิงและซางจี้หยวนเข้ามาเป็นศิษย์ในสำนักซูเซียวครบสามปี พวกเขาทั้งสองเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็ว ทั้งเพลงกระบี่ ขี่ม้า รวมถึงวิชาความรู้ศาสตร์แพทย์ยาพิษ โดยเฉพาะจ้าวหลิงหลิง นางชำนาญด้านการผสมพิษแปลกใหม่ยิ่ง
"หลิงเอ๋อร์ หยวนเอ๋อร์ พวกเจ้าทั้งสองเรียนรู้เร็วเกินไปแล้ว ข้าไม่หลงเหลือสิ่งใดจะเสี้ยมสอนพวกเจ้าอีก เช่นนั้นก็ออกไปเรียนรู้การใช้ชีวิตยังโลกภายนอกเสียบ้าง" เจ้าสำนักซูเซียวยกถ้วยชาขึ้นแช่มช้า พลางเป่าลมจากปากเพื่อระบายความร้อนก่อนยกขึ้นจิบด้วยท่วงท่าใจเย็น
"ท่านอาจารย์ หากศิษย์ออกไปข้างนอกแล้วศิษย์น้องศิษย์พี่ทั้งหลายและท่านเล่า" จ้าวหลิงหลิงเอ่ยด้วยสีหน้าเป็นกังวล
ยามนี้นางกลายเป็นศิษย์เอกของสำนักซูเซียวไปเสียแล้ว ในขณะที่ตนใช้เวลาเรียนรู้เพียงไม่กี่ปีเท่านั้น กระทั่งการสอนสั่งศิษย์น้องศิษย์พี่นางยังเป็นผู้คอยแบ่งเบาจากผู้เป็นอาจารย์
ทว่ากลับมิได้มีเพียงนางที่สามารถเรียนรู้ได้รวดเร็วดั่งลูกรักแดนสวรรค์ อาจารย์ของนางมักเล่าเรื่องราวของเด็กชายวัยเก้าขวบผู้หนึ่งให้ฟังอยู่เสมอ จนถึงยามนี้ศิษย์ทั้งสำนักซูเซียวก็ยังไม่มีผู้ใดวรยุทธ์เลิศล้ำเทียบเคียงเขาได้ แม้แต่นางและซางจี้หยวนก็ตามที นางอยากรู้ยิ่งนักว่าคนผู้นั้นคือใคร กระนั้นอาจารย์ของนางกลับมิยอมเปิดเผยให้ทราบเลยสักเสี้ยว
เจ้าสำนักซูเซียวช้อนสายตามองศิษย์ทั้งสอง พลันหยุดจดจ้องเข้าไปยังนัยน์ตาหงส์อันแสนเย็นชา คราแรกที่เขาพบหน้าจ้าวหลิงหลิง นางทั้งดูหมองเศร้าและสิ้นหวังเฉกเช่นคนตายไปแล้ว
เดิมทีตนไม่คิดจะรับสตรีแสนอ่อนแอดั่งใกล้สิ้นลมและไร้กำลังแรงใจผู้นี้ ทว่าเมื่อเพ่งเข้าไปยังดวงตาอันหมองมัวนั้นอีกครา เขากลับสัมผัสได้ถึงความแน่วแน่ระคนโอหัง จากนั้นจึงเข้าใจว่านางล้วนประสบกับความโหดร้ายใดมา บุรุษชราผมขาวขึ้นแซมอนึ่งไม้ใกล้ฝั่งเช่นเขาจึงมิอยากปฏิเสธ จ้าวหลิงหลิงและซางจี้หยวนจึงได้กราบเขาเป็นอาจารย์สายตรงในที่สุด
เดิมทีซางจี้หยวนเป็นคุณชายตระกูลผู้ดี ไม่จำเป็นต้องดันทุรังศึกษายังสำนักห่างไกลแร้นแค้นเช่นนี้ ทว่าเขากลับยืนกรานจะอยู่ที่นี่ ผ่านมาไม่กี่ปีสำนักซูเซียวกลับได้เพชรน้ำดีมาถึงสองคน
"หลิงเอ๋อร์ จุดประสงค์ใดกันเล่าที่เจ้าตัดสินใจมากราบข้าเป็นอาจารย์"
จ้าวหลิงหลิงตอบอย่างหนักแน่น "แน่นอนว่าข้าสนใจเรื่องขี่ม้ายิงธนู และการปรุงโอสถ ทว่าเจตนาที่แท้จริงของข้า คือการทวงความยุติธรรมให้กับทุกคนในตระกูล"
เอ่ยถึงตรงนี้จ้าวหลิงหลิงจึงเข้าใจเจตนารมณ์ของอาจารย์ในบัดดล ยามนี้ถึงเวลาที่นางต้องทำตามปณิธานซึ่งตั้งเอาไว้ตั้งแต่ต้นเสียที การที่นางเร้นกายออกห่างจากโลกภายนอกหลายแรมปีเพราะสิ่งนี้มิใช่หรือ
ซางจี้หยวนเหลียวมองจ้าวหลิงหลิงซึ่งกำลังนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ "หลิงเอ๋อร์"
จ้าวหลิงหลิงหลุดจากภวังค์ นางเหลียวหน้ามองซางจี้หยวน "ศิษย์พี่ ข้าว่ายามนี้คงถึงเวลาแล้วกระมัง"
ซางจี้หยวนพยักหน้า เขาพร้อมจะเคียงข้างนางเสมอไม่ว่าเป็นหรือตาย ทว่าซางจี้หยวนกลับไม่รู้เลยว่าภายในจิตใจอันแท้จริงของจ้าวหลิงหลิงกำลังนึกอ่านอย่างไร นัยน์ตาของนางเย็นชาแข็งกระด้างจนมิอาจคาดเดา
"ท่านอาจารย์ ขอบพระคุณท่าน หากทุกอย่างกระจ่างแจ้งข้าจะกลับมาอีกครั้ง ศิษย์ขอลา"
เจ้าสำนักซูเซียวพยักหน้า "จำเอาไว้ นิ่งให้เป็น เย็นให้พอ จงซ่อนเร้นความสามารถเพื่อสั่งสมพละกำลัง โลกข้างนอกนั้นแสนยาวไกลเท่าใดก็สุดจะรู้ หากพวกเจ้าบุ่มบ่ามใจร้อนทุกอย่างที่ทำมาล้วนสูญเปล่า"
จ้าวหลิงหลิงและซางจี้หยวนประสานมือค้อมศีรษะ เอ่ยโดยพร้อมเพรียง "ศิษย์รับทราบ"
.
.
หนึ่งบุรุษร่างสูง หนึ่งสตรีร่างระหง สวมเครื่องแต่งกายด้วยแพรพรรณสีมรกตเหลือบขาวเดินเคียงกันด้วยท่วงท่างามสง่า จ้าวหลิงหลิงไม่ได้เหยียบย่างลงจากเขาเลยตลอดสามปี ครั้นเมื่อได้พบความครึกครื้นในท้องตลาดล้วนสร้างความตื่นตาให้แก่นางไม่น้อย จ้าวหลิงหลิงสาวเท้ามาหยุดยืนหน้าร้านขายเครื่องประดับ แววตากระจ่างใสเลื่อนลอยชั่วขณะ
หวินเอ๋อร์ หลิงเอ๋อร์ ปิ่นเหมยกุ้ยฮวานี้พ่อมอบให้เจ้าทั้งสอง ไว้พ่อกลับมาจะนำของฝากมาให้พวกเจ้าอีก ชอบหรือไม่
จ้าวหลิงหลิงแหงนหน้ามองบิดา ริมฝีปากสีกุหลาบคลี่ยิ้มซุกซน ท่านพ่อให้สิ่งใดข้า ข้าก็ชอบทั้งสิ้น รีบกลับมานะเจ้าคะ ท่านออกไปรบอีกแล้ว เมื่อใดเราจะได้อยู่กันพร้อมหน้าเสียที
จ้าวหลิงหลิงยู่หน้า ผู้เป็นบิดาหัวเราะขัน เขายกมือขึ้นลูบศีรษะบุตรสาวทั้งสองด้วยความรักใคร่
ไม่ต้องเป็นห่วง ศึกครั้งนี้พ่อจะทำให้ศัตรูปราชัยให้ได้ หลังจากนั้นพ่อจะทูลขอฮ่องเต้ปลดระวางตำแหน่งแม่ทัพเสีย เช่นนี้พอใจพวกเจ้าหรือไม่
จ้าวหลิงหวินคลี่ยิ้มละไม ท่านพ่อจะปลดระวางแล้ว ในที่สุดก็ไม่ต้องเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายเสียที
จ้าวหลิงหลิงเองก็ดีใจราวลิงโลดกระโดดเกาะแขนขาบิดาดุจดั่งม้าดีดกะโหลก พี่สาวฝาแฝดผู้เรียบร้อยจำต้องปรามน้องสาวแสนซุกซนอยู่ตลอด กระนั้นจ้าวหลิงหลิงกลับเปรียบดั่งรอยยิ้มของตระกูลจ้าวอย่างแท้จริง
ทว่าดีใจได้ไม่นาน หลังจากบิดาของนางออกไปรบครั้งสุดท้าย เขาก็มิได้กลับมาดังที่รับปากไว้ จากตระกูลที่เคยยิ่งใหญ่สุขสงบ ก็แปรผันเป็นกบฏอย่างน่าตระหนก ยามนี้สกุลจ้าวหลงเหลือเพียงจ้าวหลิงหลิงคนเดียวแล้ว นางจะไม่ยินยอมปล่อยผ่านเรื่องในอดีตที่ยังมิได้รับความกระจ่างนี้เป็นอันขาด ต้องมีคนอยู่เบื้องหลังเรื่องราวทั้งหมดเป็นแน่
เชิงอรรถ
^
เหมยกุ้ยฮวา หมายถึง ดอกกุหลาบ
^
ปราชัย หมายถึง ความพ่ายแพ้
