ตอนพิเศษ ปานชนก VS ครูซ
บทที่ 1. ต้อนลูกไก่เข้าถ้ำเสือ
ครูซ บารอซซี่ สหกิจรุ่งเรือง มองหญิงสาวสวยสดที่กำลังยิ้มหวานพูดคุยกับเพื่อนๆ ของเจ้าหล่อนด้วยแววตาที่มืดดำ.. โกสน มองหน้าเจ้านายแล้วนิ่งเงียบรอรับคำสั่ง
“ที่บอกให้เตรียมไว้เรียบร้อยรึยัง”
“เรียบร้อยครับ” ครูซทำเพียงพยักหน้าแล้วเดินกลับไปขึ้นรถ
ทางด้านปานชนกที่พอคุยกับศศิเสร็จแล้วก็เดินไปที่รถคนหรูของตนแล้วขับกลับบ้านด้วยความไม่สบายใจ วันนี้เธอรู้สึกแปลกๆ และรู้สึกเหมือนมีสายตาของใครบางคนจ้องมองเธออยู่ตลอดเวลา แล้วสายตาพนักงานในบริษัทอีกที่มองเธอแปลกๆ ปกติถ้าเธอมาบริษัททุกคนจะค้อมคำนับหรือทำความเคารพเธออย่างนอบน้อม แต่วันนี้เธอรู้สึกสายตาของพนักงานเปลี่ยนไป ดูจะเยาะหยัน บางคนก็หน้าตาไม่ค่อยคุ้น แม้แต่เจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์ด้านหน้าที่ทำงานคู่กับศศิยังเป็นพนักงานหน้าใหม่
“ปิ่น คุณพ่ออยู่ไหม” เมื่อกลับมาถึงบ้านหลังงามเธอก็รีบถามหาบิดาทันที
“ไม่ค่ะ หนูไม่เห็นคุณผู้ชายกลับมาตั้งแต่เมื่อวานแล้วค่ะ”
“คุณพ่อนี่นะไม่กลับบ้าน..” หญิงสาวขมวดคิ้วยุ่ง จริงสินะเธอเองก็ไม่ได้สังเกตเลยว่าช่วงนี้บิดาไม่ค่อยอยู่บ้านเธอพบหน้าท่านน้อยมาก
“ค่ะ เอ่อ คุณหนูคะ คือ...”
“มีอะไร..” เมื่อเห็นสาวใช้อ้ำอึ้งหญิงสาวจึงหันมามองด้วยความสงสัย
“ตอนนี้มีคนลาออกไปสามคน”
“แล้วไง”
“และตอนนี้ มีคนทำงานในบ้านแค่ปิ่น ป้าสมใจ และลุงสมชาย” ปิ่น สาวใช้วัยรุ่นซึ่งเป็นหลานของ ป้าสมใจและลุงสมชาย สองสามีภรรยาที่ทำงานกับครอบครัวของเธอมานาน
“หมายความว่ายังไง”
“ปิ่นไม่รู้จะบอกยังไงค่ะ เพราะไม่มีโอกาสได้คุยกับคุณหนู แต่ปิ่นจะให้คุณหนูดูอะไร” ปิ่นพูดแล้วเดินนำหน้าไปยังห้องโถงของบ้าน ซึ่งมีตู้โชว์ข้าวของต่างๆ มากมาย
“คุณหนูดูตู้พวกนี้สิคะ..” ปิ่นชี้ไปทีตู้วางของโชว์เหล่านั้นแล้วก็ใจหายวาบเมื่อของมีค่าทั้งถ้วยชามแจกันตลอดของโบราณหลายอย่างหายไป รวมไปถึงตุ๊กตาบาร์บี้ราคาหลายหมื่นของเธอด้วย เพราะเธอสะสมตุ๊กตาพวกนี้มาตั้งแต่เด็ก และมีทุกรุ่นที่หายากๆ บางตัวราคาเรือนแสนกว่าจะได้มาก็ทั้งยากลำบาก..
“ตุ๊กตาของฉันหายไปไหน..”
“คือ คุณท่านไม่มีเงินจ่ายค่าแรงคนที่ลาออกไป ก็เลย เอ่อ ให้ปิ่นเอาของพวกนี้ไปขาย ตอนนี้เราติดค่าไฟอยู่ค่ะ ยังไม่ได้จ่าย หากภายในสามวันนี้ไม่ไปจ่ายก็จะครบกำหนดที่เขาผ่อนผันให้ ไฟจะต้องถูกตัดและน้ำก็จะไม่มีใช้” ปานชนกเข่าอ่อนแทบจะทรุดลงกับพื้นเลยก็ว่าได้ แต่โชคดีที่โซฟาตัวใหญ่ยังมีให้เธอนั่งทำใจ นี่เป็นเรื่องที่เธอไม่เคยคาดคิดมาก่อน ปานชนกค่อยๆ เหลียวมองไปรอบๆ บ้าน อย่างจริงจังก็พบว่ามันเปลี่ยนไปมาก จริงๆ แล้วบ้านไม่เหมือนเดิมตั้งแต่แม่ของเธอจากไปตั้งแต่เธออายุเพียงแปดขวบ
ความทรงจำตอนที่มารดายังอยู่งงดามและเต็มไปด้วยความสุข คุณไพลิน มารดาของเธอเป็นคนสวยพูดเพราะและขยันขันแข็ง ท่านจะทำอาหารอร่อยๆ ให้เธอรับประทาน ถักเปียให้ก่อนไปโรงเรียน เลิกเรียนมาแม่ก็จะมายืนรอรับอยู่หน้าบ้าน สวนดอกไม้ของแม่ก็สวย ทุกอย่างในวัยเด็กช่วงเสลานั้นช่างงดงามและเต็มไปด้วยความสุข จนอยู่มาวันหนึ่งเธอได้ยินเสียงบิดามารดาทะเลาะกันและเธอบังเอิญเห็นว่าพ่อตบแม่ไปหนึ่งทีจนท่านล้มลงกับพื้นสะอื้นไห้ และเธอมารู้ทีหลังว่ามารดาจับได้ว่าบิดาไปมีบ้านเล็กบ้านน้อยและมักจะออกไปหาความสุขกับบรรดาสาวๆ เป็นประจำ บรรยากาศในบ้านเปลี่ยนไป มารดาเริ่มซึมเศร้าและพูดน้อยลง ยิ้มน้อยลงและไม่ค่อยสนใจเธอเหมือนก่อน
คุณไพลินเริ่มป่วยและช่วงนั้นเอง ป้าชบา ซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องของแม่ก็เข้ามาช่วยดูแลท่าน พร้อมทั้งพาชัชซึ่งเป็นลูกของตนมาอยู่ในบ้านด้วย ป้าชบาทำหน้าที่ดูแลเธอแทนแม่ที่ป่วยแต่หัวใจดวงน้อยของเด็กหญิงก็อยากจะให้แม่คนเดียวเท่านั้นดูแล เธอเริ่มงอแงและต่อต้านทุกอย่างรอบกายเพื่อหวังว่าจะทำให้แม่มาสนใจ ทำให้พ่อหันมาสนใจเธอบ้าง แต่ทุกอย่างยิ่งเลวร้าย ป้าชบาบอกว่าแม่ของเธอป่วยเป็นโรคซึมเศร้าต้องพาไปรักษา ต้องพบจิตแพทย์และต้องกินยา ตอนนั้นปานชนกไม่เข้าใจว่าโรคซึมเศร้าคืออะไร รู้แต่ว่าพอพ่อรู้ก็ด่าว่าป้าชบายกใหญ่และไม่ยอมให้ป้าพาแม่ไปหาหมอและยังบอกอีกว่าป้าชบากับแม่ทำให้พ่อต้องอับอาย ที่พากันไปโรงพยาบาลคนบ้าทำให้เสียชื่อเสียงนักธุรกิจดัง พ่อกับแม่ทะเลาะกันใหญ่โตและป้าชบาก็ด่าพ่อว่าสารเลว เห็นแก่ตัว ตอนนั้นเธอโกรธป้าชบาด้วยที่จะพาแม่ไปหาหมอที่โรงพยาบาลไปพบจิตแพทย์และเชื่อหมดใจว่าป้าชบานั่นล่ะที่บ้า เธอไม่ยอมให้ป้าชบาเข้าใกล้มารดาและเชื่อคำพูดของบิดาทุกอย่างเพราะกลัวว่าป้าชบาจะพาแม่ไปโรงพยาบาลคนบ้าอย่างที่คุณเกรียงไกรบอก
แล้วคุณไพลินก็อาการทรุดหนักลง ท่านเริ่มโวยวายกรีดร้องและบางครั้งก็ทำร้ายตัวเอง บางครั้งก็ร้องไห้บอกว่าตัวเองเป็นคนไร้ค่า นั่งซึมนั่งพูดคนเดียวในบางครั้งบางวันก็ไม่พูดกับใครเลย ป้าชบากับชัชทนไม่ไหวก็แอบพาแม่ไปหาหมอและได้รับการรักษาจนอาการดีขึ้นเรื่อยๆ แต่พอพ่อรู้ก็สั่งห้ามไม่ให้ป้าชบาเข้าใกล้แม่และพอหนักเข้าพ่อก็ไล่ป้าชบาออกจากบ้าน
และเมื่อไม่มีป้าชบากับชัชคอยดูแล อาการของแม่ทรุดหนักลงเรื่อยๆ และในที่สุดคุณไพลินก็ฆ่าตัวตายด้วยการผูกคอตายในห้องนอนของท่านเอง...
“คุณหนูคะ คุณหนู..” เสียงของปิ่นทำให้ปานชนกตื่นจากภวังค์ในอดีต
“มีอะไร..”
“มีคนมาขอพบค่ะ เอ่อ เขาบอกว่าเป็นเจ้าหนี้...” ปิ่นเสียงอ่อยแต่ปานชนกหน้าซีดเผือด เจ้าหนี้เหรอ แล้วเธอจะต้องพูดอะไรกับเจ้าหนี้ แล้วเป็นหนี้เท่าไหร่..
“แล้ว ฉันต้องทำไง..”
“ก็ไม่รู้สิคะปกติปิ่นเห็นเขาคุยกับคุณท่านแล้วก็เลขาคุณท่าน..” ปิ่นบอกตามตรง เลขาของพ่อก็คือ นายธงชัย นั่นเอง แต่ช่วงนี้เธอไม่เห็นนายธรงชัยนานแล้ว...
“ไปบอกเขาว่าฉันรอที่นี่ก็แล้วกัน” ปานชนกบอกเสียงแผ่วตอนนี้เธอตั้งตัวไม่ติดเลย และไม่คิดเลยว่าตนจะต้องมาเจอกับ เจ้าหนี้ เธอไม่เคยเป็นหนี้ใครและไม่เคยต้องก้มหัวให้ใครเพื่อจะได้เงินสักก้อน...
ปานชนกมองชายหนุ่มวัยสามสิบปลายรูปร่างสันทัดผิดคล้ำแดดหน้าตาดุดันเดินตามปิ่นเข้ามาแล้วก็รู้สึกหวาดหวั่นไม่น้อย แต่เพราะเป็นคนที่มั่นใจในตัวเองสูงและเป็นคนที่คิดว่าตัวเองอยู่เหนือคนอื่นเสมอ ปานชนกจึงเชิดหน้าขึ้นมองผู้ที่มาขอพบด้วยแววตาเรียบเฉย
“สวัสดีครับ ผมชื่อโกสน ผมมาพบนายเกรียงไกร ไม่ทราบว่าเขาอยู่ไหม”
“คุณพ่อไม่อยู่หรอกค่ะ มีอะไรฝากฉันไว้ได้”
“อ้อ เหรอครับ งั้นผมฝากหมายศาลกับใบแจ้งหนี้ไว้ก็แล้วกัน” หนุ่มใหญ่พูดพลางเปิดซองเอกสารออกมาแล้วหยิบซองสีน้ำตาลขนาดเอสี่วางลงบนโต๊ะตรงหน้าเธอ
“แล้วฝากบอกนายเกรียงไกรด้วยว่า เลยระยะเวลาชำระหนี้มานานแล้ว และเจ้านายผมไม่ปลื้มพวกเหนียวหนี้ หวังว่าผมคงได้รับการชำระหนี้จากนายเกรียงไกรเร็วๆ นี้ ลาเลยนะครับ..” พูดจบโกสนก็เดินออกไปเงียบๆ ปานชนกแทบไม่รู้สึกอะไรเลยด้วยซ้ำเพราะตอนนี้เธอรู้สึกว่าร่างกายชาไปทุกส่วนจนไม่สามารถลุกขึ้นหรือขยับไปไหนได้...
“คุณหนูคะ เอ่อ ให้ปิ่นช่วยอะไรไหมคะถ้าไม่มีปิ่นจะไปเก็บของ”
“เก็บของ เก็บของไปไหน..” ปานชนกหน้าเสียรู้สึกถึงลางไม่ดี
“ปิ่นไปสมัครงานที่อื่นไว้ค่ะ เพราะปิ่นเองก็ไม่ได้เงินเดือนมาสามเดือนแล้ว ปิ่นคิดว่าถ้าคุณนกกลับมาปิ่นจะบอกคุณนก ที่พวกเราอยู่ที่นี่ก็เพราะยังไม่มีที่ไปและคุณท่านก็บอกว่าให้เรารอก่อนจะจ่ายเงินเดือนให้แต่ก็ไม่เห็นจ่ายให้เราเสียทีคนอื่นๆ ก็เลยไม่รอขออกไปก่อน บางคนก็ขอเอาของที่ค่ามีไปขายเพื่อให้ได้เงินไปใช้แต่ลุงสมชายแกไม่ยอมก็เลยมีปากเสียงกัน ดีที่ลูกน้องของคุณท่านมาช่วยไกล่เกลี่ยและคุณท่านให้พวกเขาเอาตุ๊กตาของคุณหนูไปแทนเงินเดือนที่จะจ่าย บางคนก็ได้พวกของเก่าไป” คำบอกเล่าของปิ่นยิ่งทำให้ปานชนกแทบหมดแรง นี่คือเรื่องจริงใช่ไหม...
“ป้าสมใจกับลงสมชายก็อายุเยอะแล้ว จะไปไหนก็ลำบาก แกเลยขออยู่ที่นี่ไปก่อน แต่ปิ่นคิดว่าจะพาแกกลับบ้านนอก เพราะหากอยู่แบบนี้คงจะลำบากในอนาคต พอส่งแกกลับไปบ้านนอกแล้วปิ่นก็ค่อยกลับมาทำงาน”
“ขอบใจนะที่ยังอยู่..” ไม่รู้ว่าเธอพูดออกไปอย่างนั้นได้อย่างไร แต่คำพูดของเธอนั้นทำให้ปิ่นตาโตตกตะลึงไปเลยทีเดียว
“มีอะไรทำหน้าตกใจ หรือมีอะไรที่ฉันยังไม่รู้อีก” ปานชนกขมวดคิ้วเริ่มรวบรวมสติได้บ้าง
“เอ่อ เปล่าค่ะ งั้นปิ่นขอตัวนะคะ”
“เดี๋ยวปิ่น..” ปานชนกเรียกสาวใช้ไว้แล้วหยิบเงินให้ปิ่นไปจำนวนหนึ่ง
“เอาไว้ซื้อของก่อน ฉันมีติดตัวเพียงแค่นี้ก็คงจะใช้ซื้อกับข้าวได้หลายวัน”
“ขอบคุณค่ะคุณหนู” ปิ่นไหว้แล้วเดินออกไปเงียบๆ ปานชนกถอนใจแล้วหยิบซองเอกสารนั้นเปิดออกดูว่าบิดาเธอมีหนี้กับโกสนเท่าไหร่ และทันที่ที่เห็นจำนวนเงินปานชนกก็แทบเป็นลม..
“ยี่สิบล้าน..” บิดาของเธอเป็นหนี้เยอะขนาดนี้เชียวหรือ แล้วเงินพวกนี้หายไปไหน หญิงสาวรีบกดโทรศัพท์ถึงบิดาทันที และโชคดีที่ท่านรับสาย
“คุณพ่อคะ..”
“อ้อ ยายนก มีอะไรกับพ่อ พ่อยุ่งอยู่..” บิดามักบอกเช่นนี้เสมอ
“ตอนนี้นกอยู่ที่บ้านค่ะ”
“อ้อ กลับบ้านถูกด้วยนะเรา แล้วไง”
“คือนก..” หญิงสาวนิ่งไปชั่วขณะไม่รู้จะเริ่มตรงไหนดี
“มีอะไรก็ว่ามาพ่อยุ่งจริงๆ”
“คุณพ่ออยู่ไหนคะทำไมไม่กลับบ้าน..”
“จะพูดแค่นี้ใช่ไหม พ่อจะได้วางสาย..” น้ำเสียงบิดาฟังดูหงุดหงิดจนเธอสงสัย
“เจ้าหนี้ของคุณพ่อมาที่บ้านค่ะ ชื่อโกสน..” คราวนี้บิดาเงียบไปแล้วเธอก็ได้ยินเสียงถอนใจหนักๆ
“นก ลูกอย่าไปเชื่อมัน มันหลอกพ่อให้กู้เงินแล้วมันก็คิดดอกเบี้ยมหาโหด แล้วยังข่มขู่พ่อด้วย พวกมันเป็นมาเฟีย”
“แต่เอกสารมันถูกต้องทุกอย่างนะคะ มีลายเซ็นมีสัญญา มีพยาน” หญิงสาวแย้ง
“มันมีเอกสารมาด้วยเหรอ”
“ไม่เฉพาะแค่สัญญาเงินกู้นะคะ มีหมายศาลมาด้วย”
“นกแค่นี้ก่อนนะพ่อกำลังยุ่งแล้วพ่อจะรีบกลับบ้าน”
“จริงๆ นะคะ นกจะรอ..” เธอพูดไม่ทันขาดคำดีทางบิดาก็ชิงวางสายเสียก่อน หญิงสาวนิ่งงันสับสนไปหมด รู้สึกตีบตันไปเสียทุกทาง...
“นี่มันไม่ใช่เรื่องจริง ฉันฝันไป...” ปานชนกพยายามบอกตัวเองอย่างนั้นแล้วเดินขึ้นห้องของตน ห้องแสนสวยที่เธอแทบไม่เคยได้กลับมานอน ห้องแสนสุข ที่มีเพียงความทรงจำในวัยเด็กเท่านั้น...
ปานชนกล้มตัวลงนอนบนที่นอนนุ่มสีชมพูลายเจ้าหญิงแสนสวยแล้วปล่อยน้ำตาไหลรินออกมาช้าๆ
นานแค่ไหนแล้วที่เธอไม่ได้กลับบ้าน... แต่ทุกอย่างในห้องนี้ยังเหมือนเดิม...
“ว่าไง ยายนั่นเป็นไงบ้าง..”
“ก็ดูจะอึ้งๆ ไปครับ คงไม่เคยรู้มาก่อนว่าตัวเองเหลือแต่เปลือก”
“หึ ยังมีเกมให้เล่นสนุกๆ อีกเยอะ นายเตรียมทำตามแผนได้เลย”
“ครับนาย..” ดวงตาคมมองไปบนท้องฟ้ากว้างที่มืดมิด ที่มืดไม่เท่าใจของเขาในตอนนี้ ดวงตาคมกล้าดำสนิทดำมืดล้ำลึกด้วยอารมณ์บางอย่างที่รอวันปะทุ...
“แล้วเราจะได้เจอกัน ปานชนก...” ครูซพูดกับตัวเองเบาๆ มือหนากำแน่นเมื่อนึกถึงเรื่องที่ผ่านมา...
ปานชนกเดินลงมาที่ห้องอาหารก็พบว่าป้าสมใจกำลังยกข้าวต้มมาเสิร์ฟที่โต๊ะ และปฏิบัติต่อเธออย่างดีทุกอย่าง หญิงชราที่ดูแก่ลงไปมากกว่าที่เธอจำได้ยิ้มบางๆ
“ป้าทำข้าวต้มไว้ให้ค่ะ ทานเลยนะคะคุณหนู”
“ขอบคุณค่ะป้า” ปานชนกยิ้มบางๆ แล้วมองชามข้าวต้มด้วยความซาบซึ้งใจ
“ป้าสมใจคะ..”
“คะ มีอะไรคะคุณหนู..” ป้าสมใจที่กำลังจะเดินเข้าครัวไปหันกลับมา
“ป้าจะกลับบ้านนอกวันไหนคะ”
“คงจะเร็วๆ นี้ล่ะค่ะ”
“แล้วเมื่อคืนคุณพ่อกลับมั้ยคะ”
“ป้าไม่เห็นนะคะ เอ่อ คุณหนูคะ..” ป้าสมใจทำท่าลังเล
“มีอะไรคะป้า”
“คือ นังปิ่นมันยังไม่ได้บอกใช่ไหมคะว่า บ้านหลังนี้กำลังจะถูกยึด..” เหมือนฟ้าฟาดลงมากลางใจอีกระลอก ช้อนในมือแทบจะหลุดร่วง ปานชนกรีบยกผ้าเช็ดปากแล้วมองหญิงชราอย่างจริงจัง
“ป้าอย่าพูดเล่นนะคะ นกไม่ชอบ”
“ป้าไม่กล้าพูดเล่นหรอกค่ะ ในห้องทำงานคุณผู้ชาย มีเอกสารทวงหนี้และหมายศาลและจดหมายจากธนาคารมาเยอะแยะเลยค่ะ บางวันท่านกลับมาแล้วก็ขลุกอยู่ในห้องทำงานกับลูกน้องสักพักก็ออกไป ตอนนี้ของในบ้านได้ถูกขายไปหมดแล้วห้ามเคลื่อนย้ายอะไรออกไปจากบ้านเด็ดขาด หากคุณหนูไม่เชื่อไปดูเอกสารได้ที่ห้องทำงานเลยค่ะ คนที่ซื้อบ้านหลังนี้ชื่อ คชา นามสกุลป้าจำไม่ได้ค่ะ..” พอป้าสมใจพูดจบปานชนกรีบวิ่งขึ้นไปที่ห้องทำงานของบิดาทันที...
มือบางสั่นระริกเมื่อความจริงหลายๆ อย่างเปิดแผย หญิงสาวมองหน้าบิดานิ่งอย่างผิดหวังและเจ็บปวดกับสิ่งที่ได้รับรู้
“ทำไมคุณพ่อไม่เคยบอกนกคะ”
“แล้วแกเคยอยู่บ้าน เคยอยู่ให้ฉันบอกไหม” นั่นคือความจริงอีกข้อ เธอไม่ได้อยู่ที่บ้านนักส่วนใหญ่จะพักที่คอนโต เธอไม่อยากกลับบ้าน บ้านที่ไม่เป็นบ้าน บ้านที่ไม่มีความรักความอบอุ่น...
“คุณพ่อเคยสนใจด้วยเหรอคะว่านกจะอยู่หรือไม่อยู่ คุณพ่อเคยคิดว่านกมีตัวตนด้วยเหรอคะในชีวิตของคุณพ่อ”
“อย่ามาอวดดี ฉันปรนเปรอให้แกทุกอย่าง ยังว่าฉันไม่เคยสนใจแกอีกเหรอ เงินเท่าไหร่ที่อยากได้มีมั้ยที่จะไม่ได้..” คุณเกรียงไกรขึ้นเสียงใส่ลูกสาวเพียงคนเดียวอย่างฉุนเฉียวเพราะตลอดมาเขาไม่เคยให้ลูกสาวต้องลำบากมีอะไรก็ปรนเปรอให้ทุกอย่าง ไม่ว่าปานชนกอยากได้อะไร อยากได้เงินเท่าไหร่ก็ไม่เคยที่จะไม่ได้
“ใช่ค่ะ นกได้ทุกอย่าง แต่สิ่งที่นกไม่ได้คือความรัก ความเอาใจใส่จากคุณพ่อ..” หญิงสาวพูดด้วยน้ำเสียงสั่นพร่า
“เฮอะ ความรัก.. แกนี่เหรอมาโหยหาความรัก เงินไง เงินซื้อได้ทุกอย่าง แกอยากได้อะไรก็ใช้เงินซื้อมาตลอด ความรักมันไม่เคยมีหรอก มีแต่ผลประโยชน์ มีแต่สิ่งที่เงินจะซื้อได้”
“เงินซื้อได้ทุกอย่างจริงๆ หรือคะ แล้วทำไมเงินซื้อชีวิตของแม่ไม่ได้ล่ะคะ..”
“ปานชนก..” นางเกรียงไกรตวาดลูกสาวคนสวย
“แล้วตอนนี้เราไม่มีเงิน คุณพ่อจะทำยังไงล่ะคะ”
“หึ เดี๋ยวมันก็มีมาเอง” นายเกรียงไกรพูดอย่างตัดรำคาญ
“ด้วยวิธีไหนล่ะคะ ตอนนี้เราไม่มีอะไรจะขายแล้ว บ้านนี้ก็ไม่ใช่ของเรา เขาแค่ให้เราอาศัยคุณพ่อจะทำไงล่ะคะ”
“คอนโดแกนั่นไง ขายๆ ไปซะเอาเงินมาใช้ หาห้องที่ถูกหน่อยแกก็อยู่ได้เป็นปี”
“ไม่ค่ะคอนโดนั่นเป็นของขวัญที่คุณแม่ให้นก นกจะไม่มีทางขายมัน”
“งั้นก็รถของแก ตอนนี้ฉันเองก็ต้องการใช้เงินเหมือนกัน ขายๆ มันไปซะ จะได้มีเงินไว้ใช้”
“แล้วมีวิธีไหนอีกไหมคะที่ดีกว่าขายสมบัติกิน” ปานชนกพูดประชดบิดาเสียงขื่น
“ก็ขายตัวไง หรือไม่ก็หาผัวรวยๆ โง่ๆ สักคนมาเป็นผัว แกจะได้สบาย ฉันก็จะได้สบายไปด้วย”
“คุณพ่อ..” ปานชนกเสียงสูงไม่คิดมาก่อนว่าบิดาจะพูดเช่นนี้ แล้วเงินมากมายจากการขายหุ้นขายบริษัทและขายสมบัติในบ้านมันหายไปไหนหมด
“อย่ามาขึ้นเสียงกับฉัน นี่ล่ะคือทางออกที่ดีที่สุดแล้ว เอาล่ะ ฉันจะไปข้างนอกไปหาที่ที่มันสบายๆ ใจเผื่อจะคิดออกว่าจะหาเงินมาจากไหนใช้หนี้ไอ้คชามัน..” พูดจบนายเกรียงไกรก็เดินตึงๆ ออกไป ปานชนกมองตามบิดาไปด้วยความปวดร้าว หญิงสาวเดินกลับห้องมานอนร้องไห้ ใจดวงน้อยอ้างว้างเจ็บปวดเกินบรรยาย นี่หรือชีวิตคุณหนูผู้แสนสวยและเพียบพร้อมมาตลอด ตอนนี้เธอไม่ต่างอะไรกับยาจกที่แม้แต่บ้านก็ไม่มีจะอยู่...
“คุณแม่ขา นกจะทำยังไงดี คุณแม่ช่วยนกด้วยนะคะ หรือถ้าจะให้ดี คุณแม่มารับนกไปอยู่ด้วยได้ไหมคะ นกไม่อยากอยู่ที่นี่ไม่อยากอยู่บนโลกใบนี้แล้ว..” หญิงสาวคร่ำครวญอย่างปวดร้าวและร้องไห้จนหลับไป
ปานชนกเริ่มมองหางานทำแต่ไปสมัครงานมาหลายที่ก็ยังไม่มีที่ไหนเรียกตัวเธอไปทำงาน ครั้นจะไปของานสิงหราชกับชัชทำเธอก็อับอายเกินกว่าจะบากหน้าไปขอร้องและเมื่อเธอตามสิงหราชไปเชียงใหม่หวังว่าจะไปแทรกกลางระหว่างสิงหราชกับอัจฉรียาพร แต่ยังไม่ทันได้ทำอะไรก็มีเรื่องเกิดขึ้นที่บ้านเสียก่อนเมื่อปิ่นโทร.มาบอกเธอว่า เจ้าของบ้านหลังใหม่นั้นกำลังจะเข้ามาอยู่และกำลังจะขนข้าวของเดิมที่มีออกไปบางส่วนและบางอย่างก็นำไปขายทอดตลาด แล้วเอาของใหม่เข้ามาแทนที่ ปานชนกรีบกลับมาดูบ้านเป็นครั้งสุดท้ายและหวังว่าเจ้าของใหม่จะให้เธอเอาข้าวของในห้องของตนออกมาบ้างเพราะบางอย่างก็มีคุณค่าทางจิตใจของเธอ แต่ทางเจ้าของใหม่ไม่ยอมทำการรื้อห้องนอนของเธอและตกแต่งใหม่โดยข้าวของในห้องถูกเก็บใส่ลังอย่างไร้การทะนุถนอม ปานชนกได้แต่ยืนมองข้าวของรักของตนถูกโยนลงกล่องกระดาษเหมือนขยะได้ค่าด้วยความปวดร้าวและไม่สามารถหยิบฉวยอะไรออกมาได้เลยแม้แต่ชิ้นเดียว
“ไม่เป็นไรนะคะคุณหนู ของนอกกาย ไม่ตายก็หาเอาใหม่” ป้าสมใจปลอบหากเป็นเมื่อก่อนเธอคงตวาดป้าสมใจไปแล้วที่บังอาจมาสั่งสอนเธอ แต่ตอนนี้ปานชนกได้แต่ยืนมองภาพตรงหน้าด้วยความเจ็บปวดน้ำตาไหลพรากไร้เรี่ยวแรงจะทำอะไร..
“เราไปกันเถอะค่ะคุณหนู อยู่ดูไปก็มีแต่จะเจ็บปวด” ปานชนกผละออกมาจากรั้วอัลลอยด์งดงามเดินมาที่ถนนอย่างคนเลื่อนลอย ตอนนี้เธอไม่มีรถจะใช้แล้วเพราะได้ขายไปก่อนหน้านี้เพื่อเอาเงินมาให้ปิ่นกับป้าสมใจและสามี เธอไม่อาจจะใจดำทอดทิ้งพวกเขาได้ เพราะในขณะที่เธอไม่มีใคร ทั้งสามคนนี้คอยอยู่เคียงข้างเธอและคอยดูแลทุกข์อยู่เสมอ
“ป้าไปแล้วนะคะคุณหนู ดูแลตัวเองดีๆ นะคะ”
“ถ้าว่างๆ ไปเที่ยวบ้านปิ่นนะคะ ปิ่นยินดีต้อนรับ”
“ขอบคุณค่ะทุกคน เดินทางปลอดภัยนะคะป้าสมใจ ปิ่น ขอบคุณสำหรับทุกอย่างที่ผ่านมา หากไม่มีป้านกคงไม่รู้จะทำยังไง..”
“คุณหนูเข้มแข็งออกค่ะ สู้ๆ นะคะ เดี๋ยวทุกอย่างก็จะผ่านไป” ป้าสมใจสวมกอดเธอไว้ซึ่งปานชนกยินดีที่จะให้หญิงชราที่เคยมองว่าต่ำต้อยเป็นเพียงแม่บ้านกระจอกๆ กอดเธอ ตอนนี้เธอกระจอกกว่าพวกเขาเสียอีก อย่างน้อยๆ ป้าสมใจก็มีที่ไปมีบ้านให้กลับ...
“พวกเราไปนะคะคุณหนู” ปานชนกพยักหน้าพยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้ มองตามหลังแท็กซี่ที่ขับเคลื่อนออกไปจนลับตา ปานชนกรู้สึกเคว้งคว้างอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เคว้งกว่าตอนที่แม่ของเธอจากไปเสียอีก แล้วตอนนี้เธอจะอยู่อย่างไรหนอ...
ปิ้นๆๆ เสียงแตรรถที่ดังขึ้นทำให้ปานชนกรีบเช็ดน้ำตาแล้วหันกลับไปมองก็พบว่ามีรถยนต์สวยหรูคันหนึ่งเคลื่อนมาจอดตรงหน้า...
“หวัดดีนก.. มายืนทำอะไรตรงเหรอทำไมไม่เข้าบ้านล่ะ” เพ็ญนภา หรือ เพนนี ชื่อที่เรียกเก๋ๆ ในหมู่เพื่อนๆ กลุ่มสาวไฮโซ
“มีอะไรเหรอเพ็ญ”
“อุ้ย แค่คิดถึงน่ะ ไม่เจอกันนานเลยนะเพื่อนๆ ถามหาแน่ะ เอ๊ะ แล้วนั่นคนพวกนั้นทำอะไรในบ้านของเธอน่ะ” เพ็ญนภาทำท่าสนอกสนใจ ปานชนกหน้าเสียรีบเดินออกไปเรียกแท็กซี่แต่เพ็ญนภาขับรถตามมาเรียกไว้
“เดี๋ยวสินกจะไปไหน” ไม่เพียงเท่านั้นเพ็ญนภารีบลงจากรถมายืนขวางไว้
“ฉันมีธุระน่ะ พอดีเอารถเข้าอู่ไว้จะรีบไปเอา” ปานชนกบอกปัดและปดไปเต็มๆ
“อ้อ เหรอ งั้นฉันไปส่งที่อู่ก็ได้ ไปสิ ไปด้วยกัน ไม่ต้องเกรงใจตะก่อนเธอเองก็เคยช่วยเหลือไปรับไปส่งฉันบ่อยๆ ตอนนี้ให้ฉันตอบแทนเธอคืนบ้างนะ” เพ็ญนภาจูงปานชนกมาที่รถแล้วเปิดประตูให้อย่างดี ปานชนกทำท่าอึกอักแต่สุดท้ายก็จำใจขึ้นไปนั่งบนรถคันงามของเพ็ญนภา
“แล้วพวกนั้นเป็นใคร เข้าไปทำอะไรที่บ้านเธอน่ะ เหมือนกำลังปรับปรุงบ้านใหม่เลย”
“อืม..” ปานชนกเออออไปด้วย
“เออนี่ เดี๋ยวเราแวะกินอะไรกันก่อนไหม ฉันเลี้ยงเอง ตอนนี้ฉันไม่ต้องให้เธอเลี้ยงแล้วนะ ฉันมีเงินมีทุกอย่าง แบบอยู่สบายไปทั้งชาติ” เพ็ญนภาคุยโอ่ ปานชนกหันไปมองสำรวจเพ็ญนภาอย่างพินิจพิจารณาแล้วก็พบว่าเพ็ญนภาสวยขึ้นผิดหูผิดตา เสื้อผ้าที่สวมใส่ก็เป็นแบรนด์เนมไม่ใช่ของก๊อปเหมือนสมัยที่เรียนซึ่งเธอเคยพูดประชดประชันเพ็ญนภาอยู่บ่อยๆ ผิวพรรณก็ผุดผ่องขึ้น และดูก็รู้ว่าเพ็ญนภาไปเสริมหน้าอกและศัลยกรรมใบหน้ามา ทั้งจมูกปากตาและคางล้วนแล้วแต่ถูกปรับแต่งให้สวยงามแต่ก็ยังมีเค้าเดิมอยู่
“เธอสวยขึ้นนะ ไปเกาหลีมาเหรอ”
“ก็ไป แต่นมนี่ทำเมืองไทย แถวประตูน้ำ เป็นไงสวยบึ้มดีมั้ย” เพ็ญนภาหันมายิ้มกว้างให้
“ก็สวยดี แล้วเธอทำงานอะไร”
“บอกไปเดี๋ยวเธอจะรับไม่ได้”
“ทำไม เธอทำงานผิดกฎหมายเหรอ”
“ผิดไหมก็ไม่รู้สิรู้แต่ว่ามันเงินดีและได้ผลประโยชน์กันทั้งสองฝ่าย..” เพ็ญนภาไหวไหล่เบาๆ
“แล้วมันเป็นงานอะไรล่ะ ถึงรายได้ดี” ปานชนกถามอยางสนใจ
“เดี๋ยวจะบอก ถ้าเธอสนใจฉันยินดีแนะนำและบริการเทรนงานเต็มที่เลย..” เพ็ญนภายิ้มร่าหลิ่วตาให้อย่างมีเลศนัย...
