ตอนที่5 เกี้ยวพาราสี1
รถม้าคันเดิมที่มีหนี่ม่านใช้แส้สะกิดม้าหาได้เฆี่ยนตีมันไม่
ฝ่ามือน้อยๆ ของหนี่ม่านกำบังเหียนม้าเอาไว้แน่นคล้ายกับว่าหากปล่อยมือไปม้าพวกนี้จะหยุดวิ่งกระนั้นหาได้บังคับม้าให้วิ่งไปแบบปกติไม่
ภายในรถม้าที่ยังคงวิ่งไปแบบไร้จุดหมายเสียงแว่วหวานยังคงเอ่ยคำเรียบเรื่อยใส่กัน “ข้ามีนามว่าหนิงเหมย สาวใช้ของข้ามีนามว่าหนี่ม่าน แล้วเจ้าเล่า”
“เรียกว่าข้าอาเจินก็ได้”
“อืม...อาเจิน”
ซูเจินกึ่งนั่งกึ่งนอนในท่วงท่าสบายๆ มือหนึ่งถือขนมส่งใส่ปากเคี้ยวแก้มพอง อีกมือหนึ่งถือหนังสืออ่านอย่างเพลินเพลิน
ในขณะที่หนิงเหมยกำลังนั่งนิ่งๆ ฝ่ามือน้อยๆ วางซ้อนกันบนหน้าตักอย่างสำรวมเฉกเช่นคุณหนูผู้ดีดังปกติตามวิสัย สายตาคู่สวยยังคงจับจ้องที่ใบหน้าเรียวเล็กน่ารักของซูเจิน นางกำลังสังเกตว่าสตรีตรงหน้ามีรูปลักษณ์ที่ดีมากนัก ใบหน้าจิ้มลิ้มน่ารัก ดวงตากลมโต แก้มนวลน่าหยิก แต่ทำไมถึงได้…
“จะจ้องข้าอีกนานหรือไม่?” ซูเจินเอ่ยถามออกมาในที่สุดเมื่อถูกสตรีตรงหน้าจ้องมองไม่วางตา
หนิงเหมยถึงกับสะดุ้งเฮือก
“สงสัยอันใดก็ถามมา หากข้าตอบได้ข้าจะตอบ” ซูเจินกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย ดวงตากลมโตจ้องมองคู่สนทนาตรงๆ
ไม่รู้ว่าทำไมหนิงเหมยถึงรู้สึกถูกชะตากับสตรีน่ารักแต่โหดเหี้ยมนางนี้หนักหนา นางจึงคลี่ยิ้มอ่อนโยนจริงใจส่งให้ ก่อนเริ่มชวนคุยคล้ายหยั่งเชิงลองภูมิ “ข้าช่วยชีวิตเจ้าเอาไว้ ข้านับว่าเป็นเจ้าชีวิตของเจ้า”
“ย่อมเป็นเช่นนั้น”
“เช่นนั้นแล้ว เจ้าจะไม่วิธีตอบแทนข้าอย่างไร”
“เจ้าช่วยชีวิตของข้าเอาไว้ เจ้าต้องการให้ข้าตอบแทนสิ่งใดจงบอกมา หากข้าทำได้ข้าย่อมทำ” ซูเจินกล่าวจบเพียงไหวไหล่น้อยๆ กินขนมต่ออย่างอร่อยก็เท่านั้น
“เหตุที่เจ้าพูดอย่างนี้เพราะว่าข้าเป็นสตรีเช่นเดียวกับเจ้าใช่หรือไม่”
“...”
ซูเจินละสายตากลมโตจากหนังสือในมืออีกคราเพื่อมองไปยังหนิงเหมยนิ่งๆ “อันใดของเจ้ากัน?”
“แล้วหากว่าข้าเป็นบุรุษเล่า ข้าช่วยชีวิตของเจ้าแล้ว เจ้าจะยอมเป็นเมียของข้าหรือไม่”
“...”
ขนมถึงกับตกจากมือของซูเจิน
“แล้วหากว่าเจ้าเป็นบุรุษ ส่วนข้าเป็นสตรีที่ช่วยเหลือเจ้า และข้านั้นก็ต้องการให้เจ้าตอบแทนข้าโดยการรับข้าเป็นเมีย เจ้าจะยอมหรือไม่”
ครานี้ซูเจินถึงกับสำลักขนมในปาก
หลังจากจิบชาล้างคอจนหยุดไอจากอาการสำลัก ซูเจินจึงเริ่มต่อความ “ไม่ว่าใครจักเป็นฝ่ายช่วยเหลือใคร การตอบแทนกันย่อมมิใช่การเป็นเมีย บ้ารึ? ข้ามิได้ใจง่ายปานนั้น ช่วยกันเสร็จแล้วก็แยกทางกัน โอกาสตอบแทนกันย่อมมีในสักวันอยู่แล้ว อย่าบอกนะว่าเจ้าชอบข้า เจ้าบ้าไปแล้ว ถึงแม้เจ้าจะงามมากนัก ใบหน้าจะอ่อนหวาน รอยยิ้มจะล่อลวงใจหนักหนา แต่ว่าข้าชอบบุรุษนะ อ้อมแขนของบุรุษอบอุ่นกว่าอ้อมแขนของสตรีแน่ๆ ข้าจำได้ อ้อมแขนของท่านพ่ออบอุ่นที่สุด เจ้าต้องบ้าแน่ๆ ดูแขนของเจ้าเถิด เรียวเล็กเยี่ยงนั้น จะโอบกอดข้าได้อย่างไรกัน” ซูเจินบ่นยาวเหยียดไม่ไว้หน้าเลยสักนิด
หนิงเหมยถึงกับมองซูเจินตาปริบๆ นางรู้สึกหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้เลยทีเดียวเมื่อถูกบ่นขนาดนั้น
ซูเจินรู้สึกขนลุกยิ่งนักและกำลังคิดว่ามันไม่ถูกต้องอย่างยิ่งยวด “เจ้าเอาเรื่องของใครมาถามข้ากัน”
หญิงสาวอมยิ้มน้อยๆ “ก็แค่เรื่องราวบุรุษคนหนึ่งกับสตรีนางหนึ่ง” นางตอบตามตรง เรื่องนี้เป็นเรื่องที่นางมิได้ถือว่าเป็นความลับอันใด มันคล้ายกับเรื่องเล่าประโลมโลกก็เท่านั้น “บุรุษผู้หนึ่งมีภรรยาอยู่แล้ว วันหนึ่งเขาได้รับบาดเจ็บแล้วมีสตรีนางหนึ่งได้ช่วยเหลือเขาเอาไว้ บุรุษผู้นั้นจึงตอบแทนนางด้วยการรับนางเป็นภรรยาอีกคนหนึ่ง จนภรรยาคนแรกของเขาต้องตรอมใจตาย”
“อ่อ...” ซูเจินก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี “แล้วอย่างไร?”
หนิงเหมยอมยิ้มน้อยๆ สีหน้าปลดปลง ส่ายหัวไปมา “ไม่มีอะไรหรอก ข้าแค่ต้องการรู้ในเรื่องที่ข้าสงสัยว่าข้าเข้าใจไปเองคนเดียวหรือไม่ กับการที่สตรีกับบุรุษมีบุญคุณต่อกันจำเป็นหรือไม่ที่จะต้องรับเป็นเมียเพื่อหยามสตรีอีกคน
ซูเจินเริ่มปะติดปะต่อเรื่องราวแบบคิดเอาเอง “สตรีนางนั้นเคยช่วยเหลือพ่อของเจ้าก็เลยมีบุญคุณต่อกัน ต่อมาสตรีนางนั้นก็ทำให้พ่อเจ้าหลงรักหัวปักหัวปำจนนอกใจแม่ของเจ้า ใช่หรือไม่?”
“...”
หนิงเหมยถึงกับอึ้งงันตาโต ด้วยไม่คิดว่าคู่สนทนาจะฉลาดเป็นกรดถึงเพียงนี้
ซูเจินยังคงครุ่นคิดประหนึ่งว่าเป็นเรื่องของตน “แม่ของเจ้าตรอมใจตายเพราะพ่อของเจ้านอกใจไปรักกับสตรีนางนั้น ใช่หรือไม่?”
หนิงเหมยยิ่งกะพริบตาพูดอันใดไม่ออกทั้งสิ้น
ซูเจินยังคงเอ่ย “สตรีนางนั้นต่ำช้ามาก นางกล้าใช้มารยากับพ่อของเจ้า แต่ว่า...ก็แค่มารยาชั้นต่ำของสตรีนางหนึ่ง เหตุใดพ่อของเจ้าต้องแต่งเข้าบ้านด้วยเล่า แค่บอกว่า...”
หญิงสาวกระแอมหนึ่งทีทำเสียงทุ้มต่ำคล้ายเสียงบุรุษ “ข้ามิอาจรับเจ้าเป็นเมียได้ แต่หากมีโอกาสข้าย่อมต้องตอบแทน” นางปรับเสียงให้เป็นปกติแล้วกล่าวต่อ “แค่นี้ยากอันใด หากนางอยากให้พ่อเจ้าตอบแทนโดยการรับนางนอนใต้ร่าง พ่อเจ้าก็แค่เพียงสนองนางให้แล้วก็จบๆ กันไป แค่นี้ใช้ได้แล้ว อยากให้ทำกี่ทีก็ไม่น่ามีปัญหา เหตุใดต้องพาเข้าบ้านมาหยามแม่ของเจ้าด้วยเล่า เฮ้อ!” หากเป็นท่านพ่อของนางก็คงทำอย่างที่นางว่ามานี่ล่ะ ตอบแทนกันเสร็จก็แยกย้าย พอใจกันทั้งสองฝ่าย
หนิงเหมยได้ฟังความเยี่ยงนั้นถึงกับสำลักอากาศที่ใช้หายใจ นางเป็นเพียงสตรีในห้องหอไหนเลยจะคุ้นเคยกับคำพูดตรงไปตรงมาเยี่ยงนี้กัน แต่ทว่าคำพูดเมื่อครู่นี้ช่างตรงใจนางยิ่ง
“แต่ว่านะอาเจิน บุรุษที่ดีย่อมต้องรับผิดชอบสตรีที่ตนได้ครอบครอง พ่อของข้าย่อมต้องรับผิดชอบสตรีนางนั้น” หนิงเหมยยังคงสรรหาเหตุผลเข้าข้างบิดาแห่งตน ซึ่งอาจจะช่วยให้นางได้รู้สึกเคารพบิดาขึ้นมาบ้างสักเล็กน้อยก็ยังดี
“อ้อ...” ซูเจินลากเสียงยาว “เป็นเช่นนั้นรึ?” นางทำท่าครุ่นคิดไม่สร่างซา “เช่นนั้นแล้วหากข้าชอบบุรุษในเมืองสักคน ข้าแค่มารยาให้มากเข้าไว้ เขาก็คงรีบแต่งข้าแล้วกระมัง อา...ข้าคงต้องรีบหาสามีสักคนแล้ว จะได้ไม่ต้องระหกระเหินไร้บ้านเยี่ยงนี้” นางกล่าวพร้อมตบมือฉาดใหญ่ นิสัยและกิริยาล้วนได้มาจากซูหยางผู้เป็นบิดาทั้งสิ้น
หนิงเหมยถึงกับหัวเราะพรืด “เจ้าจักมารยาใส่บุรุษแบบใดกัน”
“อืม...” อีกครั้งที่ซูเจินต้องคิดหนัก “ต้องรูปงาม อืม...” หัวคิ้วขมวดเป็นปมดวงตากลมๆ จริงจังแน่วแน่ “ต้องร่ำรวยด้วย อืม...แล้วก็ต้องเป็นคนดี มีความรับผิดชอบ ที่สำคัญต้องไม่ฉลาดมากนัก หลอกง่ายหน่อยกำลังดี หึหึ!”
หนิงเหมยยิ่งหัวเราะชอบใจ