สาวน้อยเริ่มพาแม่ก่อปฏิวัติ
ฉินก่วงกลัวมารดาจะผิดหวัง อยากให้มารดารักตนเหมือนลูกคนอื่น ยอมทำตามคำสั่งทุกอย่างจนละเลยครอบครัวของตัวเองไป ส่วนแม่ของนางก็อย่างที่เห็น
“เถอะนะเจ้าคะท่านแม่ เชื่อข้าสักครั้ง” ฉินหลิวซีใช้น้ำเสียงออดอ้อนหว่านล้อมจนมารดายอมผ้ากองนั้นลง
ชิวย่าหนานคิดในใจว่า อย่างไรก็ต้องโดนแม่สามีดุด่าในภายหลังแน่ แต่นางก็ไม่อยากขัดใจลูก เพราะมีไม่กี่ครั้งที่ฉินหลิวซีจะมาอ้อนขออะไรบางอย่างจากนาง ถ้าโดนต่อว่าในภายหลังนางก็จะไม่บอกหรอกว่าลูกมีส่วน
“แค่ครั้งนี้นะ”
“แค่ครั้งนี้อะไรกันล่ะเจ้าคะ ครอบครัวของท่านลุงไม่ได้มีบุญคุณต่อเราเสียหน่อย ไม่เห็นต้องทำให้เลย
คำขอบคุณสักคำก็ไม่มี”
“อาหลิว อย่าพูดอย่างนั้น”
“ท่านแม่ เราไปที่ลำธารกันเลยดีกว่า”
ขืนต่อปากต่อคำมากกว่านี้นางอาจเป็นฝ่ายแพ้ เด็กหญิงดันหลังมารดาให้รีบออกจากบ้าน ส่วนผ้าที่กองทิ้งไว้ก็วางไว้อยู่ที่เดิม เรื่องเสื้อผ้าของปู่กับย่าเดี๋ยวนางจะคอยหาทางตะล่อมในภายหลัง ตอนนี้ต้องทิ้งเสื้อผ้าที่เป็นภาระของครอบครัวลุงกับป้าสะใภ้ออกไปก่อน
วันนี้ฉินหลิวซีตั้งใจอย่างมากที่จะดึงความสนใจมารดาออกมาจากกองผ้า ทั้งชวนคุยเรื่องไร้สาระทั่วไป ระหว่างนั้นก็คิดหาวิธีให้บิดาแยกบ้านออกมา แต่เรื่องนี้ค่อนข้างจะยากกว่าการให้มารดาเลิกทำตามคำสั่ง
เพราะบิดาของนางสนิทกับบรรดาพี่น้องของตนมาก
“ท่านแม่ ก่อนหน้านี้ข้าเจอต้นพลับด้วย ตากผ้าแล้วข้าจะไปหามาให้ท่านนะเจ้าคะ”
“ต้นพลับหรือ ไปเจอตั้งแต่เมื่อไหร่กัน”
“ก่อนหน้านี้ไปเดินเล่นในป่าบังเอิญเจอเข้าน่ะเจ้าค่ะ” นางบอกไม่ได้หรอกว่า พาน้องชายมาเล่นแถวนี้ ไม่อย่างนั้นคงโดนซักไซ้มากกว่านี้เป็นแน่
หลังจากนำผ้าขึ้นตากจนหมดแล้ว ชิวย่าหนานก็ได้พักหายใจหายคอบ้าง นี่อาจเรียกได้ว่าเป็นช่วงเวลาเดียวที่นางได้พักผ่อนนอกจากตอนนอน เมื่อมีเวลาผ่อนคลาย
ฉินหลิวซีก็รีบมาบีบนวดให้มารดา เอาอกเอาใจสารพัดให้รู้สึกสบายเวลาที่ได้พักผ่อนจริง ๆ
ก่อนหน้านี้ชิวย่าหนานไม่เคยถูกทำแบบนี้ให้
ทั้งประหลาดใจและเข้าใจเวลาเดียวกัน นางยอมเออออตามใจลูกไม่เอาผ้าของบ้านใหญ่มานอกจากของพ่อแม่สามี คิดดูแล้วนี่อาจเป็นผลดีกว่าที่คิดก็ได้
เมื่อผึ่งลมผึ่งแดดจนแห้งแล้วก็ได้เวลากลับ
ชิวย่าหนานรู้สึกหวั่นใจเล็กน้อยที่ต้องกลับไปเผชิญหน้ากับคนในบ้าน รู้สึกได้เลยว่าจะต้องโดนต่อว่าอย่างหนักแน่
พอคิดถึงตอนนั้นตัวก็สั่นขึ้นมา สีหน้าของนางดูวิตกกังวลอย่างเห็นได้ชัด กระทั่งสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นที่ยื่นมาจับมือนางไว้ มองลงไปก็เห็นเป็นบุตรสาวของตนเป็นผู้ยื่นมือมากุมไว้
หลังจากได้รับความอบอุ่นนั้นความหวาดกลัวในใจก็ค่อย ๆ จางลง สองแม่ลูกเดินจูงมือกันกลับบ้าน
ฉินหลิวซีสัมผัสได้ว่า มือของมารดาชื้นเหงื่อเล็กน้อย ในใจผู้เป็นแม่ก็คงหวาดกลัวเช่นกัน ที่ยอมทำตามคำขอของนางเพราะใช้ความกล้าไม่น้อย เดิมทีก็มีนิสัยอ่อนแอ เช่นนี้จะกล้าก้าวออกมานั้นเป็นเรื่องยาก
ถึงแม้ตอนแรกจะรู้สึกหงุดหงิด แต่พออยู่ด้วยกันนานวันเข้านางก็เข้าใจและยอมรับได้ ที่เหลือคือการปรับตัวและค่อย ๆ พาผู้เป็นแม่ออกมาจากจุดนั้น อย่างน้อยก็อยู่ในระดับที่ไม่ใช่ยอมก้มหัวให้ใครเขาไปเสียทุกคน
เพราะเรื่องที่ทำไปในวันนี้ พอสองแม่ลูกกลับถึงบ้านก็มีเรื่องให้ปวดหัวทันที เพราะสะใภ้ใหญ่ สะใภ้สาม และน้าเล็กต่างมาเอะอะโวยวายอยู่หน้าบ้าน
“กลับมาแล้วนั่นไง ท่านแม่เจ้าคะ มาดูนางตัวดีนั่นสิ” ป้าสะใภ้เรียกจิกหัวใช้ตั้งแต่พวกนางยังไม่ทันก้าวเท้าเข้าบ้าน
หน้าบ้านซอมซ่อของสกุลฉิน มีสะใภ้ใหญ่ สะใภ้สามและอาหญิงเล็กยืนส่งเสียงดังแข่งกันอยู่ หัวข้อก็ไม่พ้นเป็นเรื่องที่ไม่ยอมซักผ้าไปได้จริง ๆ
