บท
ตั้งค่า

4-ไม่มีอะไร

“อาไฟมีอะไรจะคุยกับปังเหรอคะ?...” ทันทีที่อากับหลานเดินเข้ามาในที่ลับตาคน สวนหลังบ้านที่เงียบสงบเหมาะแก่การพูดคุยเรื่องที่เป็นความลับไม่อยากให้ใครรับรู้

“ก็ไม่มีอะไรมาก แค่อาจะบอกว่าอานัดวันที่จะพาหนูไปสมัครที่ค่ายมวยแล้ว” อาไฟบอกกล่าว

“จริงเหรอคะ? เย้ ๆ” คนที่ดีใจอย่างออกนอกหน้า ดวงตาเบิกกว้างตื่นตูม กระโดดเกาะแขนผู้เป็นอาด้วยความตื่นเต้นกับสิ่งที่อยากทำแบบลับ ๆ โดยมีอาไฟเป็นตัวสนับสนุนทั้งที่ไม่เต็มใจ ที่ทำไปเพราะหลานบังคับจนต้องจำนน

“เบา ๆ สิเดี๋ยวพี่ไอติมก็ไอยิน เอาไปฟ้องพ่อหรอก” อาไฟห้ามปรามเมื่อเสียงแหลมของหลานสาวคนรองดังลั่นเกินไป

“ชู่....” เธอทำท่าเบาเสียง นิ้วชี้แตะริมฝีปากแล้วทำปากจู่บ่งบอกทั้งที่ตัวเองเป็นคนเสียงดังคนเดียว “แล้วอาไฟจะพาปังไปวันไหนคะ? งื้อ ดีใจปังจะได้ชกมวยแล้ว หลังจากที่รอมานานหลายปี บัดนี้อีปังจะสมหวังแล้วจ้า ฮ่าฮ่าฮ่า” ขนมปังพูดออกมาอย่างคนเพ้อฝัน รอยยิ้มที่เปื้อนใบหน้าที่บ่งบอกว่าเธอนั้นดีใจเกินจะพรรณนา จนคนเป็นอาอมยิ้มกับกิริยาของหลานสาวตัวแสบ

“พรุ่งนี้ตอนเลิกเรียนหนูว่างไหมล่ะ เดี๋ยวอาไปรับแล้วเราก็ไปสมัครกันเลย...แต่เราจะไปกันเงียบ ๆ แล้วเดี๋ยวอาจะไปส่งหนูที่บ้าน โอเคไหม?” อาไฟวางมือบนหัวหลานสาวที่แสบซน บอกถึงเหตุผลและสิ่งที่ต้องทำในลำดับถัดไป

“โอเคสิคะอาไฟ...นวมค่ะปังต้องมีนวมมีชุดก่อน อาไฟซื้อให้ปังหน่อยสิคะ นะนะ” เธอตอบรับผู้เป็นอาก่อนจะนึกขึ้นได้ในสิ่งที่ยังขาดหาย เอ่ยปากขอผู้เป็นอาอย่างง่ายดายทั้งที่ไม่รู้จะได้จริงหรือไม่

“ไปขอพ่อหนูสิ” อาไฟเย้าแหย่

“ขอได้ไงล่ะคะ ถ้าปังไปขอนะคุณพ่อก็ต้องรู้สิว่าปังเอาไปทำอะไรแบบนี้ แค่ทุกวันนี้ก็ถูกบ่นจนหูจะชา แม่แนนก็แทบจะกินพาราทุกวันอยู่แล้ว ปังตายพอดีค่ะโดนหวายแน่ ๆ งานนี้ จากขนมปังปอนด์คงกลายเป็นขนมปังเละ” ขนมปังพูดร่ายยาวเหยียด เมื่ออาไฟนั้นไม่ยอมตกลงในการส่งเสริมอุปกรณ์กีฬาแก่เธอ

“สรุปเป็นลูกใคร ลูกอาหรือลูกพ่อเจกันแน่” อาไฟจับหัวหลานสาวโยกไปมาอย่างมันเขี้ยว ใบหน้าที่ยู่ย่นน่ารักทำให้ผู้เป็นอาที่เห็นเธอมาแต่อ้อนแต่ออดนั้นเอ็นดูไม่เสื่อมคลาย รักสุดใจดั่งลูกตัวเองก็ไม่ปาน ไม่ว่าจะเป็นพี่ไอติมหรือน้องขนมปัง อาไฟก็รักเท่าเทียมกันเสมอไม่เปลี่ยนแปลง

“เป็นลูกลิง แม่แนนบอกว่าหยิบขนมปังมาผิด ฮ่าฮ่าฮ่า” เธอพูดพาดพิงถึงผู้เป็นแม่ที่เคยพูดแซวเธออย่างตลกขบขัน ก่อนจะปล่อยหัวเราะลั่นชอบใจ

“อาว่าก็น่าจะจริง หนูกับพี่ไอติมต่างกันลิบลับ” อาไฟพูดเสริมต่อ

“อาไฟอ่ะ ทำไมไม่เข้าข้างปังเล่า นี่ขนมปัง เฌอรียา หลานสาวสุดสวยของอานะคะ” ขนมปังหน้างอปรายสายตามองหน้าผู้เป็นอาอย่างเง้างอน

“ก็หนูทั้งแสบทั้งซนมาก ๆ แต่พี่ไอติมแค่ซนเฉย ๆ”

“อย่ามาพูดเลย คุณแม่ก็ใช่ย่อยนะคะ...ตอนเป็นสาวที่อาไฟเล่าให้ขนมปังฟังอ่ะ นึกว่าแนนไฟท์ไทยแลนด์ไม่ใช่หรือไงคะ ฮ่าฮ่าฮ่า” ขนมปังพูดสวนขึ้นทันใดเมื่ออาไฟนั้นพูดถึงเธอในพฤติกรรมที่เป็น

“อาจะฟ้องแนน” อาไฟพูดแย่ทีเล่นทีจริง

“ปังจะฟ้องคุณแม่คืนเหมือนกัน” ขนมปังไม่ยอมปรนกล่าวต่อด้วยชั้นเชิงที่เหนือกว่า เพราะยังไงคนเป็นอาก็เป็นผู้เล่าให้เธอฟังถึงพฤติกรรมเหล่านั้นของแม่แนน

“ไปดีกว่า...ปวดหัวสุดเวลาคุยกับหนู” อาไฟว่าจบและเดินเข้าบ้านทันที

“รอปังด้วย” หลานสาวตัวดีรีบวิ่งปรี่ตามหลังก่อนจะตามทันแล้วเดินเคียงข้างผู้เป็นอาเข้าไปในบ้าน

“ไม่รู้จักโตสักที ดูสิสูงจนถึงไหล่ของอาแล้วปังเอ้ย” อาไฟยีหัวหลานสาวอย่างหยอกเย้าขณะเดินเคียงเข้าบ้าน

“โตแล้วค่ะ โตแต่ตัว สมองยังเป็นเบบี๋...ฮ่าฮ่าฮ่า” ขนมปังไม่สะทกสะท้านในคำต่อว่าของผู้เป็นอาเธอเฉไฉได้ตลอดเวลาไม่คิดมาก เพราะรู้ว่านั่นคือการหยอกล้อให้อารมณ์ดี

“อาไฟคะ?” ทันทีที่ไอติมเห็นอาไฟเดินมาพร้อมขนมปัง เธอจึงเรียกขานทันทีด้วยสีหน้างุนงง

“มีอะไรไอติมทำไมทำหน้าแบบนั้น” อาไฟย้อนถามเมื่อเห็นสีหน้าของหลานสาวคนโตนั้นขมวดคิ้วแทบเป็นเลยแปดพร้อมกับชี้นิ้วไปตรงหน้า

“นะ นี่มันอะไรกัน ทะ ทำไม...?” สิ่งที่เห็นทำให้เธอนั้นตกตะลึงงันจนแทบครองสติไม่อยู่ ทุกสิ่งที่เผยตรงหน้าทำให้เธองวยงงสงสัยแทบไปไม่เป็น มองหน้าผู้เป็นอาอย่างรอคำตอบ

...อาไฟหันไปมองตามมือที่ไอติมชี้จุด สิ่งที่เห็นทำให้เขานั้นเบิกตากว้างตกใจ ไม่คิดฝันว่าเธอที่เก็บซ่อนจะโผลออกมาทั้งที่สั่งห้ามหนักหนาว่าไม่ให้มาเพ่นพ่านในยามที่มีคนมาบ้าน เขามองจ้องเพ่งพิศสายตาด้วยความเกรี้ยวโกรธ ขบฟันแน่นอย่างระงับอารมณ์เพราะไม่อยากแสดงท่าทีไม่ดีต่อหน้าหลาน ๆ

“ยังไงคะอาไฟ ทำไมน้ำอุ่นถึงมาอยู่ที่นี่” ไอติมถามด้วยความงวยงง มองหน้าผู้เป็นอาและคนที่เธอคุ้นหน้าคร่าตา สลับไปมาอย่างต้องการคำตอบ

“ก็ไม่ยังไง อาเห็นว่าน้ำอุ่นยืนรอรถนานเลยให้ติดรถมาด้วยก็แค่นั้น” อาไฟแก้ต่างพร้อมปรายสายมองไปยังคนที่ยืนก้มหน้าอย่างเกร็ง ๆ

“แล้วทำไมน้ำอุ่นต้องมาอยู่ที่นี่ล่ะคะ?” ไอติมยังคงถามต่อเมื่อสิ่งที่ได้ฟังนั้นยังไม่เคลียร์ในสิ่งที่เธอสงสัย

ขนมปังที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ยืนมองปากของผู้เป็นอาและพี่สาวสลับไปมาอย่างสังเกตการณ์ เครื่องหมายคำถามวิ่งวนรอบหัวเธอไม่สิ้นสุด พยายามที่จะจับใจความในเรื่องราวแต่ก็ไม่สามารถที่จะเข้าใจอะไรที่ซับซ้อนเช่นนี้ได้ จึงทำได้เพียงยืนเกาหัวยิก ๆ เท่านั้น

“ก็อายังไม่พาไปส่งไง เพราะอาจะรอพวกหนูก่อน...ไปกินข้าวกันดีกว่าปะ ๆ อาหิวไส้จะขาด” อาไฟตอบกลับหลานสาวออกไปอย่างปัด ๆ และดันหลังหลานสาวคนโตตรงไปยังโต๊ะ

“เขามีเรื่องไรกันวะ ทำไมปังไม่รู้เรื่อง ปังงง ปังไม่เข้าใจ ปังหิว!!...งุ้ย ผู้ใหญ่นี่เข้าใจยากจัง” ขนมปังที่ยืนงงในดงผู้ใหญ่ เธอยืนเกาหัวงงงวยมองตามหลังพี่สาวและอาที่เดินนำหน้าไปยังโต๊ะอาหาร

...เจทยืนนิ่งสังเกตกิริยาของน้ำอุ่นที่ดูเศร้าหมอง เธอก้มหน้ามองพื้นอย่างเศร้าสร้อย บางอย่างที่แอบคิดไกลว่าไม่น่าจะใช่อย่างที่อาไฟบอกเป็นแน่

“พี่ ๆ ไปกินข้าวดีกว่าปะ...เดี๋ยวอาไฟกินหมดก่อนเราจะอดเอานะ ว่าแต่พี่เป็นใครอ่ะคะ?” ขนมปังที่เห็นหญิงสาวยืนนิ่ง ความมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดีและเข้ากับคนง่าย เธอเดินไปจับมือหญิงสาวแล้วพูดพร่ำก่อนจะเอ่ยถามถึงที่มากับตัวบุคคล

“................” น้ำอุ่นยังคงนิ่งทำเพียงส่งยิ้มอ่อนให้ขนมปังเท่านั้น

“ช่างเถอะค่ะ เป็นใครก็ช่าง เราไปกินข้าวกันดีกว่า ปังหิวมาก ๆ ไปพี่ไป...ไปสิพี่เจทยืนแข็งทื่ออยู่นั่น มองพี่เขาอะไร เดี๋ยวเถอะปังจะฟ้องพี่ไอติม” ขนมปังที่แสบซนพร่ำคนเดียวแทบไม่เว้นวรรคก่อนจะลากน้ำอุ่นมายังโต๊ะอาหาร

...บรรยากาศบนโต๊ะอาหารที่ดูอึมครึม ไอติมที่จ้องมองพฤติกรรมของอาไฟและน้ำอุ่นอย่างจับสังเกต ความเงียบที่ผิดแปลกจากที่เคยเป็นเพราะคนเป็นอานั้นจะพูดพร่ำเมื่ออยู่กับพวกเธอในวันวาน แต่ว่าวันนี้กลับดูเงียบจนผิดปกติไปถนัดตา

“อาไฟพรุ่งนี้อย่าลืมไปรับปังนะคะ” ขนมปังพูดขึ้นสยบความเงียบ เธอพูดโดยไม่ได้มองผู้คนที่รอบข้าง สายตามองเพียงอาหารตรงหน้า ตักเข้าปากอย่างเอร็ดอร่อย

“...............” แต่ผู้เป็นอาหาได้สนใจหลานสาว นั่งเขี่ยข้าวไปมาและตักเข้าปากบ้างเป็นบางครา สายตาจ้องมองหญิงสาวที่นั่งฝั่งซ้ายมือเป็นระยะ แต่เธอนั้นกลับหลบสายตาของเขาทุกครั้งที่สบสายตากันอย่างกับเธอนั้นหวาดกลัว

“แล้วอย่าลืมที่สัญญากับปังนะคะ” ขนมปังยังคงพูดต่อ พร้อมกับเอื้อมมือตักแกงจืดเต้าหู้ไข่อย่างฝักใฝ่ โดยไม่สนใจที่จะมองสีหน้าของอาด้วยซ้ำ เพราะความหิวครอบงำกระเพาะของเธอ

“.....................” อาไฟยังเป็นเช่นเดิม เงียบกริบไม่ปริปากพูด

“อาไฟคะ อาไฟ!!!!!” ขนมปังที่ไม่ได้ยินเสียงตอบกลับเธอหันสายตามองหน้าผู้เป็นอาที่นิ่งเฉย ก่อนจะตะเบ็งเสียงดังเรียกขานจนคนทั้งโต๊ะนั้นสะดุ้งตัวโหยงตกใจ

“อะไรเนี้ยปัง เสียงดังทำไม?” อาไฟสะดุ้งตามเสียงทำให้เขาหลุดจากภวังค์ความคิด และต่อว่าหลานสาวด้วยสีหน้าตำหนิ

“พี่ตกใจหมดขนมปัง” พี่ไอติมเสริมเมื่อเธอก็ตกใจไม่น้อยกับเสียงน้องสาว

“ก็ปังพูดกับอาไฟตั้งนาน อากลับเงียบกริบไม่ตอบโต้ เหมือนปังพูดคนเดียวเล่นคนเดียวอย่างนั้นแหละ” ขนมปังตอบโต้

“แล้วหนูมีอะไร?” อาไฟย้อนถามด้วยสีหน้านิ่ง น้ำเสียงเรียบตึง

“สัญญานะคะที่เรานัดกันไว้” ขนมปังบอกย้ำกับสิ่งที่คุยก่อนหน้า ที่ผู้เป็นอาตบปากรับคำที่จะพาไปสมัครเรียนชกมวย

“ไม่ลืม ๆ พรุ่งนี้อาไปรับตอนเย็นไง” อาไฟบอกให้หลานสาวมั่นใจก่อนจะตักข้าวเข้าปาก

“ดีมากค่ะ” ขนมปังยิ่มร่าอย่างสดใส

“สัญญาอะไรขนมปัง...แอบคิดซนอะไรหรือเปล่า” พี่ไอติมหันมองหน้าน้องสาวอย่างไม่ไว้ใจเหมือนกับเธอกำลังมีความลับที่แอบซ่อนไว้

“เปล่าซะหน่อย...ทำไมพี่ไอติมมองปังแบบนั้นอ่ะ ปังเนี้ยออกจะเรียบร้อยและเชื่อฟังสุด ๆ แล้วนะคะ”

((เหรอ!!!))

เสียงตอบอย่างหน่าย ๆ ของคนทั้งสามยกเว้นแต่น้ำอุ่นที่ไม่คุ้นชินกับขนมปัง ทุกเสียงตอบรับลั่นดัง เพ่งสายตามองเด็กสาวขนมปังอย่างเอือมระอาในคำพูดที่เธอยกยอปอปั้นตัวเอง

“ทำไมทุกคนต้องพูดพร้อมกัน ทำไมไม่มีใครเชื่อปังเลย” ขนมปังทำหน้างอพูดออกมาอย่างคนน้อยใจ

“คำตอบชัดเจนไม่น่าถามนะลูก” อาไฟพูดแซว

((ฮ่าฮ่าฮ่า)) (คิกคิก)

ทำเอาคนที่ได้ฟังนั้นปล่อยหัวเราะออกมา เมื่อได้พูดกลั่นแกล้งเธอ และมีอีกเสียงเล็กที่เล็ดลอดหัวเราะเบาอย่างไม่อาจเก็บกลั้นกับความสดใสของขนมปัง แต่เธอต้องคืนเสียงหัวเราะลงลำคอเพราะสายตาดุของอาไฟมองมาที่เธอ

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel