บทที่ 8 สะใภ้สุดแซบกับแม่สามีสุดซ่าส์ 1.3
อีกห้านาทีจะถึงเวลารับประทานอาหารเย็นของบ้านนรินทร์จรรยา แม่ครัวสาวร่างสวยลำเลียงอาหารกลิ่นหอมฉุยมาวางเรียงรายบนโต๊ะ โดยมีสำเนียงสาวใช้อีกคนในบ้านที่ดูจะญาติมิตรกับประภาพรรณคอยช่วยจัดโต๊ะอีกแรงหนึ่ง
“หน้าตาน่าทานจังเลยหนูมิว” เจ้าของบ้านเดินเข้ามาในห้องรับประทานอาหาร ทรุดนั่งประจำที่เมียงมองหน้าตาอาหารที่แปลกตา แต่ชวนรับประทาน “คุณหญิงบอกว่าเย็นนี้หนูมิวเป็นคนทำอาหาร จริงหรือเปล่า?”
“จริงค่ะคุณพ่อ ไม่รู้จะถูกปากคุณพ่อหรือเปล่านะคะ แต่มิวก็พยายามเต็มที่ค่ะ” ประภาพรรณพูดออกตัว
“เมียผมซะอย่างครับคุณพ่อ ไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้ มิวทำอาหารอร่อยนะครับคุณพ่อ ผมกินมาตั้งหนึ่งปีเต็มๆ เสน่ห์ปลายจวักมัดใจผมซะอยู่หมัดเลยครับ” พันกรกล่าวเสริมระหว่างที่กำลังทรุดตัวลงนั่งประจำที่ ประภาพรรณยิ้มเขินเมื่อได้ยินคำพูดของสามี
“ให้มันแน่เถอะ กลัวจะทานไม่ได้ล่ะไม่ว่า”
เสียงของปทุมวดีดังมาก่อนตัว นางได้ยินคำพูดของลูกชายพอดีตอนที่เดินเข้ามาในห้องนี้ อดไม่ได้ที่ขัดคอ นึกหมั่นไส้สามีและลูกชายที่เอาใจ รักใคร่ในตัวประภาพรรณอย่างออกนอกหน้า
“อย่างนี้ต้องลองทานดูค่ะคุณแม่ ไม่ลองไม่รู้” ลูกสะใภ้สุดแสบเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“หน้าตาน่าทานนะคุณ ดูสิสีสันมากๆ เลยนะ ผมว่าต้องอร่อยแน่ๆ”
ปรีชาชาญชี้ชวนให้ภรรยาดูอาหารบนโต๊ะ ที่เห็นเป็นถ้วยใหญ่ๆ น่าจะเป็นต้มยำน้ำใส กลิ่นหอมยั่วน้ำลาย พริกขี้หนูแดงทุบพอแตกโรยหน้า บ่งบอกถึงรสชาติจัดจ้าน ผัดผักรวมมิตรที่มีผักหลายชนิดทั้งใบเขียว แครอท กะหล่ำปลีม่วง ผัดรวมกันดูมีสีสันน่ารับประทาน อีกจานหนึ่งเหมือนจะเป็นส้มตำแต่แตกต่างกันตรงที่ไม่ได้ใส่มะละกอ นางมองไม่ออกว่าเป็นตำอะไร ทว่าสีสันน่าทานทีเดียว มาถึงจานสุดท้าย นางคิดในใจว่าน่าจะเป็นผัดกระเพาเนื้อสับ
“ว่าแต่ว่าอาหารบนโต๊ะมีอะไรบ้างล่ะ?” ปทุมวดีเอ่ยถาม
“ทานก่อนนะคะ แล้วมิวจะบอก” ตอบเสร็จก็พยักหน้าให้สำเนียงทำหน้าที่ตักข้าวสวยใส่จาน ปทุมวดีใช้ช้อนกลางตักต้มยำชามใหญ่ก่อนจะปล่อยช้อนทิ้งทันทีเมื่อเห็นบางสิ่งบางอย่างที่อยู่ในช้อน
“นี่หล่อนเอาเท้าไก่มาทำต้มยำให้ฉันกับคุณปรีชาทานเหรอ รู้ไปถึงไหนอายไปถึงนั่น คุณพี่ยากทานนะคะ เสียเกียรติหมด” นางหันมาต่อว่าประภาพรรณ ก่อนจะหันไปบอกสามีไม่ให้รับประทาน
“โธ่...คุณแม่ขา เท้าไก่มันต่ำที่ไหนกันล่ะคะ ทุกคนในประเทศไทยก็กินกันทุกคนนั่นแหละคะ ถ้าคนที่กินเท้าไก่แล้วต้องเสียเกียรติ คนทั้งประเทศก็คงไม่มีเกียรติกันเลยสักคน หรือว่าคุณแม่ไม่เคยทาน ลองทานสิคะแล้วจะติดใจ” ประภาพรรณหาข้อโต้กลับจนได้
“นั่นสิคุณ ผมว่าไม่เห็นจะต่ำไม่เห็นจะเสียเกียรติตรงไหนเลย ผมไม่เคยทานมานานมากแล้วนะ ครั้งสุดท้ายก็เห็นจะเป็นเมื่อสิบปีก่อน ตอนโน้นผมไปหาเสียงแถวภาคอีสาน คนที่โน่นเขาทำต้มยำไก่ป่าให้ทาน นำเอาอวัยวะทุกส่วนของไก่มาทำอาหารยกเว้นคอแล้วก็ไส้ ผมยังกินเท้าไก่ไปหนึ่งชิ้น แหม..อร่อยอย่าบอกใคร เนื้อมันกรุบๆ ยิ่งต้มให้เปื่อยยิ่งอร่อย”
ปรีชาชาญเล่าถึงความหลังเมื่อสิบปีก่อนและนับจากนั้นเขาก็ไม่ได้ทานเท้าไก่อีกเลย วันนี้ลูกสะใภ้ทำต้มยำเท้าไก่ให้ทาน มีหรือที่รัฐมนตรีจะพลาดโอกาสนี้ รับจับช้อนกลางแล้วตักต้มยำใส่จานข้าวของตนเองทันที ผู้เป็นภรรยาเห็นสามีรับประทานตุ้ยๆ จึงส่งค้อนให้
“คุณแม่ลองทานสิครับ อร่อยนะครับ รับรองทานแล้วเกียรติของคุณแม่ยังอยู่ครบถ้วนสมบูรณ์”
พันกรกล่าวเสริมอีกคน ขณะที่กำลังตักต้มยำเท้าไก่ใส่ปาก ผู้เป็นแม่จึงส่งค้อนให้ลูกชายอีกคน ชำเลืองมองต้มยำเท้าไก่หน้าตาน่าทาน และตอนนี้ท้องของนางก็ร้องโครกครากด้วยความหิว จึงตัดสินใจตักต้มยำไก่มาใส่จานบ้าง แล้วรับประทาน
“อืม อร่อยดี” คนเจ้ายศเจ้าอย่างเอ่ยชม ประภาพรรณมองมือของแม่สามีที่กำลังจะตักจานผัดกระเพราด้วยรอยยิ้ม มองจนกระทั่งปทุมวดีตักเข้าในปากแล้วเคี้ยวตุ้ยๆ อาหารมื้อนี้ดูเหมือนจะอร่อยเป็นพิเศษแต่ละคนขอข้าวเพิ่มกันอย่างถ้วนหน้า อาจเป็นเพราะว่าอาหารมื้อนี้แปลกกว่าทุกมื้อ
“อร่อยจังเลยหนูมิว อร่อยทุกอย่างเลย ยิ่งผัดกระเพราจานนี้เนื้อมันกรุบๆ ดีจังใช้หมูอะไรทำหรือลูก?” ปรีชาชาญเอ่ยถามหลังจากที่รับประทานอาหารคาวเสร็จเรียบร้อย รอให้อาหารหวานมาเสิร์ฟ
“นั่นสิ มิวบอกว่ากินข้าวเสร็จแล้วจะบอกว่าคืออะไร?” พันกรเตือนความจำภรรยา
“ต้มยำชามนี้เดิมทีเรียกว่าต้มยำเท้าไก่ แต่มิวเปลี่ยนชื่อเป็นต้มยำสี่นิ้วค่ะ เพราะเท้าไก่มีสี่นิ้วจะได้ดูมีเกียรติหน่อย ส่วนจานนี้ก็คือผัดผักมั่วสั่ว มิวไปซื้อผักที่เขากองขายกองละสิบบาทมาค่ะ แต่ขอต่อเขานิดหน่อยด้วยการหยิบผักชนิดนั้นนี้อย่างละนิดล่ะหน่อยมาร่วมกันจ่ายไปเพียงยี่สิบบาทค่ะ แล้วจานนี้ก็คือตำมั่วรสแซบ ตำเหมือนส้มตำค่ะแต่ทำจากผลไม้ มิวซื้อผลไม้ตามรถเข็นค่ะ มีสัปปะรด มะม่วง มันแกว องุ่น ต่อเขาเหมือนกันค่ะปกติขายถุงละสิบบาทเป็นสี่ถุงสามสิบ ส่วนจานนี้เด็ดสุดค่ะ มิวเห็นคุณแม่ตักเอาตักเอาแล้วปลื้มใจ มิวเจียดเงินสองร้อยที่คุณแม่ให้ไปซื้อเนื้อสัตว์ชนิดนี้ค่ะ หนูนาค่ะ ผัดกระเพราหนูนาสับค่ะ รสเด็ด อร่อยเหาะอย่าบอกใคร”
ปรีชาชาญกับพันกรไม่ได้มีทีท่าผิดแผกไปเมื่อรู้ชื่อเมนูและส่วนผสมของอาหารที่พวกเขาได้ทานลงไปเมื่อครู่ เพราะแต่ละอย่างล้วนแล้วแต่มีประโยชน์ต่อร่างกายทั้งสิ้น ผักเอย ผลไม้เอย เนื้อสัตว์เอย และไม่ตกใจด้วยว่าผัดกระเพราที่ทานไปนั้นแท้จริงแล้วไม่ได้ทำจากเนื้อหมู แต่เป็นเนื้อหนูนา
“นี่หล่อนเอาหนูนามาให้ฉันกินเหรอ?”
ปทุมวดีถามเสียงสูง ทำท่าพะอืดพะอมอยากจะขย่อนอาหารที่ทานลงไปเมื่อครู่ออกไปจากท้องให้หมด โดยเฉพาะเนื้อหนูนา
“ใช่ค่ะ” เธอตอบด้วยรอยยิ้ม “คุณแม่ให้เงินมิวไปซื้อกับข้าวแค่สองร้อยนะคะ จะให้มิวซื้อกุ้งมังกร ปลาหมึกตัวใหญ่ๆ มาทำผัดกระเพราได้ยังไงล่ะคะ จะทำจากเนื้อสับหรือเนื้อไก่มันก็ดูไม่ใช่อาหารเหลาอย่างที่คุณแม่ต้องการ หนูนานี่เลิศสุดแล้วค่ะ หายากด้วยนะคะมีบางที่เท่านั้นค่ะ แต่ถ้าตามตลาดต่างจังหวัดมีเพียบค่ะ หนูนาสับผัดกระเพราจึงถือว่าเป็นอาหารเหลาอย่างหนึ่งค่ะคุณแม่”
พอประภาพรรณพูดจบ ปทุมวดีนำมือมาปิดปากแล้ววิ่งไปยังห้องน้ำที่ใกล้ที่สุดทันที โก่งคออาเจียนในโถส้วมอย่างเอาเป็นเอาตาย “อ้วก อ้วก อ้วก” เสียงอาเจียนดังออกมาถึงในห้องรับประทานอาหาร
“ผมไปดูคุณแม่ก่อนนะครับคุณพ่อ” พันกรเอ่ยขึ้นเมื่อได้ยินเสียงอาเจียนของมารดา
“อืม ไปสิ” ปรีชาชาญอมยิ้มเวลาพูด เขาอยากจะหัวเราะออกมาดังๆ มากกว่า นี่แหละหนาผลกรรมที่อยากจะแกล้งลูกสะใภ้ สุดท้ายก็โดนย้อนรอยเต็มๆ ก่อนลุกขึ้นยืน พันกรหันมาถลึงตาใส่ภรรยาอย่างคาดโทษ ทำเอาสาวแสบถึงกับหน้ามุ่ย
“คุณแม่เป็นยังไงบ้างครับ?” ลูกชายเอ่ยถามขณะที่ลูบหลังให้มารดา ปทุมวดีเอื้อมมือมากดปุ่มกดชักโครก แล้วยืดตัวขึ้น พันกรยื่นทิชชู่ส่งให้มารดาเพื่อเช็ดปาก ก่อนจะพยุงปทุมวดีเดินออกจากห้องน้ำ
“ดู ดูเมียกรทำกับแม่นะลูก เอาหนูนามาให้แม่กิน กรต้องจัดการให้แม่นะ”
ปทุมวดีใช้ลูกอ้อนเรียกร้องความสนใจจากลูกชาย คนกลางอย่างพันกรถึงกับพูดไม่ออก หากไม่ทำตามมารดาก็จะหาว่าเขาหลงภรรยา หากทำตามประภาพรรณก็อาจจะโกรธเขาอีก
“จะให้ตากรทำอย่างนั้นได้ยังไงล่ะ หนูมิวไม่ผิดซักหน่อย”
ปรีชาชาญที่ตรงฉินคนหนึ่งเอ่ยขึ้นขณะที่เดินมายังห้องรับแขก ปทุมวดีที่นั่งดมยาดมค้อนสามีอีกรอบ แทนที่จะเข้าข้างภรรยาของตัวเองกลับไปเข้าข้างลูกสะใภ้
“ก็มิวเอาหนูนาให้ปทุมทานนี่คะ นึกถึงแล้วอยากจะอ้วก” คนที่พูดทำท่าจะอาเจียนขึ้นมาจริงๆ เมื่อนึกถึงอาหารจานนั้น
“เมื่อกี้ผมเห็นคุณกินเอ้ากินเอา กินเยอะกว่าผมกับกรอีก ทีตอนนี้จะมาอ้วกให้ผัดกระเพรานั้นออกมา พิลึกคน”
ปรีชาชาญพูดอย่างขบขัน อาการของภรรยาตอนนี้ต่างกับตอนที่อยู่บนโต๊ะอาหารมากเหลือเกิน ตอนนี้ปทุมวดีทานอาหารอย่างเอร็ดอร่อย เติมถึงสองจานด้วยซ้ำ นั่นเท่ากับว่าอาหารมื้อนี้ถูกปาก แต่พอเวลานี้กลับอยากจะอาเจียนออกมาเมื่อรู้ว่าเป็นผักกระเพราจานนั้นทำมาจากหนูนา
“ก็ตอนนั้นปทุมไม่รู้นี่คะว่าเป็นหนูนาก็เลยทาน” พูดพลางส่งค้อนให้สามี
“ถือเสียว่าหนูนานั้นเป็นเนื้อติดกระดูกก็ได้ กรุบๆ อร่อยดีออก”
“ไม่รู้แหละ ตากรต้องจัดการให้แม่นะ ไม่งั้นแม่ไม่ยอมด้วย”
ปทุมวดีหันมาอ้อนลูกชาย เพราะน่าจะได้ผลกว่าอ้อนสามี พันกรมีสีหน้าลำบากใจขึ้นมาอีกรอบ เขาเป็นคนกลางทำใจยากเหลือเกิน
“กร ไปจัดการหนูมิวไป เดี๋ยวทางนี้พ่อจัดการแม่เอง” ปรีชาชาญบอกพันกรเมื่อเห็นสีหน้าลำบากใจของลูกชาย ปทุมวดียิ้มกว้างอย่างสมใจที่สามีเปลี่ยนมาเข้าข้างนาง พูดให้ลูกชายไปจัดการลูกสะใภ้ ทว่ารอยยิ้มนั้นหุบลงโดยพลันหลังจากที่สามีปล่อยประโยคที่สองออกมา
“ไปจัดการให้หนูมิวมีลูกเร็วๆ แหม...พ่อล่ะถูกใจลูกสะใภ้คนนี้จริงๆ เลย แสบได้ใจมากๆ มีหลานชายคงจะทโมนน่าดู ถ้าเป็นผู้หญิงคงจะแก่นแก้วน่ารัก ไปเลย เอาแฝดเลยนะ”
ผู้เป็นพ่อขยิบตาให้ลูกชายอย่างรู้กัน พันกรยิ้มร่ารับคำก่อนจะเดินไปหาประภาพรรณที่ยืนหน้าแดงซ่านตรงประตูที่เชื่อมต่อระหว่างห้องรับแขกกับห้องรับประทานอาหาร
“คุณปรีชาทำอย่างนี้ได้ยังไงคะ คุณเข้าข้างมิว ไม่เข้าข้างปทุมเลย” ปทุมวดีต่อว่าสามียกใหญ่ ค้อนแล้วค้อนอีกจนคอแทบจะหัก
“ผมไม่ได้เข้าข้างใครนะปทุม คุณเองไม่ใช่เหรอที่แกล้งหนูมิวก่อน ให้ไปซื้อกับข้าวด้วยเงินแค่สองร้อย ทั้งๆ ที่อาหารสด ผักต่างๆ และผลไม้ก็มีอยู่เต็มตู้เย็น ผมเชื่อว่าถ้าหนูมิวนำของสดที่อยู่ในตู้เย็นมาปรุงอาหาร เรื่องแบบนี้ก็จะไม่เกิดขึ้น ถือว่าหยวนๆ กันไป” เจ้าของบ้านพูดอย่างเป็นกลาง
“คุณปรีชารู้ได้ยังคะว่าของสดมีเต็มตู้เย็น มันไม่มีเลยต่างหากไม่งั้นปทุมไม่ให้มิวไปซื้อกับข้าวหรอกค่ะ”
คุณหญิงเจ้ายศเจ้าอย่างเถียงข้างๆ คูๆ รู้ดีว่าของสด ผักและผลไม้บ้านนี้ไม่เคยขาด ใครอยากจะทานอะไรสามารถสั่งแม่ครัวได้ทุกเวลา พร้อมเสิร์ฟทันทีที่สั่ง แต่ก็ยังเถียงออกไป
“ถ้าผมไปเปิดตู้เย็นแล้วเห็นมีของสดอยู่ คุณต้องเลิกแกล้งหนูมิว เอาอย่างนั้นมั้ย?”
สามีท้าภรรยาเล็กน้อย ปทุมวดีหน้างอ หากสามีทำอย่างนั้นจริงๆ มีหวังนางต้องเป็นฝ่ายแพ้ลูกสะใภ้สุดแสบแน่นอน ไม่มีทาง นางไม่ยอมหรอก
“ปทุมไม่ได้แกล้งนะคะ แค่ทดสอบไหวพริบของมิวเท่านั้นเองค่ะ” ปทุมวดีหาข้อแก้ตัวได้อย่างหวุดหวิด
“แล้วเป็นไงล่ะ ไหวพริบดีเกินคาด เล่นเอาคุณซะอ้วกเลย” ปรีชาชาญว่าสำทับ
“ปทุมไม่พูดกับคุณปรีชาแล้ว ไปนั่งขัดเพชรดีกว่า” ผู้เป็นภรรยาเดินเชิดหน้าขึ้นไปบนห้อง โดยมีสายตาของสามีมองตามไป
“พอกันทั้งคู่” ปรีชาชาญเอ่ยขึ้นมาเบาๆ เขาเริ่มเห็นเค้าลางของความวุ่นวายชวนปวดหัวของแม่สามีกับลูกสะใภ้ขึ้นมาบ้างแล้ว อีกฝ่ายหนึ่งก็แสบถึงใจ อีกฝ่ายก็ซ่าส์ใช่ย่อย งานนี้พันกรคงตกที่นั่งลำบากอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้