ตอนที่ 3 เจ้าอีกแล้วหรือ
“ท่านอ๋องเสด็จมาครานี้….”
“อ้อไม่ต้องมากพิธี บอกให้ทุกคนว่าไม่ต้องทำสิ่งใดเป็นพิเศษ เพียงรีบมาช่วยพวกท่าน ตอนนี้ในวังยังไม่มีเหตุการณ์อะไรน่าเป็นห่วง อีกอย่างข้าพึ่งเดินทางกลับมาจากหลิงโจวก็เดินทางมากับหลันอ๋องเลย”
“เอ่อ เช่นนั้นหลันอ๋องเล่าพ่ะย่ะค่ะ”
“เขากลับไปหลันโจวแล้ว เห็นว่ายังมีเรื่องที่จะต้องจัดการอยู่ หมอเวินหากมีสิ่งใดที่ต้องการเร่งด่วนก็รีบแจ้งมาได้เลย ข้าจะให้คนจัดหาให้ ขอโทษด้วยที่มาช้าไปสักหน่อยแต่ดู ๆ แล้วพวกท่านมิได้ลำบากมาก”
“พ่ะย่ะค่ะ ที่นี่มีคุณหนูถานที่คอยช่วยเตรียมของที่ขาดให้ แต่ว่านางก็แอบช่วยโดยมิอาจออกนามได้”
“เป็นเพราะเหตุใดกัน ดูเหมือนว่าคุณหนูผู้นี้จะมีเรื่องราวที่แอบซ่อนอยู่มากจริง ๆ”
“คือว่า…”
หมอหลวงเวินหันไปมองพักตร์ท่านอ๋อง แต่ก็มิได้พูดอะไรมากนักเพราะเกรงว่าจะเป็นเรื่องไม่ควร ท่านอ๋องเองก็มิได้ซักถามต่อ เขาปล่อยหมอเวินกลับออกไปทำงานและหันไปมององครักษ์ข้างกาย ผู้ที่พึ่งไปรับเขามาจากเมืองหลิงโจว
“จิ่นหาว”
“พ่ะย่ะค่ะ”
“ส่งคนตรวจสอบสกุลถานให้ข้าที แล้วก็… ทางที่ดีให้น้องเก้าสืบหาเรื่องของสกุลถานที่ติดอยู่นอกเมืองด้วย ข้าอยากจะรู้ว่าตระกูลคหบดีถานผู้นี้มีความเป็นมาอย่างไร โดยเฉพาะ…ถานซินเยว่”
“รับบัญชาพ่ะย่ะค่ะ”
“จิ่นหาว” องครักษ์ของเสิ่นอ๋องรีบเดินออกไปในทันทีหลังจากได้รับคำสั่ง แม้ว่าจะเป็นทั้งคนสนิทและองครักษ์ข้างพระวรกายท่านอ๋อง แต่เขากลับเป็นคนพูดน้อย หากเป็นคำสั่งท่านอ๋องเขาก็จะรับปากอย่างไม่ลังเล และไม่เคยถามเลยสักครั้ง ไม่ว่าจะเป็นคำสั่งใดก็ตาม
“ถานซินเยว่… เป็นถึงบุตรสาวคหบดีผู้ร่ำรวย แล้วบาดแผลเหล่านั้นมาจากไหนกัน”
สามวันถัดมา
ดูเหมือนว่าตั้งแต่ท่านอ๋องเสด็จมาถึงก็แทบจะไม่ได้สนใจเรื่องอื่นอีกเลย หลังจากที่ต้องช่วยผู้ป่วยจากพายุฝนที่โหมกระหน่ำแล้ว ยังพบว่าที่อำเภอลี่เหมินยังขาดของจำเป็นอีกหลายอย่าง ซึ่งก็ทำให้เขาลืมเรื่องของถานซินเยว่ที่พบในวันแรกไปเสียสนิท จนกระทั่งนางนำยาสมุนไพรมาส่งอีกครั้งในวันนี้
“รายการทั้งหมดอยู่ในนั้น แต่ว่าฝนตกตลอดเช่นนี้ข้าคิดว่าน่าจะยังตากยาไม่ได้ ก็เลยเอาแบบแห้งมาให้พวกท่านเลย จะได้สะดวกในการใช้งาน”
“ยอดไปเลยซินเยว่เจ้าช่างรู้สถานการณ์เสียจริง ก็หวังเพียงแต่ว่าจะไม่เกิดพายุมาอีกรอบ หากชาวบ้านต้องพบกับอุทกภัยอีกครั้งข้าคิดว่าพวกเขาคงรับไม่ไหวแล้ว”
“นั่นสินะ”
“จริงสิว่าแต่ขาของเจ้าที่บาดเจ็บหายแล้วหรือ เดินคล่องเชียว”
“หายดีแล้ว ท่านก็น่าจะรู้ว่าข้าแข็งแรง ขาพลิกแค่นี้สบายมาก อ้อจริงสิข้าเอาไม้พยุงมาคืนท่านหมอเวินด้วย”
“หมอเวินอยู่ด้านในตรวจคนอยู่ ข้าพาเจ้าไปเอง”
“ท่านหมอจางขอรับ ทางนี้มีคนอยากถามเรื่องยา”
“อ้อ ได้สิ เช่นนั้นซินเยว่เจ้าเดินไปเองเถอะนะ หมอเวินอยู่ด้านใน”
“ได้สิ ข้าไปเองท่านไปทำงานเถอะ”
ซินเยว่เดินแยกกับจางหลงจื่อและเดินไปที่เรือนเพื่อจะนำไม้พยุงไปให้ท่านหมอเวินด้านใน แต่เมื่อเดินเข้าไปผู้ที่เปิดประตูออกมาจนเกือบจะชนนางเขาก็คือเฉินเฟิ่งเซียว นางไม่ทันระวังและเกือบจะล้มจึงฉวยเสาข้าง ๆ ประตูกอดเอาไว้แน่น
“ให้ตายเถอะเกือบไปแล้ว! … ท่านอีกแล้วหรือ”
“เจ้าอีกแล้วหรือ”
เฉินเฟิ่งเซียวหันไปมองหน้าสตรีที่ยืนกอดเสาเอาไว้แน่น ราวกับมันคือสิ่งเดียวที่ช่วยชีวิตนางได้ในตอนนี้ เฟิ่งเซียวอดขำไม่ได้แต่ก็ต้องรีบปรับสีหน้าอีกครั้ง
“ขออภัยด้วยคุณหนูถาน ข้าไม่ทันเห็นว่าเจ้าอยู่ตรงนี้ วันนี้มาทำอะไรหรือ”
“ข้าแค่เอาสมุนไพรมาส่ง อีกอย่างก็จะเอาไม้พยุงตัวมาคืนท่านหมอเวิน เจอท่านแล้วก็ดีเลยเช่นนั้นข้าฝาก…”
“อ้อ ใช่แล้วข้าเกือบลืมไปเลย เข้ามาก่อนสิให้ข้าดูแผลที่ข้อเท้าเจ้าหน่อยว่าหายดีหรือยัง”
“หายดีแล้ว! เรื่องแผลไม่เป็นไรขอบคุณท่านมาก ข้ามาแค่อยากคืนไม้พยุงนี้เท่านั้น”
“แต่ข้าเป็นหมอ ท่าทางของเจ้ายังดูไม่ค่อยปกติ เข้ามาเถอะหรือจะให้ข้าอุ้มเจ้าเหมือนวันนั้นอีกรอบ”
“ไม่ต้อง!... เจ้าค่ะข้าเดินเองได้”
นางยอมเดินตามเขาเข้าไปในห้อง เมื่อปิดประตูก็ถูกสั่งในไปนั่งที่เตียงซึ่งเอาไว้ตรวจรักษา ซินเยว่ระมัดระวังตัวมากกว่าครั้งแรกที่เข้ามาในห้องนี้และถอดรองเท้าเองเพื่อให้เขาตรวจ แต่เฟิ่งเซียวสังเกตว่านางจับข้อเท้าเอาไว้แน่นเพื่อมิให้เขาดึงขึ้น
“เจ้าทายาก่อนจะมาที่นี่งั้นหรือ”
“ข้า... ใช่แล้ว ยาที่ท่านให้มาทาดีมากเลย ก็เลยทามาเพื่อป้องกันเอาไว้ก่อน”
‘นางโกหกทำไมกัน กลิ่นยานี้มิใช่ยาที่ข้าให้ไปเลยสักนิด มันเป็นกลิ่นยาสำหรับทาแผลสด’
เขาไม่พูดอะไรต่อ ซินเยว่เองก็สังเกตว่าเฟิ่งเซียวสีหน้านิ่งจนไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ แต่ตอนนี้นางเผลอมองเขาและคิดไปถึงวันแรกที่พบกันจนกระทั่งจูบเขา เมื่อดึงสติได้ก็รีบใช้มือตบหน้าตัวเองรัว ๆ จนเผลอปล่อยแขนจากขากางเกง เขาจึงทันได้เห็นบางอย่างในนั้น
“บ้า ๆ บ้าไปแล้ว”
เฟิ่งเซียวไม่ได้พูดอะไรเพื่อให้นางนึกสงสัย เขายังพันข้อเท้ากลับให้นางอีกครั้ง ซินเยว่ที่รู้ตัวแต่เห็นว่าเฟิ่งเซียวไม่พูดนางจึงค่อย ๆ หันมาดึงขากางเกงของตัวเองเอาไว้ตามเดิม
“ขอบคุณท่านหมอเฉินมากเจ้าค่ะ"
“ท่านหมอเฉิน” คำนี้ไม่เคยมีใครเรียกเขาเลย ที่นี่เรียกเขาว่าคุณชายเฉิน มีเพียงแค่นางเท่านั้นที่เรียกเขาแบบนี้ เฟิ่งเซียวรู้สึกดีที่อย่างน้อยก็มีหนึ่งคนที่เห็นว่าเขาเป็นหมอ
“เอาล่ะแผลของเจ้าหายดีแล้ว เอ็นข้อเท้าก็กลับเข้าที่แล้ววางใจได้”
“ขอบคุณเจ้าค่ะ ข้า… ไปได้หรือยัง”
“เดี๋ยวก่อนสิ ข้าอยากจะถามเจ้าเรื่องยาสักหน่อย เดินออกไปกับข้าได้หรือไม่”
“ย่อมได้อยู่แล้ว”
เขาเดินออกไปที่ห้องยากับนาง คิดไม่ถึงเลยว่าบุตรสาวคหบดีคนนี้จะมีความรู้เกี่ยวกับสมุนไพรเยอะกว่าที่คิด ส่วนใหญ่หากเป็นบุตรของเหล่าคหบดีเขามักจะนึกถึงคุณหนูที่สวมชุดหรูหรา เครื่องประดับเต็มยศและแต่งแต้มใบหน้าด้วยชาดสีสด แต่กับถานซินเยว่ผู้นี้ นอกจากชุดที่ดูจะมีราคาเล็กน้อย แต่กลับไม่ดูหรูหราเหมือนกับสตรีชั้นสูงในเมืองทั่วไป
“สมุนไพรพวกนี้ทนต่อสภาพอากาศชื้นได้ไม่มาก เอาเก็บไว้นานไม่ค่อยได้”
“ข้ารู้ แต่หมอจางบอกว่าจะนำมาบดและต้มเป็นยาเลย ตอนนี้โรคทางเดินอาหารเริ่มระบาดก็เลยใช้ปริมาณมาก”
“เจ้าค่อนข้างรอบรู้เรื่องยามากเลยนะ”
“ข้าน่ะเป็นศิษย์คนเดียวของหมอยาที่เก่งที่สุดในลี่เหมินเลยนะ อาจารย์ข้า “หวังเย่เหอ” ท่านเคยได้ยินหรือไม่”
“ไม่เคยเลย”
“ท่านนี่นะแม้ว่าจะเป็นหมอ มีความรู้มากมายแต่ไม่เห็นจะต้องทำหน้าตายเช่นนั้นตลอดเวลาเลยนี่ ท่านยิ้มเป็นหรือไม่”
“อะไรนะ ยิ้มหรือ”
“ใช่ ยิ้มน่ะ ยิ้มแบบนี้…”
นางยิ้มหยีตาที่เคยกลมโตจนเหลือเพียงนิดเดียว เขาแม้จะนึกขำแต่กลับรู้สึกแปลก ๆ มากกว่าจึงส่ายหัวเล็กน้อยและเดินกลับออกมา
“ท่านยิ้มสักหน่อยสิหมอเฉิน ที่จริงท่านก็นับว่าเป็นบุรุษที่หน้าตาดีนะ ท่านกับหมอจางรูปร่างหน้าตาหล่อเหลาไม่แพ้กันเลย หากท่านยิ้มมากหน่อยรับรองว่าสตรีที่นี่…”
“เพ้อเจ้อเกินไปแล้ว จริงสิคุณหนูถานเจ้าบอกว่าร้านของเจ้าอยู่ในตัวอำเภอลี่เหมินใช่หรือไม่”
“เปลี่ยนเรื่องเสียแล้ว นี่ท่านหมอเฉินหน้าตาย”
“อะไรนะ!”
“ข้าเรียกท่านว่าท่านหมอเฉินหน้าตาย”
“คำเรียกอันใดกัน ข้าเป็นเช่นนั้นเมื่อใดกัน”
“เช่นนั้นก็ "หมอเฉินหน้านิ่ง" อืม… ชื่อนี้ดี เหมาะกับคนหน้าตายไร้อารมณ์เช่นท่านมากเลย ข้าชอบ"