#9
ลู่ชิงยังไม่หายจากความเขินอายได้แต่นอนหน้าแดง บรรยากาศแปลกๆ ระหว่างคู่สามีภรรยา มีหรือผู้อื่นจะดูไม่ออก แม้แต่หมออู๋ยังลอบยิ้ม นึกอิจฉาคนหนุ่มสาวอยู่ในใจ ผิดกับสาวใช้ที่มีสีหน้าตกตะลึง
มู่หรงรู้ว่าพวกนางคิดจะทำอันใด จึงถลึงตามอง ตอนนี้เขามั่นใจแล้วว่าฉวนโซ่อี้ความจำเสื่อมจริง และเขายังคิดจะใช้โอกาสนี้เอาคืนนาง มีหรือจะยอมให้ใครบอกความจริงกับภรรยา
ลู่ชิงไม่กล้าสบตาผู้คน ได้แต่นอนหลับตา หัวใจเต้นแรงจนแทบจะกระดอนออกมาจากอก ท่ามกลางคนแปลกหน้า ความหวาดกลัวเริ่มเข้ามาครอบงำนางอีกครั้ง
“ฮูหยินน้อยรอง ขอข้าจับชีพจรสักครู่” หมออู๋กล่าว
นางค่อยๆ วางข้อมือสั่นเทาลงบนหมอนรองให้เขา ทว่ายังคงไม่กล้าลืมตา
อีกด้านหนึ่ง จวนสกุลหยาง
หลังจากที่ได้ฟังเรื่องราวของไป๋ลู่ชิงมาคร่าวๆ แล้ว ฉวนโซ่อี้พลันนึกเกลียดคนสกุลหยางตั้งแต่ยังมิได้พบหน้า ดูท่าว่าที่เด็กนั่นถูกลอบทำร้ายน่าจะเป็นเพราะคนพวกนี้
โซ่อี้อายุสิบเจ็ดแก่กว่าลู่ชิงสองปี ในสายตานางย่อมมองว่าอีกฝ่ายเป็นเพียงเด็กสาว อีกอย่าง ด้วยพื้นฐานการเลี้ยงดูที่แตกต่าง ความคิดความอ่านของฉวนโซ่อี้จึงโตกว่าลู่ชิงที่พึ่งครบวัยปักปิ่นอยู่มาก
นางพึ่งจะอาบน้ำผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ยังมิทันได้เช็ดผมให้แห้ง มู่ตานก็เข้ามารายงานด้วยสีหน้ากังวล “คุณหนูเจ้าคะ ฮูหยินให้สาวใช้มาตามท่านไปพบเจ้าค่ะ บ่าวเกรงว่าฮูหยิน จะทราบเรื่องที่ท่านตกน้ำแล้วเจ้าค่ะ”
“นางทราบแล้วอย่างไรหรือ ก็แค่คนตกน้ำ ไม่เห็นมีอันใดแปลก ไฉนเจ้าต้องทำหน้ากังวลเช่นนั้นด้วยเล่า” โซ่อี้ที่กำลังให้เหลียนฮวาช่วยเช็ดผมอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง กล่าวอย่างเห็นเป็นเรื่องไม่สลักสำคัญ
หากแต่นั่น กลับยิ่งทำให้สาวใช้ทั้งสองกังวลยิ่งขึ้นไปอีก เหลียนฮวาอธิบายว่า “ต้องกังวลสิเจ้าคะ นายท่านกับฮูหยินรักหน้าตายิ่งกว่าสิ่งใด คุณหนูตกน้ำ เนื้อตัวเปียกปอน ไหนจะยังชุดที่แนบเนื้อ พวกเขาต้องคิดว่าคุณหนูสร้างความอับอายให้ตระกูลหยางแน่นอนเจ้าค่ะ”
“เป็นเช่นนั้นเองหรือ” โซ่อี้มองผ่านกระจกทองเหลืองไปยังใบหน้าของเหลียนฮวาด้วยสายตาเคร่งขรึม “เจ้ากำลังจะบอกว่า แม่สามีเรียกข้าไปตำหนิ?”
“ใช่ เจ้าค่ะ”
“ก่อนหน้านี้ ข้าคงหวาดกลัวแม่สามีผู้นี้มากกระมัง” โซ่อี้ถามต่อ น้ำเสียงไม่บ่งบอกว่าอยู่ในอารมณ์ใด
“เจ้าค่ะ ตั้งแต่แต่งเข้ามา เวลาที่คุณหนูเจอนายท่านกับฮูหยินมักมีอาการตัวสั่นอยู่เสมอ มีอยู่คราหนึ่ง คุณหนูถูกฮูหยินตำหนิจนเป็นลมไปเลยเจ้าค่ะ คุณหนูคงลืมไปแล้ว” เหลียนฮวายิ่งพูดยิ่งมีสีหน้าไม่พอใจ “ความจริงคุณหนู มิได้อ่อนแอเพียงนั้นนะเจ้าคะ แต่เพราะ นายท่านกับฮูหยิน...” สุดท้ายเหลียนฮวาก็มิรู้จะสรรหาวาจาใดมาบรรยายถึงการกระทำของสองสามีภรรยาสกุลหยางได้
หากแต่โซ่อี้กลับเข้าใจแจ่มแจ้ง ไหนๆ นางก็เข้ามาอยู่ในร่างนี้แล้ว จะไม่จัดการอันใดบ้างมันก็กระไรอยู่ คิดได้ดังนั้น โซ่อี้พลันลุกขึ้นยืน หยิบปิ่นหยก มามวยผมตนเองอย่างลวกๆ โดยมิรอให้มันแห้ง พลางกล่าวกับสาวใช้ทั้งสอง “ให้แม่สามีรอนานคงไม่ดี ข้าควรรีบไปจะดีกว่า”
โซ่อี้พิศดูความเรียบร้อยในกระจกปราดหนึ่ง ก็หันไปบอกมู่ตานที่ยืนอยู่หน้าประตู “ไป พวกเราไปกัน”
เหลียนฮวาเดินตามมาส่งหน้าเรือน มองตามแผ่นหลังเจ้านายด้วยความเป็นห่วง ได้แต่หวังว่าหยางฮูหยินจะเมตตาคุณหนูของตนบ้าง ในความคิดของเหลียนฮวานั้น คือไป๋ลู่ชิงถูกกดดันจนคิดกระโดดน้ำฆ่าตัวตาย คุณหนูรอดตายมาได้ก็ดีแล้วนางมิอยากให้มีเรื่องใดมากระทบกระเทือนจิตใจของคุณหนูอีก
ในเรือนใหญ่เวลานี้ มิได้มีแต่หยางฮูหยิน แต่มีทั้งนายท่านหยาง และหยางเทียนเล่อ รวมทั้งสตรีสองนางที่เป็นคนนำข่าวเรื่องที่ฮูหยินน้อยสกุลหยางตกน้ำมาบอก รวมอยู่ด้วย
สตรีสองนางนี้มิใช่ใครที่ไหน ที่แท้เป็นน้องสาวและหลานสาวห่างๆ ของตระกูลสุ่ย ตระกูลเดิมของหยางฮูหยิน สองแม่ลูกคู่นี้หวังมาโดยตลอดว่าจะได้เข้ามาอยู่ในจวนสกุลหยาง แต่เสียทีที่หยางฮูหยินมิเคยเอ่ยปากชวน กว่าจะสบโอกาสหาเรื่องมาเยือนสกุลหยางได้มิใช่เรื่องง่าย บังเอิญว่าวันนี้ พวกนางเห็นเหตุการณ์ตอนที่ไป๋ลู่ชิงตกน้ำพอดี จึงรีบนำมาฟ้อง
“ฮูหยินน้อยมาถึงแล้วเจ้าค่ะ” เสียงสาวใช้รายงานเข้ามา ก่อนที่ร่างระหงในชุดป้านปี้สีชมพูอ่อนจะเยื้องย่างเข้ามาอย่างช้าๆ
โซ่อี้กวาดมองผู้คนในห้องปราดหนึ่ง กับสองพ่อลูกตระกูลหยางนั้น นางย่อมรู้จักมักคุ้น จึงมิใช่ปัญหา จะมีก็แต่สตรีทั้งสาม ถึงจะมิรู้มาก่อนว่าใครเป็นใคร แต่ดูจากตำแหน่งที่นั่งแล้ว นางพอจะเดาได้ โซ่อี้หยุดยืนกลางห้อง ยอบกายให้ชายหญิงสูงวัยที่นั่งอยู่บนเก้าอี้สองตัวในตำแหน่งประธานโดยไม่มีอาการเคอะเขิน “ลู่ชิง คำนับท่านพ่อ ท่านแม่ เจ้าค่ะ”
นายท่านหยางมองลูกสะใภ้ด้วยสายตาเย็นชา หยางจงลู่เป็นถึงกงปู้ เจ้ากรมโยธา ส่วนบิดาของไป๋ลู่ชิงนั้นยังเป็นแค่ขุนนางขั้นหกที่ทำหน้าที่เป็นเสมียนบัญชีในกรม ไม่แปลกที่นายท่านหยางจะไม่ชอบลูกสะใภ้ หากมิใช่เพราะเกรงว่าบุตรชายจะแต่งฉางฟางเยว่เข้ามา คนอย่างนายท่านหยางไม่มีทางยอมให้บุตรชายแต่งสะใภ้ไร้ค่าเช่นไป๋ลู่ชิงเข้ามาเป็นแน่
“คุกเข่า!” หยางฮูหยินสั่งเสียงเข้ม เรื่องราวที่พึ่งได้ฟังจากปากญาติห่างๆ ทำให้นางมีโทสะ นางอุตส่าห์เห็นใจ ปล่อยให้ลูกสะใภ้ผู้นี้ออกจากจวน แต่ไม่นึกว่าอีกฝ่ายจะไปทำเรื่องขายหน้า
แน่นอน ว่าโซ่อี้ย่อมไม่มีทางคุกเข่าตามที่แม่สามีสั่ง อีกทั้งยังมิได้มีท่าทางหวาดกลัว เพราะนางมิใช่ไป๋ลู่ชิง เพียงกวาดตามองดูสีหน้าทุกคนในห้องด้วยสายตาไม่บ่งบอกอารมณ์ ก่อนจะไปหยุดอยู่ที่บุรุษหล่อเหลาที่นั่งเก้าอี้ทางขวามือ
