ตอนที่ 7 ใจหายที่ต้องแยกกัน
เธอนำจานไปล้างเสร็จแล้ว ทั้งสองคนก็พากันเดินทางออกจากเพนท์เฮาส์ ไต้ฝุ่นพาเธอหาหอพักที่อยู่ไม่ไกลจากมหาวิทยาลัย เพื่อที่นับดาวจะได้เดินทางได้สะดวก และรถหรูก็เคลื่อนเข้าไปจอดที่โรงจอดรถบริเวณด้านข้างของตึกสูง
“นั่งบื่ออยู่ได้ ลงรถดิครับ” คงไม่ได้รอให้เขาเป็นคนไปเปิดประตูให้หรอกนะ
“แต่นี่มันไม่ใช่หอพักนี่คะ” ไม่รู้ว่าเธอพูดไม่เข้าใจหรือว่าเขาฟังไม่รู้เรื่องกันแน่ เธอต้องการหาหอที่พอพักอาศัยอยู่ได้ ไม่ใช่คอนโดมิเนียมที่มีการเก็บค่าเช่าแพงๆ แบบนี้
“ฉันบอกให้ลงก็ลงไปสิ พูดมากอยู่ได้” เอ่ยจบเขาก็เปิดประตูลงไปรออยู่ด้านหน้าตัวรถ นับดาวก็รีบออกจากรถลงแล้วตามกันเข้าไปด้านใน
“ผมขอดูห้องว่างหน่อยครับ” ไต้ฝุ่นเอ่ยกับคนที่นั่งอยู่หน้าเคาน์เตอร์
“เชิญทางนี้ครับ”
ทั้งสองคนเดินตามชายคนดังกล่าวขึ้นลิฟต์ไปยังชั้นหกของคอนโดมิเนียม ซึ่งคอนโดแห่งนี้มีด้วยกันทั้งหมดสิบชั้น และชายคนดังกล่าวก็เปิดห้องที่ว่างอยู่ให้คนทั้งสองเข้าไปดูพื้นที่ใช้สอยด้านใน
ในห้องโล่งกว้างได้จัดแบ่งโซนอย่างชัดเจน ห้องนอน ห้องน้ำ ห้องนั่งเล่น ห้องครัวพร้อมเคาน์เตอร์ทำอาหาร และมีระเบียงสำหรับตากผ้าหรือออกไปนั่งเล่นรับลม ของใช้และเฟอร์นิเจอร์ก็ครบครันพร้อมเข้าอยู่ และข้อดีของคอนโดมิเนียมแห่งนี้คือมีกล้องวงจรปิดและระบบรักษาความปลอดภัยที่ดีเยี่ยม เวลาผู้หญิงอยู่ตัวคนเดียวจะได้ไม่รู้สึกกลัว
“ผมเอาห้องนี้ครับ”
“เดี๋ยวตามลงไปทำเรื่องที่ชั้นล่างได้เลยนะครับ”
“ครับ”
นับดาวเบิกตาโพลงจ้องมองหนุ่มรุ่นพี่ ทำไมเขาไม่ถามเธอสักคำว่าเธออยากอยู่ที่นี่หรือเปล่า
“มองอะไร” ไต้ฝุ่นส่งเสียงดุให้คนที่จ้องหน้าราวกับไม่ค่อยชอบใจกับห้องที่เขาหาให้สักเท่าไร เงินก็ไม่ได้เสียสักบาท ที่อยู่ก็หาให้อย่างดียังจะเอาอะไรอีก
“เปล่าค่ะ”
“ไปรอที่รถ”
“ค่ะ”
ในเมื่อทำอะไรไม่ได้นับดาวก็เลยต้องยอมเชื่อฟังแล้วรับกุญแจรถจากมือของเขาแล้วไปนั่งรอในรถ หลังจากที่ไต้ฝุ่นทำเรื่องจ่ายเงินเพื่อเข้าพักอาศัยและได้รับคีย์การ์ดมาแล้ว ทั้งสองคนก็พากันเดินทางออกจากคอนโด
“ทำไมต้องเช่าห้องนี้ให้ด้วยคะ ค่าเช่าก็แพงฉันไม่มีปัญญาจ่ายหรอก”
“จะบ่นให้ได้อะไรขึ้นมา เงินฉันไม่ใช่เงินเธอสักหน่อย”
“รู้ค่ะว่ารวยมาก แต่อย่ามาทำดีกับฉันแบบนี้ได้ไหมคะ” นับดาวเองก็รู้สึกขอบคุณเขามาก แต่ในใจก็แอบหวั่นว่าผู้ชายคนนี้ทำดีกับเธอมากจนเกินไป เกินกว่าคนเพิ่งจะรู้จักจะให้กันได้
“ทำไม แพ้ทางผู้ชายอย่างฉันแล้วเหรอ” ไต้ฝุ่นกระตุกยิ้มหันมามองใบหน้าหวานที่ดูมีสีหน้ากังวลใจสลับกับมองถนน
“ปะ เปล่าค่ะ” นับดาวตอบด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก กระพริบตาถี่ ๆ หันมองข้างทาง ไม่คิดว่าแค่คำถามสั้นๆ ของหนุ่มรุ่นพี่จะทำให้เธอรู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเองและใจเต้นแรงแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
“เราจะกลับกันเลยไหมคะ ฉันอยากกลับบ้านแล้ว”
“บ้านอยู่ที่ไหน”
“ถามทำไมเหรอคะ”
“ฉันถาม เธอมีแค่หน้าที่ตอบ” ไต้ฝุ่นส่งเสียงดุ คำถามของเขามันเข้าใจยากตรงไหน ถามว่าบ้านอยู่ที่ไหนก็แค่ตอบมาก็แค่นั้น
นับดาวจำใจต้องบอกสถานที่กับเขาไป และไต้ฝุ่นก็ขับรถพาไปส่งถึงหน้าประตูของบ้านหลังใหญ่ที่ติดใบป้ายประกาศขาย
“พ่อแม่เธอจะย้ายไปอยู่เชียงใหม่เมื่อไหร่”
“ไม่รู้เหมือนกันค่ะ คงจะเร็วๆ นี้”
เธอเองก็ไม่รู้ว่าพวกท่านจะย้ายออกจากบ้านวันไหน แต่บ้านหลังนี้ก็ได้ประกาศขายไปแล้ว และก็มีคนสนใจเข้ามาสอบถามกันอยู่หลายคน คาดว่าอีกไม่กี่วันพ่อกับแม่ก็คงจะต้องย้ายออก และเธอก็ต้องย้ายไปอยู่คอนโดที่ไต้ฝุ่นเช่าให้
“จะย้ายของวันไหนก็บอก ฉันจะมารับ”
“ไม่เป็นไรค่ะ เกรงใจ” คงจะมีแค่เสื้อผ้าที่จะเอาติดตัวไป ของอย่างอื่นก็ไม่ได้มีอะไรมาก มีแค่หนังสือกับของใช้จำเป็นอีกนิดหน่อย
“ตามใจเธอแล้วกัน”
“ขอบคุณที่มาส่งนะคะ” เอ่ยคำขอบคุณเสร็จเธอก็เปิดประตูลงจากรถ ไต้ฝุ่นก็ขับรถออกไปทันที
นับดาวเดินเข้าบ้านไปก็เห็นกล่องใส่ของขนาดใหญ่วางเรียงรายอยู่เต็มบ้านก็รู้สึกใจหาย หรือว่าบ้านหลังนี้จะมีคนมาซื้อแล้ว ถึงได้รีบเก็บข้าวของกันเร็วขนาดนี้
“กลับมาแล้วเหรอนับดาว” แม่ของเธอเอ่ยขึ้น
“ค่ะ ขายบ้านได้แล้วเหรอคะ”
“ใช่จ้ะ นี่ก็กำลังช่วยกันเก็บของ พวกเราต้องย้ายออกภายในสามวัน เพราะเจ้าของใหม่จะย้ายเข้ามาอยู่กันแล้ว”
“สามวัน” ทำไมมันถึงได้เร็วขนาดนี้
“แล้วไปหาหอพักมาเป็นยังไงบ้าง ได้รึยัง”
“ได้แล้วค่ะ อยู่ไม่ไกลจากมหา’ ลัย”
“ดีแล้วล่ะ พักอยู่ใกล้ๆ จะได้เดินทางได้สะดวก อยู่คนเดียวต้องระวังตัวนะนับดาว อย่าไว้ใจคนแปลกหน้า” ผู้เป็นแม่สั่งสอนลูกสาวด้วยความเป็นห่วง
เลี้ยงมาตั้งแต่เล็กจนโตนับดาวเป็นคนขยัน ตั้งใจเรียนและไม่เคยทำให้ผิดหวัง เธอไม่เคยเกเรหรือทำให้พ่อแม่ลำบากใจ แต่พอจะต้องแยกกันอยู่ก็พลันรู้สึกใจหาย อีกทั้งยังเป็นห่วงลูกสาว
“หนูจะระวังตัวนะคะ แม่ไม่ต้องเป็นห่วง แล้วพ่อล่ะคะ”
ตั้งแต่เข้าบ้านมาก็ยังไม่เห็นเลยอดสงสัยไม่ได้ หวังว่าคงไม่หนีไปเล่นการพนันอีก เพราะนี่ก็แทบจะไม่เหลืออะไรแล้ว
“พ่อเราเอาเงินไปใช้หนี้น่ะ”
“แม่ปล่อยให้พ่อไปคนเดียวแบบนี้จะไว้ใจได้เหรอคะ” อย่าหาว่าไม่เคารพพ่อของตัวเองเลย แต่ที่ผ่านมาพ่อก็เอาแต่สร้างหนี้ไม่หยุดหย่อน
“ครั้งนี้พ่อคงสำนึกผิดแล้วล่ะ แล้วพ่อก็เสียใจมากที่ครอบครัวของเราต้องมาเจอกับเรื่องแบบนี้ ถ้าคิดได้เร็วกว่านี้บ้านหลังนี้ก็คงจะไม่ถูกขาย แต่ก็ช่างมันเถอะลูก เงินไม่ตายก็หาใหม่ได้ แต่ครอบครัวของเราต้องแยกจากกันนี่สิ”
“ไม่เป็นไรนะคะแม่ หนูเรียนอยู่ที่นี่อีกแค่สองปีแล้วจะรีบกลับไปอยู่กับพ่อกับแม่นะคะ” นับดาวยื่นมือไปจับมือของแม่เพื่อปลอบประโลม
และวันที่ทั้งสามคนต้องย้ายออกจากบ้านก็มาถึง พ่อแม่ของเธอจ้างรถขนของมุ่งหน้าไปยังจังหวัดเชียงใหม่ และใช้รถส่วนตัวมาส่งเธอที่คอนโดมิเนียมแห่งใหม่
“ห้องน่าอยู่ดีนะนับดาว แล้วค่าเช่าเดือนละเท่าไหร่ พ่อกับแม่จะได้ส่งเงินมาให้” ผู้เป็นพ่อถามลูกสาว อย่างน้อยก็ต้องรับผิดชอบความเป็นอยู่ของลูกบ้าง
“ไม่เป็นไรค่ะพ่อ พอดีหนูทำงานเป็นแม่บ้านของที่นี่เลยได้ส่วนลดค่าเช่าห้องครึ่งหนึ่ง”
“เจ้าของใจดีขนาดนั้นเลยเหรอ ห้องก็กว้าง ข้าวของเครื่องใช้ก็มีให้ครบ” ผู้เป็นแม่ประเมินดูคร่าวๆ ก็น่าจะตกเดือนละเป็นหมื่น ไม่น่าจะมีใครใจดีขนาดนี้ได้
“เจ้าของที่นี่ใจดีมากเลยค่ะ คงจะเห็นว่าหนูเป็นนักศึกษาแล้วขยันทำงาน เขาเลยใจดีลดให้” นับดาวแสร้งโกหกออกไป ถ้าเธอบอกว่ามีผู้ชายมาเช่าห้องให้ก็กระไรอยู่
“พ่อกับแม่ไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ ที่นี่มีกล้องวงจรปิด และระบบรักษาความปลอดภัยก็ดีมาก จะเข้าจะออกก็ต้องมีคีย์การ์ด คนนอกเข้ามาไม่ได้หรอกค่ะ”
“ลูกบอกแบบนี้พ่อกับแม่ก็สบายใจขึ้นมาหน่อย แล้วไม่ต้องห่วงแต่จะทำงานหาเงินล่ะ ยังไงพ่อกับแม่ก็จะส่งเงินมาให้ใช้” ผู้เป็นแม่บอกกับลูกสาว
“ค่ะแม่”
พูดคุยกันได้สักพักก็ถึงเวลาที่พ่อแม่จะต้องออกเดินทาง นับดาวลงไปส่งพวกท่านที่รถอย่างใจหาย แล้วยืนมองดูรถที่ขับออกไปจนลับสายตา