ตอนที่ 10 ไม่มีอะไรพิเศษ
หลังจากที่นับดาวได้รับโทรศัพท์คืนเธอก็แยกตัวออกไป ส่วนไต้ฝุ่นก็เดินไปหากลุ่มเพื่อนที่สนามเพื่อซ้อมฟุตบอลกันต่อ
“เมื่อกี้พี่คุยกับใครเหรอคะ”
น้ำฟ้าอดีตสาวคู่นอนดาวคณะนิเทศศาสตร์ที่วันนี้นึกครึ้มอยากจะเดินผ่านมาทางนี้ และได้เห็นตอนที่ไต้ฝุ่นยื่นโทรศัพท์คืนให้กับผู้หญิงและเดินแยกกันพอดีเธอจึงรีบเข้าไปหา
“ยุ่ง”
“ทำไมไม่ติดต่อน้ำฟ้าเลยล่ะคะ ไม่เหงาเหรอ”
“เงี่ยนก็ไปเอากับคนอื่น ฉันยังไม่มีอารมณ์” ไต้ฝุ่นตอบอย่างขอไปทีด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์ที่น้ำฟ้าชักจะล้ำเส้นกันเกินไป ทั้งที่ได้ตกลงกันเอาไว้แล้วว่าถ้าเขาอยากได้จะเป็นคนติดต่อไปเอง
“ทำไมพูดกับน้ำฟ้าแบบนี้ล่ะคะ ครั้งนั้นที่เรานัดกันพี่ก็ไม่ไป หรือว่าพี่มีผู้หญิงคนอื่น” น้ำฟ้าแสดงอาการงี่เง่า จนไต้ฝุ่นเห็นแล้วก็รู้สึกรำคาญขึ้นมา
“ถ้าจะงี่เง่าก็ไปที่อื่น ฉันไม่ได้มีเวลามาทำเรื่องไร้สาระ”
“พี่ไต้ฝุ่น” น้ำฟ้าเอ่ยด้วยใบหน้าง้ำงอ เธอแค่อยากจะมาทักทายเผื่อว่าไต้ฝุ่นอยากจะมีคืนเร่าร้อนกับเธอบ้าง แต่เขากลับตะเบงเสียงไล่อย่างไม่ใยดี
“หลีกทาง แล้วอย่ามาให้ฉันเห็นหน้าอีก ฉันไม่ชอบผู้หญิงเอาแต่ใจ”
ต้องบอกว่าตั้งแต่ได้พบกับนับดาว ผู้หญิงที่ไม่เคยเอาใจเขาเลย ไต้ฝุ่นก็รู้สึกว่าตัวเองเปลี่ยนไป เขาไม่อยากมีอะไรกับใครทั้งนั้น และไม่อยากจะพูดคุยกับผู้หญิงคนอื่น ทั้ง ๆ ที่เขาก็ไม่ได้มีความรู้สึกอะไรพิเศษกับนับดาวเลยสักนิด แต่ก็แปลกที่ความรู้สึกของเขาที่มีต่อผู้หญิงคนอื่นนั้นกลับเปลี่ยนไปแทน แค่เอากันเล่นๆ เหมือนเมื่อก่อน เขาก็ไม่อยากทำ
น้ำฟ้าช้อนสายตาขึ้นมองหนุ่มรุ่นพี่ด้วยแววตาขุ่นเคือง ไต้ฝุ่นที่ไม่อยากจะสนทนากับคนเอาแต่ใจก็เดินหนีไป ไม่ได้สนใจว่าเธอจะยอมกลับไปแต่โดยดีหรือไม่
“ทำไมมาช้าจังเลยวะ” กลัฟเห็นไต้ฝุ่นเข้ามานั่งใส่ถุงเท้าที่ข้างสนามก็รีบวิ่งไปหา แล้วนั่งลงข้างๆ กัน
“ก็บอกแล้วไงว่ามีธุระ”
“ธุระกับน้องคนสวยที่ยืนอยู่หน้าตึกน่ะเหรอ” ตอนแยกกันได้ไม่กี่ก้าว กลัฟก็เหลียวหลังไปมองและเห็นเพื่อนของตนรีบย้ำเท้าเข้าไปหาสาวสวยที่ยืนอยู่ตามลำพังที่หน้าตึกคณะ
“ทำเป็นรู้ดีนะมึง”
“แฟนมึงเหรอ”
“แฟนเชี่ยอะไร ลูกหนี้กูต่างหาก” กลัฟก็รู้ว่าเขาเป็นคนอย่างไรแต่ก็ชอบมาเดามั่วอยู่ได้
“หึ เดี๋ยวนี้มึงเข้าใจหาลูกหนี้นะ สวยขนาดนี้เป็นกูจะจัดให้สักดอกสองดอกแล้วยกหนี้ให้ไปแล้ว” กลัฟเอ่ยติดตลก และก็คิดว่าสาวสวยคนนี้ก็คงไม่พ้นมือเพื่อนสนิทของเขาอย่างแน่นอน
“มึงก็รู้ว่ากู…” ไต้ฝุ่นยังไม่ทันได้เอ่ยจบ เพื่อนของเขาก็พูดแทรกขึ้นมา
“เออๆ มึงก็รู้อยู่นั่นแหละ กูรู้ว่ามึงไม่ชอบผู้หญิงที่ไม่สมยอม แต่ผู้หญิงยากๆ แบบนี้มันน่าค้นหานะเว้ย มึงไม่คิดสิบแปดบวกกับน้องมันจริงๆ เหรอ” พูดแล้วกลัฟก็แอบเสียดาย แต่ก็คิดว่าเสืออย่างไต้ฝุ่นคงไม่ปล่อยให้เหยื่อหลุดมือ
“มึงเลิกพูดเรื่องนี้สักทีได้ไหมวะ กูรำคาญ” ไต้ฝุ่นขมวดคิ้วหันไปมองเพื่อนที่ชอบพูดมาก
ทั้งสองคนสนิทกันตั้งแต่ปีหนึ่ง และก็แปลกที่คบกับไต้ฝุ่นได้ทั้งที่เขาก็เป็นคนที่พูดน้อยต่อยหนัก ผิดกับกลัฟเป็นคนที่พูดมากและอารมณ์ดี
“ไหน ๆ ก็พูดแล้ว ถ้ามึงไม่สนใจกูขอได้ไหมวะ โอ๊ย…” พูดไม่ทันขาดคำกลัฟก็ถึงกับร้องเสียงหลงด้วยความเจ็บปวด เพราะถูกไอ้เพื่อนเวรของเขาตบกบาลเข้าให้
“ไอ้เชี่ย ตบมาได้นะมึง” กลัฟพูดพลางลูบหัวตัวเอง ปากก็บอกลูกหนี้ แต่พอเขาขอแค่นี้ทำเป็นอารมณ์ขึ้น
“มึงจะเล่นไหมบอล หรือจะเล่นกับบาทากูแทน” แค่ได้ยินว่ากลัฟขอนับดาวเขาก็รู้สึกไม่ชอบใจขึ้นมาทันที ถึงจะไม่ได้สนใจ แต่ก็ใช่ว่าคนอื่นจะยุ่งกับคนของเขาได้
และที่ว่าคนของเขาก็เพราะนับดาวเป็นลูกหนี้ ที่ต้องทำงานใช้หนี้ให้เขาอีกนาน
“ไอ้เชี่ยฝุ่น ไหนมึงบอกไม่คิดอะไร ทีงี้ทำเป็นหวง”
ทันทีที่กลัฟพูดจบทั้งสองคนพากันลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว ไต้ฝุ่นก็ง้างขาทำท่าจะเตะเพื่อนจนทั้งสองวิ่งลงสู่สนาม เขาไม่ได้รู้สึกหวงอะไรยัยเด็กนั่นเลยสักนิด สาบานได้ แค่ฟังแล้วมันรำคาญ
นับดาวที่เดินทางมาถึงเพนท์เฮาส์ก็รีบลงมือทำหน้าที่ของตัวเองให้เสร็จ วันธรรมดาแบบนี้เธอก็ทำแค่กวาดและเช็ดพื้นเท่านั้น หลังจากทำความสะอาดเสร็จเธอก็รีบกลับคอนโดเพื่อที่จะได้ไปนั่งทำงานที่อาจารย์สั่งเอาไว้ในคาบเรียนต่อ แต่ก่อนจะเข้าที่พักเธอก็แวะซื้อหมูสดและผักจากตลาดเข้าไปด้วย เพราะเย็นนี้จะทำข้าวผัดจากข้าวที่เหลือไว้เมื่อเช้า
นับดาวนำกระเป๋าไปวางไว้ในห้อง แล้วหอบหนังสือออกมานั่งทำที่โต๊ะหน้าโซฟา เธอนั่งลงกับพื้นจะได้เขียนได้ถนัดหน่อย จนกระทั่งเวลาหกโมงเย็นก็ลุกไปทำข้าวผัดในครัว
เสียงกริ่งหน้าห้องดังขึ้นแต่ครั้งนี้เธอไม่ได้สงสัยเลยว่าเป็นใคร เพราะคนที่สามารถมารบกวนเวลาอันสงบสุขของเธอได้ก็มีเพียงคนเดียวเท่านั้น
“มาทำไมอีกคะ” ทันทีที่เห็นใบหน้าหล่อของคนตัวสูงที่ยืนอยู่หน้าประตูเธอก็ถามขึ้นทันที และเขาก็ยังอยู่ในชุดวิศวะแบบนี้คงเดาได้ไม่ยากว่าออกจากมหาวิทยาลัยก็ตรงดิ่งมาหาเธอเลย
นับดาวก็ไม่ได้อยากจะคิดเข้าข้างตัวเอง แต่หนุ่มรุ่นพี่มาแต่ละทีก็มักจะมีแต่เรื่องมากวนใจเธออยู่ตลอด
“หิว” เอ่ยจบคนตัวสูงก็แทรกตัวเข้ามาในห้องแล้วถือวิสาสะนั่งลงที่โซฟา
“แล้วนี่เธอกล้าใช้น้ำเสียงแบบนี้กับฉันเหรอ” น้ำเสียงที่ไม่ค่อยเต็มใจที่เห็นเขามา
“แค่ถามค่ะ”
“ทำอะไรกิน ทำเผื่อฉันด้วย”
“ที่บ้านพี่ไม่มีข้าวให้กินเหรอคะ เงินก็มีตั้งเยอะทำไมไม่ซื้อกินเองล่ะ” เขาก็ออกจะรวย แต่แค่ข้าวกินก็ยังต้องมาเบียดเบียนเธออีก คนยิ่งอยากจะประหยัดเงินอยู่
“จะทำหรือไม่ทำ” ไต้ฝุ่นช้อนดวงตาแข็งกระด่างขึ้นมองหญิงสาวตรงหน้า เห็นว่าเขาใจดีด้วยหน่อยถึงกับกล้าต่อปากต่อคำ
“ทำก็ได้ค่ะ แค่ข้าวผัดธรรมดาๆ คงกินได้นะคะ”
“ทำมาเถอะ อ้อ แค่ข้าวผัดนี่คงทำเป็นใช่ไหม” ไต้ฝุ่นถามย้ำ เพราะกลัวจะเหมือนสปาเกตตีเมื่อวานอีก
“ทำเป็นค่ะ แต่จะกินได้หรือเปล่าอันนี้ไม่แน่ใจ” นับดาวเอ่ยจบก็เดินกลับเข้าไปในครัว
เมนูข้าวผัดเธอทำกินเองเป็นประจำ และก็แค่พูดให้อีกฝ่ายเสียความมั่นใจจะได้รู้สึกว่าไม่กินจะดีกว่าเพราะกลัวไม่อร่อยและจะได้รีบกลับไป แต่เขากลับนั่งนิ่งไม่พูดไม่จาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดเล่นเกมหน้าตาเฉย
นับดาวได้แต่ถอนหายใจแล้วทำอาหารของเธอต่อจนเสร็จ ก็ตักแบ่งใส่จานสองใบแล้วนำมาวางที่โต๊ะอาหาร ดีที่เธอหุงข้าวเอาไว้เยอะ ไม่อย่างนั้นคงไม่พอสำหรับสองคน
“ต้องเสิร์ฟน้ำด้วยไหมคะ” นับดาวแสร้งถามออกไป ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าอย่างไรเขาก็ต้องตอบตกลง
“อืม” คนเล่นเกมส่งเสียงตอบรับในลำคอ
นับดาวเดินไปหยิบขวดน้ำในตู้เย็นมาเทใส่แก้วสองใบ เธอก็แค่พูดประชดยังไม่เข้าใจอีกหรือไง มาขอข้าวบ้านคนอื่นกินแทนที่จะช่วยกันสักนิดก็ไม่มี ได้แต่นั่งรอกิน
นับดาวบ่นในใจเดินถือแก้วน้ำไปวางไว้ข้างๆ จานของเขาและเธอ
“ต้องอันเชิญไหม”
“ไม่ต้อง” คนตัวสูงลุกออกจากโซฟามานั่งที่เก้าอี้ตรงข้ามกับสาวเจ้าของห้อง จ้องมองจานข้าวผัดที่วางอยู่ด้านหน้าที่หน้าตาก็ธรรมดาทั่วไป แต่กลิ่นนั้นหอมโชยเข้าจมูกตั้งแต่ยังผัดอยู่ในกระทะ และหวังว่ามันคงจะกินได้นะ