บทที่ 1 คลุมถุงชน 1
15 ปีผ่านไป
สมาชิกในตระกูลรุจิเวโรจน์มารวมตัวอยู่ในห้องนั่งเล่นกันอย่างพร้อมหน้า เหตุการณ์นี้ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยนัก หรือจะพูดได้ว่าในรอบปีจะมีสักครั้ง การที่ทุกคนมารวมตัวกันอยู่ในห้องนี้ได้เป็นเพราะ ลิขิต รุจิเวโรจน์ประมุขของบ้านเรียกทุกคนมาเพื่อบอกกล่าวบางอย่างให้ทุกคนรับรู้
ที่ว่าเหตุการณ์นี้ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยนักเป็นเพราะ ลิขิตได้แยกตัวไปอยู่บ้านอีกหลังที่อยู่บนเนื้อที่เดียวกันกับบ้านหลังใหญ่ เขาอาศัยอยู่กับนภาพรภรรยาน้อยมาร่วมยี่สิบปี ส่งผลให้ความสัมพันธ์ระหว่างลิขิตกับสกาวใจ ภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายอยู่ในสถานะต่างคนต่างอยู่ แต่ยังไม่ได้จดทะเบียนหย่า และไม่ถูกกันไปโดยปริยาย เจอหน้ากันทีไรต้องมีปากเสียง สกาวใจมักพูดจาเหน็บแนมลิขิตและภรรยาน้อยทุกครั้ง ซึ่งนภาพรเองก็ไม่เคยโต้เถียง เจียมตัว สยบปากสยบคำเพราะรู้ตัวว่าตนเองผิดที่แย่งสามีสกาวใจ การที่สมาชิกในตระกูลจะมารวมตัวกันพร้อมหน้าแทบจะนับครั้งได้
“คุณแม่ทราบหรือเปล่าครับว่า คุณพ่อมีเรื่องอะไรจะบอกพวกเรา” วิมุตลูกชายเพียงคนเดียวของลิขิตเอ่ยถามมารดา
“แม่จะไปรู้ได้ยังไง แม่ก็อยากรู้พอๆ กับเสกนั่นแหละ”
สกาวใจแปลกใจไม่น้อยที่อยู่ๆ สามีก็เรียกให้ทุกคนมารวมตัวกันในห้องนั่งเล่นของบ้านใหญ่ ครั้นนางจะไม่มาก็ไม่ได้ เนื่องจากอยากรู้ว่าเรื่องที่ว่านี้คืออะไร หากไม่สำคัญลิขิตคงไม่ทำเช่นนี้ ความอยากรู้จึงมีมากกว่า
“หรือว่าคุณปู่จะบอกเรื่องพินัยกรรมค่ะ” รุ่งอัมพรบุตรสาวคนโตของวิมุตคาดเดา
“หน่อยว่าไม่ใช่หรอกค่ะ เรื่องพินัยกรรมไม่ได้สำคัญอะไร อีกอย่างคุณปู่ก็เคยบอกไว้แล้วว่า ใครได้อะไรบ้าง”
รุ่งทิวาบุตรสาวคนเล็กของวิมุตไม่คิดเช่นเดียวกับพี่สาว เป็นเพราะลิขิตเคยบอกกับทุกคนไว้แล้วว่า ใครได้อะไรบ้างในทรัพย์สมบัติทั้งหมดของตระกูลที่มีไม่ต่ำกว่าหนึ่งหมื่นล้าน และแบ่งให้ลูกหลานแต่ละคนดูแลกิจการที่แต่ละคนจะได้ครอบครอง
“เอ...แล้วมันเรื่องอะไรกันนะ ใหญ่พอจะรู้ไหมลูก” ดวงดาราหันมาถามบุตรชายที่เป็นเพียงคนเดียวที่ไม่อยากรู้เรื่องนี้
“ผมไม่ทราบครับคุณแม่” จอมทัพตอบตามตรง
การสนทนาของคนภายในห้องยุติลง เมื่อลิขิตก้าวเข้ามาในห้องพร้อมกับนภาพรภรรยาน้อย สกาวใจมองค้อนสามี ก่อนจะจิกสายตาใส่นภาพรที่ยกมือไหว้
แต่แทนที่นานๆ จะได้อยู่กันพร้อมหน้าสักครั้ง สีหน้าทุกคนจะชื่นมื่น ตรงกันข้ามกลับมีความอึดอัดลายล้อมไปทั่วบริเวณ โดยเฉพาะสกาวใจ ผู้สูงวัยอายุเจ็ดสิบปีที่ไม่อยากจะมานั่งอยู่ในห้องนี้ แต่ก็จำยอมมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
“มีอะไรก็รีบพูดมาดีกว่า ฉันรู้สึกคลื่นไส้เมื่อเห็นหน้าใครบางคน เดี๋ยวความดันฉันขึ้น”
สกาวใจเชิดหน้าพูดใส่สามี ปรายตามองนภาพรภรรยาน้อยอย่างเกลียดชัง อยากจะลุกขึ้นไปกระชากผมแล้วตบหน้าให้สาสมกับความคั่งแค้นในจิตใจ
“นานๆ ทีจะอยู่กันพร้อมหน้า พูดดีๆ กันไม่ได้หรือไง”
ลิขิตอ่อนใจเรื่องนี้ไม่น้อย แล้วรู้ดีว่าสิ่งที่ตนทำนั้นเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องและไม่สมควรให้อภัย เขาจึงไม่คิดโกรธเคืองในคำพูดของสกาวใจที่มักจะพูดเหน็บแนมและแขวะเนืองๆ
“คุณไม่เป็นฉัน คุณไม่รู้หรอกว่าฉันรู้สึกยังไง คุณทำแบบนี้เท่ากับหยามหน้าฉันนะ”
สกาวใจแหวใส่สามี ที่นั่งถอนใจอย่างระอา แต่เขาก็พูดอะไรมากไม่ได้เพราะความผิดติดตัว เสมือนชะนัดติดหลัง
“เอาล่ะ ผมจะพูดเรื่องที่ตั้งใจจะพูดก็แล้วกัน บรรยากาศมันจะได้ไม่อึดอัดไปมากกว่านี้”
“งั้นก็รีบพูดมา ฉันจะได้ขึ้นไปพักผ่อน”
สกาวใจยังคงทำเสียงแข็งใส่สามี พร้อมกับตวัดตามองภรรยาน้อยที่ก้มหน้าก้มตาไม่กล้าสบตาอีกฝ่ายด้วยความชิงชัง
“คุณพ่อมีเรื่องอะไรครับถึงได้เรียกมารวมตัวกันที่นี่ ผมคิดว่าน่าจะเป็นเรื่องสำคัญแน่ๆ”
น้ำเสียงนี้เป็นของวิมุตที่อยากรู้ไม่น้อยว่า เหตุผลของการรวมตัวครั้งนี้คืออะไร
“เรื่องที่พ่อจะพูดก็คือ พ่อจะให้ใหญ่แต่งงาน พ่อหาผู้หญิงที่จะมาเป็นเมียใหญ่ไว้แล้ว”
ทุกคนที่ได้ยินเรื่องสำคัญนี้ ต่างพากันตกใจเพราะไม่คิดว่า หัวข้อเรื่องจะออกมาเป็นรูปแบบนี้ โดยเฉพาะจอมทัพที่ตกใจมากที่สุด รีบค้านทันท่วงที
“ไม่ครับคุณปู่ ผมไม่แต่ง ยังไงผมก็ไม่แต่ง” จอมทัพ ชายหนุ่มวัยสามสิบสองปี ผู้ครองตัวเป็นโสดเพื่อรอวันแต่งงานกับหญิงสาวอันเป็นที่รัก เอ่ยเสียงดังฟังชัด ประกาศจุดยืนชัดเจน “ผมไม่มีวันแต่งงานกับใครนอกจากน้ำหวานคนเดียว”
“แต่แกต้องแต่งกับผู้หญิงที่ฉันหาให้ ถ้าไม่แต่งแกกับฉันขาดกัน”
ลิขิตตอบกลับเสียงกร้าว ด้วยท่าทีไม่ยอม จ้องมองหลานชายเขม็ง บรรยากาศภายในห้องเริ่มอึดอัดมากขึ้น และมีความตกใจเข้าแทรก เป็นเพราะทุกคนไม่เคยได้ยินน้ำเสียง รวมทั้งท่าทางแข็งกร้าวของลิขิตเช่นนี้มาก่อน ลิขิตไม่เคยบังคับลูกหลานให้ทำในสิ่งที่ตนต้องการ เขาจะถามความสมัครใจของลูกหลานทุกครั้งว่า เต็มใจทำในเรื่องที่ตนบอกหรือไม่ แต่เรื่องนี้กลับไม่ใช่ ประมุขของบ้านใช้วิธีบังคับและความเผด็จการเป็นที่ตั้ง
“คุณนึกยังไงถึงหาเมียให้ใหญ่ ร้อยวันพันปีไม่เคยสนใจหลานเลย หรือว่าถูกใครเป่าหู” สกาวใจไม่วายแขวะนภาพร
“คุณอย่านอกเรื่อง เรื่องนี้ผมคิดเอง แล้วมันจะต้องเป็นไปตามที่ผมต้องการด้วย” ลิขิตยังคงเสียงแข็งเช่นเดิม “แล้วแกก็ต้องทำตามที่ฉันต้องการการด้วย”
“ผมไม่แต่งงานกับผู้หญิงคนนั้น ผมจะแต่งงานกับน้ำหวานคนเดียวครับคุณปู่”
จอมทัพประกาศจุดยืนของตนเองที่ตั้งมั่นมากว่าสิบห้าปี ในหัวใจของเขามีเพียงธนัสสรณ์คนเดียว จะให้แต่งงานกับหญิงสาวที่ไม่รู้จักและไม่เคยเห็นหน้า เขาทำไม่ได้ อีกประการหนึ่งเขาได้ให้คำมั่นสัญญาไว้กับเธอไว้ว่า เจ้าสาวของตนคือ ธนัสสรณ์คนเดียวเท่านั้น
“แกจะแต่งกับน้ำหวานไม่ได้ ฉันไม่ยอม หัวเด็ดตีนขาดยังไงฉันก็ไม่ยอม แกต้องทำตามที่ฉันบอก ไม่อย่างนั้นฉันจะตัดแกออกจากกองมรดก แล้วแกก็ต้องไสหัวออกไปจากบ้านหลังนี้ อ้อ...ไปแต่ตัวนะ ฉันจะยึดทุกอย่างที่เป็นของแก”
ลิขิตใช้ไม้เด็ดเพราะนึกว่ามันจะได้ผล และคำพูดประโยคนี้เองที่ทำให้ทุกคนในห้องพากันเงียบกริบ สีหน้ายังเต็มไปด้วยความตกใจ สกาวใจไม่เคยเห็นสามีเป็นเช่นนี้มาก่อน ท่าทางเอาจริง ไม่ยอมอ่อน ไม่ใช่นิสัยของลิขิต นางเริ่มสงสัยแล้วว่า ต้องมีเหตุผลซ่อนเร้นอยู่ ไม่เช่นนั้นลิขิตคงไม่บังคับถึงขั้นตัดญาติขาดมิตร
“คุณปู่อยากทำอะไรก็ตามสบายเลยครับ เพราะถึงยังไงผมก็ไม่มีวันแต่งงานกับผู้หญิงคนอื่นแน่นอน ผมไม่กลัวอดตายอยู่แล้ว มีสมองและสองมือผมเชื่อว่า ผมอยู่ได้โดยไม่ต้องพึ่งมรดกของคุณปู่”
จอมทัพไม่ใส่ใจหากลิขิตจะทำตามที่ประกาศ เขาไม่แคร์เรื่องทรัพย์สมบัติเพราะคิดว่า ตนเองมีความสามารถพอที่จะยืนอยู่ด้วยลำขาของตัวเอง
“คุณพ่อครับ ผมว่าใจเย็นๆ ก่อนดีกว่านะครับ ค่อยๆ พูดกัน” วิมุตนิ่งอยู่เฉยไม่ได้ สถานการณ์เริ่มด่ำดิ่งลงเหวทุกขณะ บิดาเขามีทีท่าแข็งกร้าว ในขณะที่บุตรชายก็ไม่ยอมถูกคลุมถุงชน ก่อนจะหันมาปรามลูกชายที่อารมณ์ไม่สู้ดีนัก “ใหญ่ก็ใจเย็นๆ อย่าพูดกับคุณปู่แบบนี้”
“แกอย่ามาทำผยองกับฉันนะ แกอย่าลืมสิว่า ที่แกยืนอยู่ในสังคมจนถึงทุกวันนี้ สุขสบายบนกองเงินกองทอง มีคนนับหน้าถือตาเพราะใคร ถ้าไม่เพราะฉัน หัดสำนึกในบุญคุณบ้าง ไม่ใช่มาพูดจาราวกับไม่เห็นหัวฉันแบบนี้” ลิขิตพูดเหมือนทวงบุญคุณ
“ผมเคารพรักคุณปู่เสมอ แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ผมยอมไม่ได้ ชีวิตเป็นของผม ผมขอเลือกเอง แล้วผมก็ขอเลือกไม่แต่งงานกับผู้หญิงคนนั้น อย่างที่บอกไปผู้หญิงที่ผมจะแต่งงานด้วยคือน้ำหวาน”
จอมทัพพยายามใจเย็นให้มากที่สุด อย่างน้อยลิขิตก็เป็นปู่และเป็นผู้มีพระคุณของตน ทว่าเรื่องชีวิตคู่ เขาขอลิขิตเอง ไม่ยอมถูกคลุมถุงชนเด็ดขาด “ผมขอตัวนะครับ ผมคิดว่าไม่มีอะไรจะพูดแล้ว”
จอมทัพลุกเดินออกไปจากห้องนั่งเล่นทันทีที่พูดจบ เพราะคิดว่า ถึงอยู่ต่อไปก็คงไม่พ้นมีปากเสียงกับลิขิต เขาไม่อยากจะปะทะคารม แสดงกิริยาที่ทำให้เห็นว่าไม่เคารพผู้หลักผู้ใหญ่ของบ้าน อีกทั้งเขาเองก็ไม่มีวันยอมทำตามความต้องการของคนเป็นปู่ ฉะนั้นก็ไม่มีความจำเป็นที่จะอยู่ในห้องนี้ สู้ไปสงบสติอารมณ์ในห้องน่าจะดีที่สุด
“คุณพ่อครับ ผมขอโทษแทนใหญ่ด้วยนะครับ” คนกลางอย่างวิมุต รีบขอโทษบิดาแทนบุตรชาย
“ดวงกราบขอโทษคุณพ่อค่ะ ใหญ่อาจจะพูดแรงไปหน่อย เดี๋ยวดวงจะพูดกับใหญ่เองค่ะ” ดวงดาราขอโทษแทนจอมทัพอีกคน ทว่าทีท่าของลิขิตยังคงนิ่งเฉยจนสองสามีภรรยานึกหวั่น
“ทุกคนออกไปก่อน พ่อมีเรื่องจะคุยกับแม่”
เป็นคำสั่งที่ทุกคนพร้อมจะปฏิบัติตาม วิมุตเดินนำภรรยาและบุตรสาวอีกสองคนเดินออกไปจากห้อง รั้งท้ายด้วยนภาพร
“เรื่องที่จะคุยกับฉันมีลับลมคมนัยมากหรือไง ถึงได้ต้องให้ทุกคนออกไปจากห้องนี้”
“ผมอยากให้คุณช่วยเรื่องใหญ่” ลิขิตเปิดเรื่อง
“ช่วยเรื่องใหญ่” นางทวนคำพูด “จะให้ฉันช่วยพูดกับใหญ่ให้แต่งงานกับผู้หญิงที่คุณหาให้ใช่ไหม”
“ใช่”
“ถ้าอย่างนั้นฉันไม่ช่วย ฉันเห็นด้วยกับใหญ่ที่ใหญ่น่าจะหาคู่ชีวิตเอง ไม่ใช่ถูกคลุมถุงชนที่ไม่มีใครเขาทำกันแล้ว”
สกาวใจเลือกที่จะเข้าข้างหลานชาย สิ่งใดที่สามีคิดว่าดี นางจะค้าน เรื่องใดที่สามีเห็นว่าสมควร นางจะคิดต่างตรงกันข้าม ซึ่งลิขิตนึกอยู่แล้วว่าต้องออกมาในรูปแบบนี้
“คุณยังอยากได้ไร่รังสรรค์อยู่หรือเปล่า ถ้าอยากได้ผมจะยกให้ แต่มีข้อแม้ว่าคุณต้องช่วยผมพูดกับใหญ่ ให้ใหญ่ยอมแต่งงาน”
ข้อเสนอของลิขิตทำให้สกาวใจตาลุกวาว ไร่ที่ว่านี้ตั้งอยู่ในจังหวัดเชียงราย พื้นที่ของไร่มีมากกว่าห้าร้อยไร่ แบ่งออกเป็นรีสอร์ท ไร่ส้ม องุ่นและไร่กาแฟ นางต้องการไร่นี้มากแต่ลิขิตกลับยกไร่รังสรรค์ให้กับนภาพร ภรรยาน้อย นำพาความแค้นเคืองและริษยาให้นางไม่น้อย แต่อยู่ๆ เขากลับยกให้นางง่ายๆ เพียงแค่ช่วยเหลือให้ความต้องการของลิขิตเป็นผลสำเร็จ มันทำให้นางคิดว่า ลิขิตอยากได้ผู้หญิงคนนั้นเป็นหลานสะใภ้จนตัวสั่น ไม่เช่นนั้นคงไม่ยื่นข้อเสนอนี้มา
“แล้วนภาไม่ว่าคุณเหรอที่คุณยกไร่ให้ฉัน ไร่นี้คุณตั้งใจยกให้มันนี่”
“ไร่รังสรรค์ยังเป็นชื่อของผม ผมจะยกให้ใครก็ได้ แล้วตอนนี้ผมพร้อมที่ยกให้คุณ ขอเพียงคุณทำตามข้อตกลงให้สำเร็จก็พอ”
สกาวใจทำท่าครุ่นคิด ข้อเสนอของสามีถูกใจนางมาก แต่นางต้องเล่นตัวเพราะตอนนี้ตนถือไพ่เหนือกว่า ในบ้านหลังนี้มีเพียงนางคนเดียวเท่านั้นที่จะทำให้จอมทัพยอม
“แล้วคุณมั่นใจได้ยังไงว่า ฉันจะทำสำเร็จ”
“ผมรู้ว่า ใหญ่รักและเคารพคุณมาก คุณทำได้อยู่แล้วถ้าคิดจะทำ”
ในบ้านหลังนี้ จะมีเพียงสกาวใจคนเดียวเท่านั้นที่จะทำให้ความต้องการของเขาสำเร็จ เป็นเพราะนางเลี้ยงดูจอมทัพมาตั้งแต่เกิด อบรมสั่งสอนและมอบความรักมากกว่าหลานคนใด อีกทั้งจอมทัพก็รักและตามใจผู้เป็นย่าทุกอย่าง ลิขิตจึงเสนอทรัพย์สินก้อนโตให้นางด้วยความเต็มใจ
“ฉันว่านะ งานนี้ฉันต้องเหนื่อยหนัก ใหญ่รักมั่นอยู่กับน้ำหวานเพียงคนเดียว คงจะไม่ยอมแต่งงานง่ายๆ แน่ แค่ไร่รังสรรค์ฉันว่าคงไม่คุ้มกับค่าเหนื่อย” ลิขิตรู้ความนัยในประโยคนี้ เขาจึงยื่นข้อเสนออีกข้อให้ภรรยาหลวง
“ผมรู้มาว่า คุณหญิงรัตนาได้เครื่องเพชรชุดใหม่มาจากฝรั่งเศส ราคาชุดนึงเจ็ดสิบกว่าล้าน ผมรู้ว่าคุณอยากได้เครื่องเพชรใหม่อีกสักชุดเพื่อไปประชันกับคุณหญิงรัตนา ถ้าคุณพูดกล่อมให้ใหญ่ยอมแต่งงานได้ ผมจะสั่งทำชุดเครื่องเพชรให้คุณหนึ่งชุด โดยใช้เพชรสีชมพูที่คุณแม่ของผมให้มาทำเป็นจี้สร้อยให้คุณ ผมกะราคาของเครื่องเพชรชุดนี้ก็น่าจะประมาณหนึ่งร้อยยี่สิบล้าน รับรองว่าคุณเดินเชิดให้เพื่อนๆ ของคุณอิจฉาเล่นแน่นอน แบบนี้คุณคงหายเหนื่อยนะ”
สกาวใจถึงกับตาโตกับข้อเสนอพิเศษนี้ รอยยิ้มเปื้อนใบหน้าของสตรีสูงวัยที่หลงใหลในเครื่องเพชร ยิ่งได้ยินว่า เขาจะนำเพชรสีชมพูทรัพย์สมบัติของมารดาที่ทิ้งไว้ให้ก่อนเสียชีวิตมาทำจี้สร้อย ความอยากได้ยิ่งเพิ่มพูน เนื่องจากเพชรชนิดนี้หายากและมีราคาสูง นางหมายปองตั้งแต่แรกเห็น อยากได้เป็นเจ้าของจนตัวเนื้อสั่น แล้วตอนนี้มีโอกาสแล้ว มีหรือสกาวใจจะไม่รีบคว้าไว้
“ฉันขอเพิ่มเติมนิดนึง ชุดเครื่องเพชรฉันขอครบชุดนะ สร้อยคอ ต่างหู สร้อยข้อมือแล้วก็แหวน” นางต่อรอง
“ไม่มีปัญหา ผมจัดให้” ลิขิตไม่มีข้อแม้ ยอมทำตามที่ภรรยาหลวงต้องการ
“ตกลงตามนี้ ฉันจะช่วยคุณ แต่คุณอย่าลืมสัญญาที่ให้ไว้กับฉันล่ะ”
“ผมไม่ลืมหรอก คุณจะได้ในสิ่งที่ผมบอกหลังจากที่งานแต่งงานของจอมทัพเสร็จสิ้น” ลิขิตย้ำบอก “ผมให้เวลาคุณแค่สองวันนะ วันมะรืนผมต้องได้รับข่าวดีเพราะผมจัดเตรียมงานแต่งงานไว้แล้ว มันจะเกิดขึ้นวันอาทิตย์หน้า บอกใหญ่ให้เตรียมตัวให้พร้อม”
“ทำไมมันไวจังล่ะ งานแต่งงานหลานนะ ไม่ใช่คนใช้ แขกเหรื่อเชิญกี่คน ไหนจะนั่นโน่นนี่อีก จะรีบอะไรนักหนา”
“ผมไม่จำเป็นต้องตอบคำถามนี้ คุณแค่ทำงานให้เสร็จตามที่ตกลงกันไว้ก็พอ” ลิขิตพูดจบก็ลุกขึ้นยืน “ผมจะรอฟังข่าวดีจากคุณ อย่าลืมนะว่าทรัพย์สมบัติรอคุณอยู่นับร้อยล้าน”
เขาย้ำบอกมูลค่าทรัพย์สินให้สกาวใจมีแรงผลักดัน ก่อนที่จะเดินออกไปจากห้องทันทีที่หมดธุระ
“ตายล่ะ ลืมถามเลยว่าเจ้าสาวคือใคร”
นางพูดกับตัวเองเมื่อสามีเดินพ้นห้อง เพราะมัวแต่ดีใจที่จะได้ทรัพย์สินที่สามีนำมาหลอกล่อ เรื่องชื่อเสียงเรียงนามรากเง้าของว่าที่หลานสะใภ้คือใครจึงลืมเสียสนิท แต่คิดไปคิดมามันก็ไม่ใช่เรื่องที่ตนจะต้องสนใจ เรื่องที่นางสนใจตอนนี้คือ จะพูดอย่างไรให้จอมทัพยอมแต่งงาน กลับไปคิดแผนให้รอบคอบสักคืน พรุ่งนี้ค่อยจัดการก็ยังทันตามกำหนดเวลา