บทนำ (ลิขิตฟ้ามายารัก)
บทนำ(ลิขิตฟ้ามายารัก)
การเปลี่ยนฤดูใกล้จะเริ่มขึ้นแล้ว อากาศรายรอบตัวเริ่มคลายความเย็นมากขึ้นทุกวัน อาร์ยานาต้องการเดินทางไปเที่ยวประเทศโปแลนด์ก่อนฤดูใบไม้ผลิจะละลายหิมะให้หมดไป เธออยากเห็นทุ่งหิมะขนาดใหญ่เหมือนในความฝัน โดยเฉพาะเมืองสวยงามแหล่งที่อยู่ใกล้เทือกเขาทาทรา(Tatra Mountains)ที่ได้ชื่อว่าเป็นสถานท่องเที่ยวสำคัญอันเป็นที่ตั้งของอุทยานแห่งชาติที่นักท่องเที่ยวนิยมเที่ยวกันมาก ที่อยากเห็นมากสุดคือป่าโบราณหรือป่าสนต้นโค้งงอที่เคยฝันเห็นหลายครั้ง ความจริงเธอไม่แน่ใจเลยว่าอยากไปเที่ยวประเทศโปแลนด์จริงๆหรือมีบางสิ่งเรียกร้องให้เธอไป...ใช่...มีพลังบางอย่างคอยดึงดูดให้เธอต้องไปยังหาสถานที่นั้น
อาร์ยานารู้สึกกังวลเกี่ยวกับความฝันซ้ำซากที่ไม่อาจหาคำตอบได้จากความรู้สึกเหมือนใครคนหนึ่งกำลังรอเธออยู่กลางสายหมอกสีรุ้งเจือจางในโลกสวยงามแห่งนั้น ยิ่งใกล้วันเดินทางเธอยิ่งฝันถี่มากขึ้น โดยเฉพาะการฝันเห็นสุนัขป่าขนสีทองงดงามตัวสูงใหญ่น่าเกรงขามที่ยืนแหงนมองท้องฟ้าอยู่บนผาสูงเสมือนกำลังรอคอยอะไรสักอย่าง
“พ่อคะ เป็นไปได้ไหมที่ยังมีอีกโลกหนึ่งที่เรามองไม่เห็น แต่สัมผัสได้ด้วยความรู้สึกว่ามันมีอยู่” เธอถามขึ้น
หลังจากสอบเสร็จอาร์ยานากับอลิซาเบธชวนกันไปดูภาพยนตร์แนวโปรดของพวกเธอที่เกี่ยวกับแวมไพร์ แต่แทนที่อาร์ยานาจะกลับมาฝันถึงพวกแวมไพร์หรือคู่พระนางตัวเด่นของภาพยนตร์เรื่องนี้ เธอกลับฝันเห็น...หมาป่า...มันเป็นสุนัขป่าตัวเดิมที่เธอหลงรักจากที่ฝันเห็นหลายครั้ง
ร่างใหญ่โตของมันเวลายืนแหงนเงยหน้าดูสง่างาม ขนยาวฟูฟ่องสีทองอร่ามทุกเส้นขนบนตัวมันมองคล้ายสิงโตเจ้าป่าตัดกับพื้นหิมะขาวสะอาด ดวงตาสีอำพันดุจอัญมณีเบิ่งมองบนท้องฟ้าผ่านสายหมอกสีรุ้งเจอจางเหมือนกำลังจับจ้องสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่อยู่บนนั้น
...มันกำลังรอคู่ของมัน...คำตอบผุดขึ้นมาในจิตใต้สำนึกของอาร์ยานา คู่ของมันอยู่ที่ไหน ความฝันทำให้เธอได้เห็นแววเจ็บปวดในดวงตาสีอำพันแสนสวยและรับรู้ถึงการพรากจากผู้เป็นที่รักจากความคิดของมัน คู่ของมันคงอยู่ไกลแสนไกล อาจจะไกลมากจนไม่สามารถติดตามเจอก็เป็นได้...น่าสงสารจัง...
“เป็นไปได้หรือเป็นไปไม่ได้เท่ากัน เพราะเรามองไม่เห็นมันไงลูกรัก”
อาร์เธอโอบไหล่ลูกสาวพาเดินเข้าบ้าน หลังจากเดินดูสวนกุหลาบที่ต้องมีการปรับปรุงครั้งใหญ่ โดยทั้งสองตกลงกันว่าจะหาซื้อต้นกุหลาบสายพันธุ์ใหม่ๆมาปลูกเพิ่มและทำแปลงใหม่เพิ่มขึ้นอีกด้วย
“แล้วเป็นไปได้ไหมคะที่เราจะฝันเห็นอีกโลกหนึ่งที่มีอยู่จริงๆ” อาร์ยานาถามต่อ
“ทำไมลูกถึงคิดว่าเป็นอีกโลกหนึ่งล่ะ” แววสงสัยในดวงตาผู้เป็นพ่อจับจ้องลูกสาวคนสวยอย่างใคร่รู้
“ไม่ทราบสิคะ ความรู้สึกของหนูบอกว่าสิ่งที่เห็นเป็นอีกโลกหนึ่งที่ไม่ใช่โลกของเรา ที่นั่นมีหมอกสีรุ้งจางๆลอยวนอยู่ท่ามกลางหิมะขาวโพลนบนพื้นที่มีอยู่ทั่วไป” อาร์ยานายังจดจำถึงความสวยงามนั่นติดตา
“หมอกสีรุ้งที่ลูกฝันเห็นอาจเป็นสายหมอกยามเช้าตอนแสงอาทิตย์ส่องผ่านบนโลกของเราก็ได้นะ ไหนเล่าให้พ่อฟังซิว่าลูกฝันเห็นอะไรบ้าง”
อาร์เธออยากฟังเรื่องราวที่ลูกสาวฝันเห็น แม้โลกยุคดิจิตอลจะทำให้เทคโนโลยีก้าวไกลทำให้รู้เห็นโลกกว้างขึ้นมากเพียงใดแต่บางคนก็ไม่อาจทิ้งความเชื่อที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษของมวลมนุษยชาติได้ โดยเฉพาะความฝันอันเป็นเรื่องเร้นลับที่บางคนเชื่อว่าเกิดจากสัมผัสพิเศษในตัวของใครคนหนึ่ง
อาร์เธอกับวาลิยาห์ผู้เป็นภรรยาเคยมีประสบการณ์จากความฝันที่ตรงกันก่อนจะให้กำเนิดอาร์ยานา ทั้งสองฝันในคืนเดียวเรื่องเดียวกันว่า...เซรีน่าภรรยาของอัศวินไนดัส บรรพบุรุษต้นสกุลของอาร์เธอมาปรากฏตัวยืนอยู่ข้างเตียง นางปลดสร้อยไข่มุกที่มีรัศมีเปล่งประกายสีรุ้งเจิดจ้าแสนงดงามออกจากลำคอวางใส่มือวาลิยาห์ภรรยาของเขาก่อนร่างงดงามของนางจะค่อยเลือนหายไป...
“หนูฝันเห็น...” เธอชะงัก
อาร์ยานาไม่ทันได้เล่าให้บิดาฟังถึงเรื่องราวความฝันที่ฝันเห็นสุนัขป่าในโลกแสนสวยแห่งนั้น โลกที่มีไอหมอกสีรุ้งเจือจางล่องลอยอยู่ทุกหนทุกแห่ง ฤดูหนาวที่พื้นดินพื้นหญ้าเต็มด้วยหิมะขาวสะอาด ฤดูใบไม้ผลิที่มีไม้ดอกไม้ผลสีสันสดใสงดงาม ต้นเมเปิ้ลสูงใหญ่เทียมภูเขา ป่าต้นสนลำต้นโค้งงอแปลกตา ทุ่งหญ้าเขียวขจี ทุ่งดอกไม้นานาชนิดกว้างไกลสุดสายตา ลำธารน้ำใสกระจ่างดั่งน้ำค้างกลางหาว และสุนัขป่าขนสีทองอร่ามสวยจับใจกับเพื่อนพ้องของมันอีกหลายสิบชีวิต
”คุยอะไรกันอยู่จ๊ะ พ่อ ลูก”
วาลิยาห์ถามขณะเดินเข้ามาหาลูกสาวกับสามีที่นั่งอยู่บนโซฟากลางห้องโถงของบ้านหลังใหญ่ที่เพื่อนของนางมักจะเรียกว่าคฤหาสน์สีขาว เพราะความสวยงามหรูหราของตึกก่ออิฐผสมโมเสกสีขาวอายุเก่าแก่หลายร้อยปี อันเป็นสถาปัตยกรรมสวยงามที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษยุคอัศวินที่ลูกหลานรุ่นต่อมาได้บำรุงรักษาให้คงทนสวยงามด้วยความรักภาคภูมิใจ
“ไม่มีอะไรค่ะแม่” อาร์ยานาลุกจากโซฟาที่นั่งอยู่กับบิดามารับมารดาพาไปนั่งแทน แล้วเปลี่ยนไปนั่งโซฟาที่อยู่ฝั่งตรงข้ามคนทั้งสอง
“ลูกของเรามีคำถามแปลกๆอยู่นะ” พ่อของเธอเอ่ยขึ้น
อาร์ยานาเห็นอยู่บ่อยๆที่พ่อเอื้อมแขนโอบไหล่แม่ดึงเข้ามาชิดตัวมากขึ้น เธอชื่นชมที่ทั้งสองแสดงความรักห่วงใยต่อกันอยู่เสมอ และเธอก็ชื่นชอบที่เป็นที่รักห่วงใยของคนทั้งสองเช่นกัน
“อะไรจ๊ะ อัญญ่า” แม่ของเธอขมวดคิ้วอย่างกังวล นางเรียกลูกสาวด้วยชื่อที่สามีกับเพื่อนของบุตรสาวเรียกกันติดปากจนแทบจะลืมชื่อ...อาร์ยานา...ชื่อจริงของบุตรสาว
“ไม่มีอะไรสำคัญหรอกค่ะ แค่บางเรื่องที่หนูอยากรู้” เธอปฏิเสธ
เด็กสาวมองสบตากับพ่อที่เลิกคิ้วเหมือนจะถามว่า...จะไม่เล่าให้แม่ฟังหรือ...เธอตั้งใจจะไม่บอกเล่าเกี่ยวกับความฝันใดๆให้แม่ฟัง เพราะกลัวทำให้แม่ไม่สบายใจ
“แล้วอัญญ่าอยากรู้เรื่องอะไร” แม่ของเธอซักไซ้ มองหน้าลูกสาว แล้วหันมายิ้มให้สามีสบตากันด้วยแววรักใคร่
“ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรหรอกค่ะ เอ้อ แม่คะ พ่อคะ หนูกับเพื่อนๆตกลงกันได้แล้วค่ะ สรุปว่าพวกเราจะเดินทางไปเที่ยวประเทศโปแลนด์กันสุดสัปดาห์นี้นะคะ” เธอเปลี่ยนเรื่อง
“วันเสาร์นี้หรือ เร็วไปหรือเปล่า ฤดูหนาวยังไม่หมดดีเลย อากาศน่าจะยังแปรปรวนอยู่นะลูกรัก” อาร์เธอไม่ขัดข้องที่บุตรสาวกับเพื่อนจะเดินทางท่องเที่ยว แต่เขาไม่สนับสนุนให้ไปในช่วงคาบเกี่ยวฤดูอย่างนี้
“ไม่เป็นไรหอกค่ะ พวกเราอยากเที่ยวช่วงคาบเกี่ยวฤดูแบบนี้ เขาว่าที่นั่นสวยมาก”
“อีกสิบกว่าวันเองนะ แม่ว่ารออีกสักเดือนน่าจะเดินทางปลอดภัยกว่า พายุหิมะชอบมาช่วงเปลี่ยนฤดูเสียด้วย”
“พายุหิมะที่คุณแม่ว่ามักจะมาช่วงเปลี่ยนจากฤดูร้อนเป็นฤดูหนาวไม่ใช่หรือคะ ที่ลูกกับเพื่อนๆอยากไปช่วงนี้เพราะยังมีหิมะให้เล่นสกีกันได้ หิมะบนเทือกเขาทาทรากำลังละลาย บางที่ต้นหญ้าต้นไม้ก็เริ่มผลิดอกออกใบให้ได้เก็บภาพสวยๆได้แล้วนะคะ” เธอมองพ่อแม่ที่กำลังสบตากัน
“ถ้าลูกกับเพื่อนๆชอบแบบนั้นก็ตามใจนะ ถือว่าเป็นของขวัญที่ต้องเรียนหนักมาหลายเดือน เสร็จงานรับปริญญาเรียบร้อยไปท่องเที่ยวพักผ่อนหย่อนใจบ้างก็ดี”
“แต่แม่ยังห่วงเรื่องอากาศแปรปรวนอยู่เลย”
“ไม่มีอะไรน่าห่วงหรอกค่ะแม่”
“นั่นสิ คุณอย่าห่วงไปเลย”
“เราคาดเดาไม่ได้นะคะว่ามันจะเกิดหรือไม่เกิด ควรระมัดระวังไว้ก่อนดีกว่า เอาอย่างนี้สิ ลูกชวนเพื่อนๆมาพักผ่อนที่นี่ดีไหม จะอยู่สักอาทิตย์หรือสองอาทิตย์ก็ได้ บ้านเรามีสวนดอกไม้สวนผลไม้ที่กำลังออกดอกผลดีมีธารน้ำให้ตกปลาเล่นกันสนุกสนานเหมือนปีก่อนไงจ๊ะ มิกซ์กับไมค์เคยบอกแม่ว่าอยากกลับมาตกปลาที่นี่อีกนะ เรื่องเที่ยวต่างประเทศรอไว้ช่วงกลางฤดูค่อยเดินทางน่าจะดีกว่า”
“พวกเราอยากเที่ยวกันก่อน เอาไว้กลับมาแล้วค่อยมาได้ ไหมคะ”
“ทำไมลูกถึงต้องไปโปแลนด์ล่ะ ประเทศอื่นก็มีที่ท่องเที่ยวสวยๆมากมาย ออสเตรียสวีตเซอร์แลนด์ไงพ่อกับแม่เคยไปมาแล้วมีธรรมชาติสวยๆให้เที่ยวดูมากเลยนะ”
“ค่ะ ที่เราเลือกโปแลนด์เพราะเราเห็นเมืองสวยๆของที่นั่น แถมยังมีสถานท่องเที่ยวที่น่าสนใจมากเลยนะคะ แค่ย่านเมืองเก่าของกรุงวอซอร์ก็สวยสุดใจแล้วค่ะ โดยเฉพาะเมืองซาโคเพนมีที่ท่องเที่ยวมากมาย เราอยากไปเที่ยวอุทยานแห่งชาติทาทรา อยากเที่ยวถ้ำวิลก้าชนิชน่าที่ยาวถึงสิบเอ็ดไมล์ แล้วก็... ” อาร์ยานาหยุด
เปลี่ยนใจที่จะพูดถึงป่าสนต้นโค้งงอหรือครุ๊กฟอเร้สท์ที่ตนเคยฝันเห็นป่าสนคล้ายป่าแห่งนี้ เพราะป่าสนในความฝันของเธอมีลำต้นโค้งงอใหญ่โตขนาดคนธรรมดาทั่วไปโอบแขนไม่รอบ และบรรยากาศบริเวณป่าสนก็เต็มไปด้วยสายหมอกสีรุ้งเจือจาง
“อะไรจ๊ะ อ้ำๆอึ้งๆอย่างนี้มีอะไรที่ไม่อยากบอกแม่หรือเปล่า” วาลิยาห์เริ่มกังวลท่าทีของลูกสาว
“ไม่ค่ะ ไม่มี คุณแม่ไม่ต้องห่วงนะคะ” อาร์ยานายิ้มแป้นให้แม่ ไม่กล้าบอกถึงป่าโบราณที่ตนฝันเห็น
“นั่นสิ ประเทศโปแลนด์น่าเที่ยวไม่น้อยเลยนะ ถ้าพ่อกับแม่ไม่ติดงานต้องเร่งส่งของให้เสร็จทันสิ้นเดือนนี้ก็จะตามลูกไปเที่ยวด้วยหรอก เอ วันนี้คุณทำอะไรกินบ้าง ผมหิวแล้ว” อาร์เธอเปลี่ยนเรื่องคุย ไม่อยากให้ภรรยาเป็นกังวลกับเรื่องการเดินทางไกลของลูกสาว
“หนูก็หิวเหมือนกันค่ะ แม่ทำพายร์แอปเปิ้ลใช่ไหมคะ ของโปรดของหนูเลย”
อาร์ยานาลุกจากโซฟาที่นั่งเข้าดึงตัวมารดาให้ลุกตามมาส่งหน้าห้องครัวก่อนจะขอตัวขึ้นห้องนอนเพื่ออาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ มื้อค่ำอันแสนอร่อยผ่านไปด้วยความสุขของสามชีวิตในคฤหาสน์สีขาวอันเป็นสถาปัตยกรรมที่สวยสง่างดงามอีกแห่งหนึ่งของอังกฤษ
คฤหาสน์เป็นบ้านที่อาร์ยานาหรืออัญญ่าอยู่มาตั้งแต่ออกจากครรภ์มารดา อาร์ยานาเป็นลูกสาวคนเดียวที่พ่อแม่รักและภาคภูมิใจ แต่การเติบโตเข้าสู่วัยสาวของอาร์ยานากลับเสมือนมีบางสิ่งคอยสะกิดเตือนถึงการพรากของพวกเขาอยู่เสมอ ซึ่งทำให้วาลิยาห์แม่ของอาร์ยานาไม่อยากให้ลูกสาวไปไกลจากบ้านตามลำพัง...แต่ไม่มีใครฝืนลิขิตจากฟ้าได้...
อาร์ยานานั่งหลับตาภาวนาขอพระผู้เป็นเจ้าที่เคารพศรัทธาจงเมตตาคุ้มครองรักษาตนและเพื่อนร่วมเดินทางให้รอดปลอดภัยจากภัยพิบัติในครั้งนี้ด้วยหัวใจมุ่งมั่น พร้อมคำรำพันในใจว่าเธอเพิ่งเกิดมาได้เพียงยี่สิบเอ็ดปีกว่า มีมารดาผู้แสนสวยเชื้อชาติอาระเบียนกับบิดาผู้แสนดีและมีเชื้อสายอัศวินผู้จงรักภักดีต่อราชวงศ์ทางยุโรป ยังไม่ได้ใช้ชีวิตให้คุ้มค่ากับการที่เกิดมาเป็นมนุษย์เลย โดยเฉพาะการตอบแทนคุณบิดามารดาและประเทศชาติอันเป็นที่รัก เพราะเป็นครั้งแรกที่ทั้งสองอนุญาตให้เธอเดินทางมาตามลำพังกับกลุ่มเพื่อนสนิทสี่ห้าคน หลังจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยมาเพียงสองสัปดาห์ เพื่อท่องเที่ยวแสวงหาประสบการณ์ และประเทศโปแลนด์ก็เป็นหนึ่งในดินแดนที่น่าสนใจ แต่ตอนนี้เครื่องบินที่พวกเธอโดยสารกำลังประสบปัญหาใหญ่
“...ผู้โดยสารโปรดทราบ ขอให้ทุกคนอยู่ในความสงบ เราจะนำพาผู้โดยสารทุกท่าน ไปถึงจุดหมายได้โดยปลอดภัยอย่างแน่นอน...ผู้โดยสารโปรดทราบ...”
เสียงประกาศของพนักงานต้อนรับสลับกับคำกล่าวยืนยันของกัปตันบนเครื่องบินที่ทุกคนได้ยิน ไม่ได้ช่วยให้ผู้โดยสารคนใดรู้สึกดีขึ้นเลยสักนิด เพราะอาการสั่นโคลงสลับการเอียงวูบไปมาของเครื่องเป็นเรื่องไม่ปกติ จึงมีคนหลายคนร้องไห้ หนึ่งในนั้นก็เป็นเพื่อนสาวสองคนที่นั่งอยู่ข้างกายอาร์ยานา
“ฮือ...ฮือ...ฮือ...อัญญ่า...เราจะตายไหม...” อลิซาเบธน้ำตาไหลพราก สองมือเกาะแขนเพื่อนสาวเอาไว้แน่น เสียงถามสั่นพร่าด้วยความรู้สึกหวั่นกลัวอย่างหนัก ประสานกับเสียงร้องอย่างเสียขวัญของคนรอบข้าง
“เราต้องตายแน่...โฮ...ฮือ...ฮือ...ฮือ...” ซานดร้าเพื่อนสาวเชื้อสายสเปนที่นั่งถัดจากอลิซาเบธออกไปตอบแทน แล้วเอามือทั้งสองปิดหน้าร้องไห้ลั่น
“ไม่...ไม่...พวกเราจะต้องไม่ตาย พวกเธอต้องเชื่อในพระเจ้า ท่านจะไม่ทอดทิ้งพวกเรา...” อาร์ยานาที่กำลังภาวนาถึงพระเจ้าตอบปลอบใจเพื่อนสาว ขณะที่เครื่องบินเอียงวูบลง ทำให้สองเพื่อนสาวส่งเสียงกรี๊ดลั่น
“ว้ายยย...พระเจ้าช่วยลูกด้วย...”
“วี้ดดด...พระเจ้า...”
“พระเจ้า...พระเจ้าอยู่ไหน...โปรดช่วยลูกด้วยเถิด”
“พระเจ้าคงจะลืมพวกเราแล้วละ ถึงได้เป็นอย่างนี้” เสียงร้องของสองสาวข้างกายดังประสานกับเสียงหวาดหวั่นของมิกซ์กับไมค์แฝดหนุ่มเพื่อนในกลุ่มผู้ร่วมเดินทางที่นั่งอยู่แถวหน้า
“สาธุ สาธุ ขอบารมีเจ้าแม่กวนอิมช่วยลูกที ถ้าลูกรอด ชีวิตคราวนี้ จะถือสัจจะรักษาศีลเคร่งครัด และจะปฏิบัติแต่สิ่งที่เป็นคุณความดี”
จัสน่าหรือบัวจัตนาเพื่อนสาวเชื้อสายจีนลูกครึ่งไทย-อังกฤษที่ชอบพาเพื่อนๆไปเที่ยวชมและชวนทำบุญในวัดไทยวัดจีนมาทุกวัดในประเทศหลับตาพนมมือพึมพำสวดมนต์เสียงสั่นด้วยอาการน้ำตาไหลพราก ในอ้อมแขนของมิกซ์คู่รักหนุ่มที่นั่ง อยู่คู่กัน
“จัสน่า...ที่รัก ฉันรักเธอนะ หากเราต้องตาย ชาติหน้าขอเราเกิดมารักกันอีกนะ” มิกซ์กล่าวคำบอกรักเพื่อนสาวเหมือนการลาจาก
“ฉันก็รักนาย...มิกซ์...ฉันก็รักนาย...” จัสน่าตอบเพื่อนชายด้วยอาการสะอึกสะอื้น และกอดกันร่ำไห้ด้วยความรักตัวกลัวตาย
“พวกเราทำใจดีๆกันไว้ เขาก็บอกแล้วว่ากัปตันจะพาเราไปถึงจุดหมายอย่างปลอดภัย เราต้องเชื่อนะ เชื่อว่าพวกเราจะต้องปลอดภัย”
คำปลอบใจสุดท้ายของอัญญ่าหรืออาร์ยานาขาดหายไป เมื่อเครื่องบินทางฝั่งซ้ายเอียงวูบดิ่งลงอย่างรวดเร็ว ก่อนจะค่อยทรงตัวเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างแรงเร็ว โดยปีกข้างซ้ายเหมือนกับเฉี่ยวโดนอะไรสักอย่าง ก่อนจะหักเป็นเสี่ยงทำให้ตัวเครื่องเอียงถลาร่อนลงเหมือนนกปีกหัก พร้อมกับเสียงผู้โดยสารประสานเสียงร้องดังอย่างตื่นตกใจเมื่อยานพาหนะเหินฟ้าลำใหญ่พุ่งตรงไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วและเกิดแรงกระแทกดังสนั่นเลื่อนลั่นราวกับฟ้าถล่มทลาย แต่ก่อนที่สติของอาร์ยานาจะดับวูบไป ใบหน้าของไนดัสอัศวินผู้เก่งกล้าในต้นตระกูลของบิดาก็ผุดขึ้นมาในห้วงสำนึก เด็กสาวภาวนาร่ำร้องขอให้เขามาช่วยตนให้พ้นจากความตายที่ยังไม่สมควรแก่เวลาครั้งนี้ เสมือนมีคำตอบรับจากคำภาวนาของเธอเมื่อปรากฏแสงสีรุ้งวาบเข้ามาแล้วทุกสิ่งทุกอย่างก็ดับวูบไปในพริบตา