บทที่ 7 แสร้งเป็นหมูหลอกกินเสือ
ฮูหยินใหญ่รับถ้วยชามาอย่างไม่เต็มใจ น้ำชายังไม่ทันได้เข้าปาก ก็เห็นผงสีดำที่ลอยอยู่บนน้ำชา ซึ่งเห็นได้ชัดว่ามันเป็นชาที่ขึ้นราและเสียไปแล้ว ไม่ว่าฮูหยินใหญ่จะทำได้อย่างไร ก็ไม่ดื่มไม่ลง
ตอนเซียวอวิ๋นเซิงยื่นชาให้กู้ชิวเซียง เห็นแต่กู้ชิวเซียงทำหน้าไม่เต็มใจ ปฏิกิริยาเดียวกันกับฮูหยินใหญ่เลย
มุมปากของฮูหยินใหญ่กระตุกเล็กน้อย โยนถ้วยน้ำชาลงบนพื้นด้วยปฏิกิริยาตอบกลับอันว่องไวและพูดอย่างโกรธเคืองว่า:"แม่นมโจว! นี่มันอะไรกันแน่! "
แม่นมโจวเพิ่งสูญเสียหลานสาวไป ตอนนี้เห็นฮูหยินใหญ่โกรธจัด นางก็ทรุดตัวและคุกเข่าลงบนพื้นแล้วกราบขอโทษซ้ำๆว่า: "นี่......นี่มันไม่เกี่ยวกับบ่าวเลยเจ้าค่ะ! เบี้ยเลี้ยงของคุณหนูรองไม่เคยขาดเลยเจ้าค่ะ! บ่าวก็ไม่รู้ว่าเหตุใดห้องของคุณหนูรองถึง......ต่อให้บ่าวจะกล้าเพียงใด ก็ไม่กล้าให้คุณหนูรองต้องลำบากเยี่ยงนี้นะเจ้าค่ะ! "
กู้ชิวเหลิ่งไม่รอให้ฮูหยินใหญ่พูด ก็กะพริบตาและถามอย่างไร้เดียงสาว่า:"อะไรคือเบี้ยเลี้ยง?"
หน้าผากของแม่นมโจวเต็มไปด้วยเหงื่อ นางคิดไม่ถึงเลยว่ากู้ชิวเหลิ่งจะถามคำถามแบบนี้ออกมา
ส่วนเซียวอวิ๋นเซิงก็ยิ้มและอธิบายให้กู้ชิวเหลิ่งว่า: "เบี้ยเลี้ยงก็คือส่วนแบ่งเงินที่เจ้าควรได้ เช่นสามมื้อในแต่ละวัน เจ้ากินอะไร ใส่เสื้อผ้าแบบไหนและเงินค่าขนมเท่าไหร่......"
กู้ชิวเหลิ่งพูดเหมือนเข้าใจว่า:"แต่วันหนึ่งข้ามีเพียงข้าวสองมื้อนี่นา อะไรคือเงินค่าขนม?ใช้ได้หรือไม่? "
กู้ชิวเซียงรู้สึกแย่นัก รีบก้าวไปข้างหน้าและพูดว่า:"แม่นมโจวเจ้าแก่จนสับสนไปแล้วรึ?กล้าดียังไงถึงให้คุณหนูรองกินข้าวแค่วันละสองมื้อ? หากท่านพ่อกลับมารู้เข้า เจ้าต้องรับผิดชอบถึงผลที่ตามมาด้วย! "
ฮูหยินใหญ่โกรธมจัด นางพูดอย่างโกรธว่า:"มีเรื่องแบบนี้จริงรึ?กู้ชิวเหลิ่งเป็นคุณหนูรองของจวนกู้โหว ! ไม่ใช่หมาแมวอะไรที่ไหนกัน เจ้ากลับกล้าทำกับนางเยี่ยงนี้? เจ้ากล้าจริงๆ! "
แม่นมโจวรู้ว่าฮูหยินใหญ่กำลังจะนำความผิดทั้งหมดโทษไปที่ตัวนาง แม่นมโจวนึกคิดไปครู่หนึ่ง จึงรีบชี้ไปที่แม่นมฉีที่อยู่ด้านข้างและพูดว่า:"กล้าดีนัก! ปกติข้าเห็นเจ้าค่อยเอาอกเอาใจข้าเสมอ นำเงินทั้งถุงส่งมาให้ข้าด้วย ที่แท้เป็นเจ้าเองที่แอบหักเงินของคุณหนูรอง! "
จู่ๆแม่นมฉีก็พัวพันกับเรื่องนี้สักงั้น ยังไม่รอได้เอ่ยปากพูด ฮูหยินใหญ่ก็ตะโกนเรียกว่า:"มา! ลากบ่าวเฒ่านี้ออกไป! ตียี่สิบกระดาน! "
กู้ชิวเหลิ่งยืนมองอย่างเย็นชาอยู่ข้างๆ ละครเรื่องนี้แสดงได้ดีนัก เห็นได้ชัดเจนว่าคนที่เป็นแพะรับบาปในมือของฮูหยินใหญ่นั้นไม่น้อยนัก
อย่างไรก็ตาม การกำจัดปี้เถาและแม่นมฉีด้วยมือของฮูหยินใหญ่ ก็ถือเป็นการประหยัดแรงนางได้ไม่น้อยนัก
เซียวอวิ๋นเซิงมองสังเกตรอบห้องนี้แล้วน้ำเสียงก็เปลี่ยนไป: "แล้วห้องนี้......"
ฮูหยินใหญ่รีบพูดทันทีว่า:"เป็นเพราะเด็กๆไม่รู้เรื่อง วันนี้ข้าจะให้คนทำความสะอาดลานใหม่แห่งหนึ่งออกมา หากเรื่องที่คุณหนูรองของตระกูลกู้ได้รับการปฏิบัติเช่นนี้ถูกแพร่ออกไป ข้าก็ไม่มีหน้าเจอผู้คนแล้ว แถมยังทำให้เหลิ่งเอ๋อร์ถูกดูถูกด้วย"
เซียวอวิ๋นเซิงพยักหน้าอย่างพอใจ:"ฮูหยินใหญ่ทำเช่นนี้ ข้าก็สามารถให้คำตอบแก่ฝ่าบาทได้แล้ว ต้องมิให้คนนอกเห็นเรื่องตลกของจวนกู้โหวไปล่ะ"
ฮูหยินใหญ่พยักหน้าซ้ำๆ
ดวงตาของกู้ชิวเหลิ่งเต็มไปด้วยรอยยิ้ม เซียวอวิ๋นเซิงนี้โกหกขึ้นมาก็ดูสมจริงยิ่งนัก ฝ่าบาทนี่ฝ่าบาทนู่น ต่อให้ฮูหยินใหญ่จะกล้าเพียงใด ก็ไม่กล้าล่วงเกินละเมิดต่อหน้าฝ่าบาทแน่นอน ในระยะสั้นนี้ชีวิตของนางได้อยู่ดีเป็นสุขแน่
"หมอมาแล้ว!"
ด้านนอกประตู มีชายชราผมขาวที่แบกกล่องยาเอาไว้
เซียวอวิ๋นเซิงขมวดคิ้ว: "ผมของชายชราคนนี้ขาวเช่นนี้แล้ว สายตาคงไม่ได้แล้ว? หากตรวจผิด......"
กู้ชิวเซียงกล่าวว่า: "ท่านโหวเย๋น้อยไว้ใจได้ หมอเนี่ยยิ่งแก่ยิ่งมีประสบการณ์ นี่เป็นหมอหวังที่อยู่ในจวนพวกข้าเป็นเวลาสิบกว่าปีแล้ว ตรวจไม่ผิดแน่นอน"
"คุณหนูรองเชิญนั่งลง ยื่นมือขวาออกมาให้ข้าน้อยตรวจดูหน่อย"
กู้ชิวเหลิ่งยื่นมือขวาออกมาอย่างให้ความร่วมมือ หมอหวังตรวจไปครู่หนึ่งแล้วพูดว่า: "บนตัวของคุณหนูรองมีบาดแผลภายนอก บวกกับโดนน้ำเย็นอีก เกรงว่าคงจะทำให้เป็นหวัดได้ แต่สุขภาพร่างกายของคุณหนูรองนั้นแข็งแรงดีอยู่แล้ว ข้าน้อยเบิกยาสักสองสามใบให้ ไม่กี่วันก็ดีขึ้นแล้ว"
สุขภาพร่างกายแข็งแรงดี? กู้ชิวเหลิ่งขมวดคิ้วขึ้นอย่างไม่รู้ตัว
จากความทรงจำที่มีอยู่ในตอนนี้ กู้ชิวเหลิ่งเป็นเพียงบุตรีอนุของจวนโหวที่อ่อนแอเท่านั้น นอกเหนือจากมีความสัมพันธ์กับผู้ชายคนนั้นหน่อยแล้ว นางรู้สึกไม่ถึงจริงๆเลยว่าสุขภาพร่างกายแข็งแรงของเด็กคนนี้ดี
ฮูหยินใหญ่ห่วงร่างกายของนางมากกว่าใครอีก รีบโน้มตัวเข้าไปใกล้แล้วถามว่า:"ร่างกายของคุณหนูรองไม่เป็นไรจริงๆรึ?"
หมอหวังกล่าวว่า:"ไม่เป็นไร แม้แต่หวัดก็ไม่เป็น เพียงแต่ต้องบำรุงให้ดี"
ในยามนั้น กู้ชิวเหลิ่งเห็นความสงสัยจากสายตาของฮูหยินใหญ่
หลังจากที่เซียวอวิ๋นเซิงแน่ใจว่ากู้ชิวเหลิ่งไม่เป็นไรแล้ว ก็พูดกับฮูหยินใหญ่ว่า:"ที่นี่ข้าก็เยี่ยมชมเรียบร้อยแล้ว เดี๋ยวต่อหน้าฝ่าบาท ข้าจะพูดแต่เรื่องที่ไม่ค่อยสำคัญ ไม่พูดเรื่องอื่นแน่นอน ฮูหยินใหญ่ไว้ใจได้เลย"
ฮูหยินใหญ่กล่าวอย่างรู้สึกผิดว่า: "ในอดีตล้วนเป็นเพราะความประมาทเลินเล่อของข้า ต่อไปข้าจะคอยระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง"
กู้ชิวเซียงกล่าวด้วยรอยยิ้ม: "ท่านโหวเย๋น้อยสอบถามเยี่ยมชมมาตั้งนาน คงเหนื่อยแล้ว พวกข้าก็ไม่ได้ทำการต้อนรับเป็นอย่างดี เช่นนี้ไปดื่มชาที่ห้องโถงดีหรือไม่?"
เซียวอวิ๋นเซิงใช้พัดพัดแล้วยิ้มจางๆ : "คนงามเชิญชวน จะกล้าไม่ทำตามได้อย่างไร?"
ตาของกู้ชิวเซียงเปล่งประกาย พูดกับกู้ชิวเหลิ่งว่า: "ร่างกายเจ้าอ่อนแอ พักผ่อนอยู่ในห้องให้มากๆละ พวกข้าไม่รบกวนเจ้าแล้ว"
เซียวอวิ๋นเซิงทำหน้าเห็นด้วย: "คนสวยพูดถูก"
พูดจบ เซียวอวิ๋นเซิงก็ส่งสายตาให้กู้ชิวเหลิ่ง เหมือนกำลังบอกนางว่า: เจ้ายังเป็นหนี้น้ำใจข้าอยู่
กู้ชิวเหลิ่งแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น สีหน้าของเซียวอวิ๋นเซิงก็แย่ลงเลย
หลังจากที่ทุกคนจากไป จูเอ๋อร์ถึงวิ่งมาข้างหน้าแล้วช่วยกู้ชิวเหลิ่งคลุมผ้า และพูดด้วยอารมณ์ที่ดีว่า:"เซียวโหวเย๋น้อยช่างเป็นคนที่ดียิ่งนัก"
"คนดี?"
จูเอ๋อร์พยักหน้า:"เจ้าค่ะ! เซียวโหวเย๋น้อยช่วยคุณหนูแก้หน้า ยังช่วยให้คุณหนูมีชีวิตที่ดีในอนาคต ก็ต้องเป็นคนดีสิเจ้าค่ะ? "
หน้าของกู้ชิวเหลิ่งเย็นชาลง และพูดอย่างเย็นชาว่า:"ชีวิตที่ดี......ข้าว่าชีวิตที่แย่นะสิจะมาแล้ว"
จูเอ๋อร์มองดูกู้ชิวเหลิ่งด้วยความงุนงง เหมือนไม่เข้าใจความหมายของสิ่งที่กู้ชิวเหลิ่งพูด
กู้ชิวเหลิ่งเงยหน้าขึ้นด้วยรอยยิ้มที่เย็นชา: "เจ้านึกว่าเซียวอวิ๋นเซิงกำลังช่วยข้าจริงรึ?"
"ไม่ใช่หรือเจ้าค่ะ?"
กู้ชิวเหลิ่งนอนลงบนเตียง หลับตาแล้วไตร่ตรอง
จูเอ๋อร์นึกว่ากู้ชิวเหลิ่งจะพักผ่อน จึงออกไปจากห้อง
การกระทำของเซียวอวิ๋นเซิงในวันนี้หนึ่งเป็นเพราะเห็นแก่หน้าของชายคนหน้า และสองเป็นเพราะข้อตกลงที่นางกับเขาได้ตกลงกันเอาไว้ แต่ครานี้เขาช่วยมากเกินไป กลับดึงดูดความสนใจของฮูหยินใหญ่มา
เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ กู้ชิวเหลิ่งหรี่ตาลง เซียวอวิ๋นเซิงเป็นคนฉลาดที่หายาก ในความเป็นจริงพูดพอสมควรก็ได้แล้ว แต่เขากลับช่วยนางไปมากเกิน หลังเรื่องนี้จบสิ้นลง จู่ๆหญิงใบ้ที่ไม่มีชื่อเสียงนั้นกลับได้รับความโปรดปรานรักใคร่ ซึ่งจะนำพาความหึงหวงมาอย่างแน่นอน ชีวิตต้องลำบากไปกว่านี้แน่ เซียวอวิ๋นเซิงจะไม่รู้ได้อย่างไร?
เพียงแค่อยากดูว่านางจะสามารถก่อเรื่องขึ้นมาได้ใหญ่เพียงใดเท่านั้น