บทที่ 10 แรกพบท่านอ๋อง
สมองของอิงเอ๋อร์ว่างเปล่า และเมื่อได้ยินคำสั่งของกู้ชิวเหลิ่ง นางก็รีบยกน้ำมาให้
กู้ชิวเหลิ่งพูดว่า "จูเอ๋อร์ไปเทน้ำชาให้แม่นมโจว"
ในระหว่างการสนทนา กู้ชิวเหลิ่งก็ได้ฉวยโอกาสยื่นขาข้างหนึ่งออกไปตอนแม่นมโจวไม่ทันสังเกต
เพียงได้ยินแต่เสียงของกะละมังตกลงพื้น และเสียงอุทานของอิงเอ๋อร์
ในชั่วขณะหนึ่งนั้นแป้งชาดและน้ำแป้งบนโต๊ะเครื่องแป้งนั้นล้วนถูกน้ำในกะละมังกระแทกลงบนพื้น แม้แต่ปิ่นก็เปื้อนชาดไป ทำให้ใช้ไม่ได้เลย
อิงเอ๋อร์ตกตะลึงเป็นอย่างยิ่ง แม่นมโจวตบขาแล้วก้าวไปข้างหน้าตบหน้านางและพูดอย่างโกรธเคืองว่า:"เจ้าทำงานยังไงกันเนี่ย! ใครก็ได้! โยนอีนังสารเลวนี้ออกไปซะ! "
"แม่นมโปรดอภัยให้บ่าวด้วย! บ่าวไม่ได้ตั้งใจ! บ่าวแค่สะดุด......"
"แม่นมอย่าโกรธไปเลย ก็แค่อีนังหนูคนหนึ่ง ข้าหวีเองก็ได้ โชคดีที่เสื้อยังไม่สกปรก ข้าจะไปเปลี่ยนเดี๋ยวนี้เลย อย่าให้ท่านอ๋องรองกับท่านพ่อรอนาน"
กู้ชิวเหลิ่งส่งสายตาให้จูเอ๋อร์ จูเอ๋อร์ก็ทำท่าทางเชิญและพูดอย่างเคารพว่า: "แม่นมออกไปรอข้างนอกก่อนเลย เรื่องเล็กๆอย่างเปลี่ยนเสื้อผ้านี้ให้บ่าวมาทำก็ได้แล้ว"
กู้ชิวเหลิ่งเหลือบมองอิงเอ๋อร์ที่คุกเข่าอยู่บนพื้นและพูดว่า:"อืม......งั้นเจ้ามาช่วยข้าหวีผมเถอะ"
"ไม่......"
อิงเอ๋อร์ถอยหลังด้วยความกลัว แต่แม่นมโจวกลับขัดคำพูดของอิงเอ๋อร์ โดยพูดว่า:"คุณหนูรองสั่งให้เจ้าทำอะไรก็ทำตาม นี่คือโอกาสที่เจ้าจะเอาความดีความชอบหักล้างความผิด อย่าไม่รู้ผิดชอบชั่วดี!"
อิงเอ๋อร์มองดูกู้ชิวเหลิ่งด้วยความขมขื่น จากความวุ่นวายในเมื่อกี้นี้นางรู้สึกได้แล้วว่ากู้ชิวเหลิ่งเป็นคนเอาเท้าสะดุดนาง และสีหน้าที่เย็นชาของกู้ชิวเหลิ่งในเมื่อครู่นั้น ก็ยิ่งทำให้นางสั่นไปทั้งตัว
หลังจากแน่ใจว่าแม่นมโจวออกไปแล้ว กู้ชิวเหลิ่งจึงค่อยยิ้มและพูดว่า:" เจ้ายังคุกเข่าอยู่ทำไม?ลุกขึ้นมาหวีผมให้ข้า"
อิงเอ๋อร์เงยหน้าขึ้น เห็นเพียงแต่รอยยิ้มของกู้ชิวเหลิ่ง แต่ในสายตานั้นกลับเย็นชายิ่งนัก ซึ่งทำให้คนอดไม่ตัวสั่นไม่ได้
หลังจากนั้นไปครู่หนึ่ง กู้ชิวเหลิ่งจึงค่อยเปิดประตู บนใบหน้านั้นเอาผ้าพันคอสีน้ำเงินปกคลุมเอาไว้ มองเห็นความคับข้องใจและความอับอายจากสายตานาง
แม่นมโจวเหลือบมองอิงเอ๋อร์ที่ก้มหัวอยู่ในห้อง นึกว่าแผนการสำเร็จแล้ว จึงถามว่า:"เหตุใดคุณหนูรองถึงปิดหน้าเอาไว้?เป็นเพราะสาวรับใช้แต่งหน้าได้ไม่สวยหรือเจ้าค่ะ? "
"ไม่..ไม่ใช่ เพียงเพราะว่าข้ายังไม่ออกเรือน แถมยังได้ทำการหมั่นหมายกับท่านอ๋องหกแล้วด้วย ไม่สะดวกที่จะเจอท่านอ๋องรองสักเท่าไหร่ ดังนั้น......"
แม่นมโจวมีแผนการในใจแล้ว กู้ชิวเหลิ่งเป็นเพียงตัวขับกู้ชิวเซียงให้ดูเด่นเท่านั้น สวมชุดสีฟ้าที่อวี่เหวินเจี๋ยเกลียดที่สุด ทำทรงผมที่ธรรมดาที่สุด แถมหน้ายังไม่รู้ว่าถูกแต่งเป็นสภาพไหนแล้วด้วย รูปร่างของกู้ชิวเหลิ่งก็ยังไม่เติบโตดีพอ ผู้ชายไม่ชอบแน่
เมื่อมองดูความได้ใจของแม่นมโจว สีหน้าของกู้ชิวเหลิ่งก็เย็นลง ความละเอียดอ่อนและการเสแสร้งแกล้งทำนางเทียบกับมู่หรงอี๋ไม่ได้ แต่หากเป็นเรื่องการแสร้งเป็นหมูหลอกกินเสือนั้น นางคิดว่ายังไม่มีใครสามารถดูข้อบกพร่องของนางออกได้
อวี่เหวินเจี๋ยเพิ่งลงจากม้า และเดินตามกู้หนานเฉิงเข้าไปในห้องโถง กู้ชิวเซียงสวมชุดที่ค่อนข้างหรูหรางดงาม ชุดลายเสาเย่าที่เรียบร้อย เพราะความคล้ายคลึงกันของเสาเย่าและโบตั๋น ผู้หญิงในเมืองหลวงจึงชอบนำดอกเสาเย่ามาทำชุด ผู้หญิงหลายคนที่หลงรักอวี่เหวินเจี๋ยต่างก็รู้ว่าอวี่เหวินเจี๋ยชอบโบตั๋นและเสาเย่า ดังนั้นผู้หญิงหลายคนจึงทำเครื่องประดับที่เกี่ยวข้องกับเสาเย่าด้วย
เดิมทีกู้ชิวเซียงก็เป็นหญิงงามอันดับหนึ่งในเมืองหลวงอยู่แล้ว รูปร่างและหุ่นของนางก็โตพอสมควรแล้ว พอสวมชุดนี้ ควบคู่ไปกับโฉมหน้าที่งดงามยิ่งนี้ ขอแค่เป็นผู้ชายดูแล้วก็ต้องใจละลายแน่เลย
กู้ชิวเซียงเดินตามหลังฮูหยินใหญ่อย่างเรียบร้อย ยืนตัวตรงและพูดว่า: "เซียงเอ๋อร์น้อมทักทายท่านอ๋องรอง ท่านพ่อ"
อวี่เหวินเจี๋ยสวมเสื้อคลุมสีดำ ข้างในเป็นเสื้อคลุมสีน้ำเงิน ปักรูปงูหลามสีทองเอาไว้ ดวงตาคู่ที่เย็นชาและหยิ่งผยอง ระหว่างคิ้วนั้นมีความองอาจผึ่งผายเล็กน้อย ตั้งแต่ที่เข้ามา ก็มองซ้ายมองขวา เหมือนกำลังหาใครอยู่
เมื่อเห็นว่าอวี่เหวินเจี๋ยไม่มีเจตนาที่จะพูด กู้หนานเฉิงจึงพูดว่า:"เซียงเอ๋อร์ ยังไม่รีบเชิญท่านอ๋องรองเข้ามานั่งในห้องอีก?"
กู้ชิวเซียงพูดอย่างใจเย็นว่า: "เป็นเซียงเอ๋อร์คิดไม่รอบคอบเอง ท่านอ๋องรองและท่านพ่อเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทาง เชิญไปดื่มชาที่ห้องโถง"
กู้หนานเฉิงจึงค่อยพยักหน้าอย่างพอใจ ส่วนดวงตาทั้งคู่ของอวี่เหวินเจี๋ยก็จ้องมองตรงไปข้างหน้าอย่างเดียว
ฮูหยินใหญ่รู้ตัวเป็นคนแรก เมื่อนางมองย้อนกลับไปก็เห็นกู้ชิวเหลิ่งยืนอยู่ตรงนั้นเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ สวมชุดสีฟ้า สวมผ้าคลุมหน้าเอาไว้ ก้มหน้าลง นิ่งเฉยเหมือนดั่งหินแกะสลัก
กู้หนานเฉิงมองดูกู้ชิวเหลิ่งที่ยืนอยู่ไม่ไกลด้วยความงุนงง นึกไม่ออกว่าเป็นใคร และเมื่อตั้งสติมองดูรูปร่างของนาง จึงค่อยรู้สึกเหมือนลูกสาวคนที่สองของตัวเอง
สายตาของอวี่เหวินเจี๋ยเอาแต่จ้องมองกู้ชิวเหลิ่ง ในใจของกู้ชิวเซียงก็รู้สึกหึงหวงมานานแล้ว แต่เนื่องจากอวี่เหวินเจี๋ยอยู่ที่นี่ นางจึงต้องยับยั้งอารมณ์เอาไว้แล้วพูดว่า:"น้องรอง ทำไมเจ้าถึงยืนอยู่ที่นั่นไม่เข้ามาล่ะ?ยังไม่มาคำนับท่านอ๋องอีก! "
กู้ชิวเหลิ่งยังไม่ทันได้ก้าวขาออกไป อวี่เหวินเจี๋ยก็ได้ละสายตาออก สีหน้ากลับมาเป็นปกติ: "ไม่ต้องแล้ว ทุกคนในเมืองหลวงต่างก็รู้ว่าคุณหนูรองเป็นโรคพูดติดอ่าง เข้ามาดื่มชาเถอะ"
ทัศนคติของอวี่เหวินเจี๋ยเปลี่ยนเร็วเกินไป หลังพูดประโยคนี้ออกมา เขาก็เดินผ่านกู้ชิวเหลิ่งโดยตรง ไม่ว่าแต่คำหนึ่งเลย แม้แต่สายตายังไม่มองเลย ราวกับว่าไม่เห็นกู้ชิวเหลิ่งอยู่ในสายตา เหมือนดั่งคนแปลกหน้า
กู้ชิวเซียงยังคงเกิดความพะวงในใจอยู่ตลอดเวลากับเรื่องที่อวี่เหวินเจี๋ยยั้งสติไม่อยู่กิริยาที่ต่อกู้ชิวเหลิ่ง แต่ตอนนี้เห็นอวี่เหวินเจี๋ยไม่สนใจกู้ชิวเหลิ่งเลย นางก็รู้สึกว่าตัวเองคิดมากเกินไปแล้ว
กู้ชิวเหลิ่งนั่งอยู่ในมุมหนึ่งอย่างไม่สนคนอื่น อวี่เหวินเจี๋ยดื่มชาอย่างเฉยเมย และไม่พูดอะไรสักคำเลย
นอกห้องโถงมีผู้หญิงคนหนึ่งที่สวมชุดสีน้ำเงินกำลังเดินเข้า อายุประมาณสิบสามปี ซึ่งเดิมทีหน้าตาควรดูน่ารักอ่อนหวาน แต่กลับทาแป้งชาดเต็มหน้าของตัวเอง ซึ่งทำให้ดูเชยยิ่งนัก แต่รอยยิ้มนั้นกลับมีความหยิ่งยโสเล็กน้อย
กู้หนานเฉิงขมวดคิ้ว พูดด้วยสีหน้าที่ไม่พอใจว่า: "เยว่เอ๋อร์ อย่าเสียมารยาท รีบคำนับท่านอ๋องรอง!"
กู้ชิวเยว่เป็นลูกสาวของกู้หนานเฉิงกับอี๋เหนียงรอง หยิ่งยโสและตามใจจนเคยชินแล้ว แต่ตอนนี้กลับคำนับอวี่เหวินเจี๋ยอย่างเชื่อฟัง มองตาปริบๆและเดินไปอยู่ด้านข้างของกู้ชิวเซียง ทำหน้าอิจฉา: "ชุดของพี่ใหญ่งามยิ่งนัก ที่ปักไว้บนเสื้อเป็นโบตั๋นรึ เป็นเสาเย่าสินะ! เยว่เอ๋อร์ยังไม่เคยเห็นชุดที่สวยงามเช่นนี้มาก่อนเลย! ชุดนี้ก็มีเพียงพี่ใหญ่เท่านั้นที่สวมแล้วสวย! "
กู้ชิวเซียงถูกกู้ชิวเยว่ชมจนบนใบหน้านั้นมีแต่รอยยิ้ม สายตาเหลือบมองอวี่เหวินเจี๋ยโดยไม่รู้ตัว แก้มแดงเล็กน้อย: "หากเจ้าชอบ วันหลังข้าส่งให้เจ้าชุดหนึ่ง"
กู้ชิวเยว่อึ้งทำตาโตอย่างไม่น่าเชื่อ: "จริงรึ? พี่ใหญ่ดีที่สุดแล้ว! "
กู้ชิวเยว่หรี่ตาลง น้ำเสียงก็เปลี่ยนไปทันที เดินไปที่ด้านข้างของกู้ชิวเหลิ่ง ทำเสียงเอ๊ะแล้วถามว่า:"เหตุใดวันนี้พี่รองถึงสวมผ้าคลุมหน้าไว้?ให้ข้าดูหน่อยสิว่าแต่งหน้าประณีตอะ......"
ยังพูดไม่จบ รอยยิ้มที่ได้ใจบนใบหน้าของกู้ชิวเยว่ก็แข็งทื่อในทันทีที่เปิดผ้าคลุมหน้า