บทที่ 1
ค.ศ.1818
สาวน้อยเฮอเมียฮัมเพลงอยู่ในลำคออย่างมีความสุขขณะเดินออกจากบ้านไร่ โดยมีตระกร้าใส่ไข่ไก่คล้องอยู่กับแขน ไม่เพียงเท่านั้น เธอยังสร้างจินตนาการแต่งเรื่องราวต่างๆ ขึ้นเพื่อเติมสีสันให้กับชีวิตของตัวเองอีกด้วย
เนื่องจากเธอต้องใช้ชีวิตอยู่เพียงลำพังเสียเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้น เธอจึงชอบสมมุติว่าตัวเองเป็นภรรยาผู้มีอำนาจราชศักดิ์ของขุนนางผู้ยิ่งใหญ่สักคนหนึ่ง บางครั้งก็เปลี่ยนเป็นลูกสาวนักแสวงโชคที่กำลังค้นหาขุมทรัพย์ที่ชนเผ่าแอสเทคส์ซ่อนเร้นไว้ หรือไม่ก็อาจจะเป็นหญิงสาวชาวประมงที่งมหาไข่มุกในท้องทะเลกว้าง เป็นต้น
แต่พอเธอเดินมาเกือบจะถึงปลายถนนสายแคบๆ อันเป็นทางเข้าสู่ไร่ชื่อ “ฮันนีซัคเคิล ฟาร์ม” ซึ่งตรงจุดนั้นเป็นจุดบรรจบกับถนนสายใหญ่เข้าสู่หมู่บ้านเธอก็ได้ยินเสียงผู้ชายร้องออกมาอย่างโกรธจัด
“แดมน์..!”
เฮอเมียถึงกับสะดุ้ง เพราะแทบจะไม่เคยได้ยินคำสบถแบบนี้มาก่อนเลย ผู้คนในเมืองชนบทแห่งนี้ล้วนแล้วแต่เกรงกลัวในพระเจ้า จะพูดจากันด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนแผ่วเบาเสมอ
ด้วยความสงสัย ทำให้สาวน้อยเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นและแล้วเธอก็ได้เห็นม้าตัวหนึ่งที่สง่างามมาก บอกให้รู้ว่าเป็นม้าพันธ์ดีเยี่ยม
เธอชื่นชมในรูปลักษณ์ของม้าตัวนี้อย่างมาก พร้อมกันก็ได้เห็นคนขี่ที่ก้มตัวอยู่ และกำลังยกขาหลังของมันขึ้นมาดู
ซึ่งเธอรู้ได้ทันทีว่าเขากำลังดูกีบเท้าม้า ทั้งยังเดาได้ด้วยว่าเกือกข้างนั้นของมันจะต้องหลุดออก
ซึ่งมันเป็นอะไรบางอย่างที่มักจะเกิดขึ้นในแถบถิ่นนี้เพราะเส้นทางหรือถนนทุกสายล้วนขรุขระ และเฮอเมียเชื่อว่าช่างทำเกือกม้าตามหมู่บ้านต่างๆ ซึ่งมักจะมีอาชีพเป็นช่างตีเหล็กไปพร้อมกันนั้น มีความชำนาญในงานนี้น้อยกว่าบรรพบุรุษของเขามาก
ขณะที่มองอยู่นั้น เธอก็คิดขึ้นมาได้ว่า เธอไม่เคยเห็นทั้งม้าตัวนี้และผู้ที่กำลังหันหลังให้อยู่แต่จะอย่างไรก็ตาม เธอก็ยังเดินเข้าไปหาเขา พร้อมกับถามเบาๆ ตามแบบของเธอว่า
“ฉันจะช่วยอะไรคุณได้บ้างคะ”
บุรุษผู้กำลังก้มหน้าพิจารณาเกือกม้าข้างนั้นอยู่ไม่ได้หันมามองเธอเลย เมื่อตอบเสียงขุ่นออกมาว่า
“คุณจะช่วยอะไรผมได้ก็ต่อเมื่อหาอะไรสักอย่างมาช่วยงัดไอ้เกือกบ้านี่ออกจากกีบเท้าม้ามันได้เท่านั้นละ..!”
แม้เขาจะพูดด้วยน้ำเสียงที่บอกถึงความขุ่นเคือง แต่จากหางเสียงที่ค่อนข้างทุ้มและทอดยาวกว่าปรกติ เป็นแบบเดียวกันกับที่พี่ชายเคยบอกกับเฮอเมีย ว่าเป็นวิธีการพูดของพวกเศรษฐีในกรุงลอนดอนที่ได้รับอิทธิพลมาจากพวกขุนนางทั้งหลาย ซึ่งเฮอเมียเคยเห็นแขกผู้ทรงเกียรติเหล่านั้นมาแล้วเพราะเคยมาพำนักที่ เดอะ ฮอลล์ คฤหาสน์ท่านลุงของเธอผู้มีบรรดาศักดิ์เป็นเอิร์ล แห่ง มิลล์บรู๊ค
เธอเดาเอาว่าบุรุษผู้นี้ก็น่าจะเดินทางมาจากที่นั่นด้วย..
เมื่อชะโงกหน้าเข้าไปดูใกล้ๆ เธอจึงได้เห็นว่า สิ่งที่สร้างความขัดเคืองให้แก่บุรุษผู้นี้ก็คือ เกือกม้าที่หลุดออกแต่ยังมีตะปูตัวหนึ่งตรึงติดอยู่ ซึ่งเขาไม่สามารถดึงตะปูตัวนั้นออกได้
มันเป็นอุบัติเหตุที่มักจะเกิดขึ้นกับม้าของปีเตอร์ พี่ชายของเธอ เวลาที่เขากลับมาอยู่บ้านใช้ม้าเป็นพาหนะ
เฮอเมียไม่ได้พูดอะไรอีก เธอปลดตะกร้าที่คล้องแขนอยู่ลงและมองหาอะไรบางอย่างบนพื้นถนน เพียงครู่ก็พบกับสิ่งที่ต้องการ เธอเดินไปหยิบหินแบนๆ ก้อนหนึ่งขึ้นมา แล้วจึงเดินเข้าไปหาเจ้าของม้าที่กำลังใช้ความพยายามจะดึงเกือกม้าออกอยู่
“ให้ฉันลองหน่อยดีกว่า”
เขาไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมองเธอ เพียงแต่ช่วยจับขาม้าเอาไว้ให้ เธอทรุดตัวลง สอดแผ่นหินเข้าไปใต้เกือกม้าและออกแรงดันเพียงไม่นานมันก็หลุดออกจากกีบเท้าม้า
ที่จริงการทำเช่นนั้นออกจะใช้แรงมากอยู่ แต่เนื่องจากเธอทำตามวิธีการอย่างถูกต้อง และรู้จักขยับข้อมืออย่างคล่องแคล่ว จึงสามารถทำได้โดยง่าย เกือกม้าตกลงกระทบพื้นถนนโดยตะปูตัวที่ตรึงอยู่ติดออกมาด้วย
บุรุษผู้เป็นเจ้าของม้าจึงได้ปล่อยขามันลง ยืดร่างขึ้นพร้อมกับกล่าวว่า
“ผมเห็นจะต้องขอขอบใจคุณอย่างมากเลยนะ แต่สงสัยว่าคุณต้องช่วยผมอีกสักนิด คือช่วยบอกหน่อยเถอะว่าจะพบช่างตอกเกือกม้าได้ที่ไหน” ขณะพูด เขาก็หยิบเกือกม้าที่หลุดออกขึ้นมาถือไว้
และเป็นครั้งแรกที่เขามองหน้าสาวน้อยผู้มีความสามารถพอที่จะเข้ามาช่วยแก้ปัญหาให้เขาได้..
ตอนที่เฮอเมียก้มหน้าก้มตาใช้หินงัดเกือกออกจากกีบเท้าม้านั้น เธอได้ปัดหมวกบอนเน็ตกันแดดไปไว้ข้างหลังโดยไม่รู้ตัว พวงผมที่หยิกหยักศกเป็นลอนสลวยตามธรรมชาติจึงยุ่งเหยิง แต่กลับดูสวยไปอีกแบบหนึ่ง แสงแดดที่ส่องต้องเรือนผมเปลี่ยนสีสันให้กลายเป็นสีทองสุกปลั่ง
มันเป็นสีทองเรืองจรัสเฉกเช่นสีดอกแดฟโฟดิลในฤดูใบไม้ผลิ สีของดอกมะลิยามแรกผลิภายหลังจากที่ผ่านความหนาวเยือกเย็นของอากาศในช่วงฤดูหนาวมาแล้ว และสีแห่งใยข้าวโพดในไร่ขณะเริ่มแก่จัด
ใครก็ตามที่ได้เห็นสีสันแห่งเรือนผมของเฮอเมีย แทบไม่อยากเชื่อว่ามันเป็นสีธรรมชาติ น่าจะเกิดจากการปรุงสีมาย้อมให้สวยมากกว่า
นอกจากนั้นความสวยของสีผมยังช่วยเน้นผิวพรรณขาวผ่องอมชมพูระเรื่อกับสีฟ้าสวยแห่งดวงตาคู่งามของเธอซึ่งน่าแปลกนักที่เป็นสีฟ้าใสเช่นสีดอกไม้ที่ขึ้นอยู่บนเทือกเขาสูง แทนที่จะเป็นสีฟ้ากระจ่างเช่นสีของท้องฟ้าหน้าร้อนแห่งอังกฤษ
แม้สีหน้าและแววตาของเขาดูจะไว้ตัวแบบผู้ดีทั้งหลายกระนั้น แววตาตื่นตะลึงก็ยังปรากฏอยู่ในดวงตาอย่างไม่ต้องสงสัยเลย..
ขณะที่เขาแสดงความแปลกใจในตัวเธอ เฮอเมียก็แปลกใจในตัวเขาเช่นกัน..
เพราะเกิดมาในชีวิต เธอยังไม่เคยเห็นผู้ชายคนไหนที่วางท่ายโสโอหังเช่นผู้ชายคนนี้..
เขามีเรือนผมสีเข้ม ใบหน้าสี่เหลี่ยม หัวคิ้วแทบจรดกันตรงสันจมูก นอกจากนั้นแววตาของเขาเต็มไปด้วยความเบื่อหน่าย ราวกับเขาชิงชังทุกสิ่งและทุกคนเช่นนั้น..
ต่างฝ่ายต่างยืนมองหน้ากันอยู่อย่างนั้น จนในที่สุดเขาก็เป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงไร้อารมณ์ว่า
“คุณเป็นคนทำให้ผมเชื่อแล้วละว่า เรื่องราวที่เขาแต่งเป็นนิยาย บรรยายความงามของสาวชาวไร่ที่มีอาชีพรีดนมวัวนั่นน่ะ แท้ที่จริงแล้วมันไม่ใช่เรื่องเกินความจริงแต่อย่างใดเลย” มุมปากเขาบิดขึ้นนิดหนึ่ง ซึ่งไม่อาจเรียกว่าเป็นรอยยิ้มได้..ขณะเดียวกันเขาเสริมต่อไปอีกว่า
“แถมคุณยังเป็นผู้หญิงที่มีสติปัญญาเฉลียวฉลาดอีกด้วย..!” ขณะพูด เขาก็หยิบอะไรบางอย่างออกมาจากกระเป๋าเสื้อกั๊ก เอายัดใส่ให้ในมือของเฮอเมียบอกกับเธอว่า
“เอ้า..เอาเงินนี่เก็บไว้ก้นลิ้นชัก จะได้เอาไว้ใช้เวลาที่พบพ่อหนุ่มชาวไร่ที่จะมาทำให้ชีวิตคุณมีความสุขในวันข้างหน้า”
ขณะที่เฮอเมียก้มมลงเพื่อจะดูว่าเขาให้อะไรเธอกันแน่เขาก็สืบเท้าเข้ามาใกล้ ปลายนิ้วเชยคางเธอขึ้นและก่อนที่เฮอเมียจะทันตระหนกว่ามันเกิดอะไรขึ้น ก่อนที่เธอจะทันมีเวลาใช้ความคิดเสียด้วยซ้ำ เขาก็ประทับริมฝีปากลงบนเรียวปากเธอเสียแล้ว..!
ในยามนั้นเธอมีความรู้สึกเหมือนได้ตกเป็นจำเลยของเขาไปแล้ว ไม่กล้าแม้แต่จะขยับตัวหรือสูดลมหายใจ..
ลึกลงไปในใจ อนุสติเตือนอยู่ว่าเธอควรจะดิ้นรนออกมาให้ห่างเสีย ขณะเดียวกันก็ควรจะตวาดใส่หน้าเขาด้วย ว่าที่เขากำลังทำอยู่นี่มันเป็นการหยามหมิ่นกันชัดๆ แต่เขาก็ปล่อยมือจากเธอเสียก่อนและด้วยท่วงท่าของนักกรีฑาเขาเหวี่ยงตัวขึ้นนั่งบนอานแล้ว..
และขณะที่เธอยังจ้องมองหน้าเขาด้วยอาการตกตะลึงอยู่นั้นเอง เขาก็ยังพูดต่ออีกว่า
“ที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้นก็คือ พ่อหนุ่มชาวไร่คนนั้นจะต้องเป็นคนโชคดีมากด้วย..อย่าลืมบอกเขาล่ะว่าผมพูดไว้อย่างนี้”
เมื่อพูดจบเขาก็ขี่ม้าจากไป เฮอเมียได้แต่มองกลุ่มฝุ่นที่ฟุ้งกระจายขึ้นด้วยฝีเท้าม้า เชื่อมั่นว่าตัวเองจะต้องฝันไปเป็นแน่..
จนเมื่อบุรุษแปลกหน้าผู้นั้นลับหายไปจากสายตาแล้วเธอจึงได้ถามตัวเองว่าทำไมจึงโง่นัก ที่ได้แต่ยืนตกตะลึงเหมือนคนปัญญาอ่อนขณะที่เขาจูบเธอแบบนั้น..?
เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เธอถูกจูบ..
เธอลดสายตามองสิ่งที่ยังคงถืออยู่ในมือ มันเป็นเหรียญทองกินี อีกครั้งหนึ่งที่เธอไม่อยากเชื่อเลยว่ามันจะเป็นของจริง..!
ปรกติ เฮอเมียชอบที่จะเดินไปทั่วเมืองชนบทแห่งนี้เพื่อนบ้านทุกคนล้วนแต่รู้จักเธอทั้งสิ้น
ดังนั้น เธอจึงไม่เคยเกิดความคิดที่ว่า คนแปลกหน้าอาจจะมองเห็นว่าเป็นเรื่องแปลกและอาจเข้าใจผิดได้เพราะเธอชอบแต่งตัวแบบสาวรีดนมนั่นเอง ทั้งกระโปรงชุดผ้าฝ้ายที่เธอชอบสวมใส่อยู่ก็ออกจะเก่าไปสักหน่อยเพราะผ่านการซักมานับไม่ถ้วน หมวกบอนเน็ตกันแดดก็สีซีดจางเพราะเธอสวมหมวกใบนี้มาตั้งแต่เล็ก
แต่ถึงกระนั้น เธอก็ไม่ได้มีอะไรแม้แต่น้อยที่จะทำให้ดูเหมือนมอลลี่ ลูกสาวเจ้าของไร่ที่ต้องช่วยพ่อรีดนมวัวทุกวันเลย..
ทั้งเธอก็ไม่ได้มีอะไรละม้ายคล้ายคลึงพวกผู้หญิงวัยกลางคนที่ทำงานอยู่ในไร่ ฮันนีซัคเคิลฟาร์ม บางคนทำงานในไร่แห่งนี้มากกว่ายี่สิบปีแล้วด้วยซ้ำ..
“ฉันน่ะเรอะคือสาวรีดนม..?” เธอพูดอยู่กับตัวเองอดคิดเลยไปไม่ได้ว่า ถ้าพ่อรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นท่านจะโกรธสักเพียงไร..
มันช่วยไม่ได้ที่เธอจะต้องคิดว่า ทั้งหมดนี้เป็นความผิดของเธอเอง..