ลูกใคร??
ปิ่นปัก...
สองปีต่อมา....
หลังจากที่ฉันย้ายออกมาจากคอนโดของพี่ทิศเหนือนับดาวฉันก็พาน้องปันปันมาอยู่ที่จังหวัดเล็กๆจังหวัดนึงซึ่งก็ยังอยู่ทางภาคเหนือเหมือนเดิม สาเหตุที่ฉันย้ายจากจังหวัดเชียงใหม่มาอยู่ที่นี่เพราะฉันอยากเริ่มต้นใหม่อยากมีชีวิตใหม่สองคนแม่ลูก ตอนนั้นเงินติดตัวของฉันยังพอมีอยู่บ้างฉันก็เลยหาเช่าบ้านอยู่ ตอนแรกฉันคิดว่าจะเช่าหอพักห้องเล็กๆอยู่แต่พอคิดถึงลูกที่ต้องอยู่แต่ในห้องไม่มีพื้นที่วิ่งเล่นฉันก็อดสงสารลูกไม่ได้เพราะตอนที่อยู่คอนโดพี่ทิศเหนือห้องมันกว้างมากลูกสามารถวิ่งเล่นได้สบายเพราะแบบนี้ฉันก็เลยตัดสินใจเช่าบ้านอยู่แทนเพื่อที่ลูกจะได้มีพื้นที่วิ่งเล่น โชคดีที่จังหวัดนี้ค่าครองชีพไม่สูงมาก ช่วงแรกตอนที่ลูกยังเล็กฉันไม่สามารถไปทำงานที่ไหนได้เพราะไม่มีใครดูลูกฉันก็เลยรับจ้างร้อยดอกมะลิอยู่ที่บ้านแทนซึ่งก็นั่งทำทั้งวันตั้งแต่เช้ามืดกว่าจะได้เงินสามร้อยบาทถามว่ามันพอไหมในตอนนั้นมันก็พอเพราะฉันไม่ได้มีใช้จ่ายอะไรมากน้ำไฟก็ใช้อย่างประหยัดกับข้าวก็ทำกินเองทุกมื้อจะมีก็แต่ขนมที่ลูกอยากกินกับของเล่นที่ลูกอยากได้เท่านั้นซึ่งฉันก็ไม่ได้ซื้อบ่อย
ตอนนี้น้องปันปันอายุสามขวบกว่าแล้วเทอมหน้าก็ต้องเข้าโรงเรียน ฉันคงต้องหางานทำเพื่อเป็นรายได้หลักเพราะลำพังแค่ค่าร้อยพวงมาลัยดอกมะลิคงไม่พอแน่ๆ อันที่จริงเงินที่พี่ทิศเหนือให้มาในตอนนั้นมันก็มากพอที่จะทำให้ฉันกับลูกอยู่กันได้แบบไม่ต้องลำบากแต่ฉันก็ไม่อยากเบิกออกมาใช้ ฉันคิดว่าถ้าในอนาคตได้ฉันทำงานมีเงินเก็บมากพอฉันก็จะเอาเงินจำนวนนั้นไปคืนพี่เขา
ตุ่บ ตุ่บ ตุ่บ เสียงวิ่ง
"แม่ขาาาน้องตื่นแล้วค่าาา" ลูกสาวตัวน้อยวิ่งออกมาจากห้องนอนหลังจากที่นอนกลางวันจนอิ่มแล้วซึ่งฉันก็ร้อยพวงมาลัยเสร็จพอดี
"คนเก่งของแม่ตื่นแล้วเหรอคะมาช่วยแม่นับพวงมาลัยหน่อยค่าเดี๋ยวเราจะได้เอาไปส่งให้คุณยายที่ตลาด"
"ได้ค่าาาา" รับคำเสร็จเด็กหญิงตัวน้อยก็ช่วยฉันนับพวงมาลัยลงตะกร้า
"หนึ่ง สอง สาม สี่ ห้า" ฉันนั่งมองหน้าลูกที่กำลังขะมักเขม้นนับพวงมาลัยอย่างตั้งอกตั้งใจจนฉันอดยิ้มไม่ได้ถึงแกจะอายุแค่สามขวบแต่แกก็ไม่เคยดื้อหรือซนเลยจะมีงอแงบ้างตามประสาเด็กเท่านั้น
"เก่งมากเลยค่ะขอบคุณนะคะลูก^^"
หลังจากจัดการนับพวงมาลัยเสร็จสรรพฉันก็พาลูกไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อจะไปตลาด
"แม่ขาวันนี้น้องอยากกินไอติมใส่ขนมปังแม่ซื้อให้น้องได้มั้ยค๊าาา" ไอติมใส่ขนมปังเป็นอะไรที่แกชอบมากแต่ฉันก็ไม่ได้ให้แกกินเยอะเพราะแกจะไม่กินข้าว ถึงฉันจะมีเงินไม่มากแต่ฉันก็ไม่เคยให้ลูกอดลูกอยากกินอะไรฉันก็จะซื้อให้แกกินตลอด ฉันอดได้แต่ลูกฉันต้องได้กินฉันไม่อยากให้ลูกลำบากอดมื้อกินมื้อ
"ได้ค่ะ แต่น้องห้ามกินเยอะนะคะเพราะมันหวานเดี๋ยวฟันผุเข้าใจใช่มั้ยคะ"
"เข้าใจค่าแม่^^"
ฉันเดินจูงมือลูกมาถึงตลาดใกล้บ้านเพื่อนำพวงมาลัยดอกมะลิที่ร้อยมาส่งให้คุณป้าเจ้าของร้าน พอได้เงินฉันก็พาลูกมาซื้อไอติมของโปรดของแก ในขณะที่ฉันกำลังยืนรอไอติมกับลูกอยู่นั้นจู่ๆก็มีคนเรียกชื่อฉัน
"หนูปิ่น!!!"
"คุณลุงทนาย!!!!" ฉันรู้สึกตกใจไม่น้อยที่เจอคุณลุงทนายที่นี่
"หนูปิ่นย้ายมาอยู่ที่นี่เหรอลูก"
"เอ่อ ใช่ค่ะ"
"ใครเหรอค๊าแม่" น้องปันปันถามฉันด้วยความสงสัยเพราะแกไม่คุ้นหน้าคุณลุงทนายและปกติก็ไม่ค่อยมีใครเข้ามาทักฉัน
"เด็กคนนี้คือลูกของหนูเหรอ"
"ใช่ค่ะลูกของปิ่นเอง น้องปันปันไหว้คุณตาสิคะลูก" ฉันก้มตัวลงแล้วบอกลูกสาวตัวน้อยให้ไหว้คุณลุงทนาย ซึ่งฉันหวังว่าท่านคงไม่ถามถึงพ่อของลูก
"สวัสดีค่าคุณตา" น้องปันปันไหว้คุณลุงทนายอย่างนอบน้อม
"สวัสดีครับหนูน้อย ว่าแต่ทำไมลุงถึงคุ้นหน้าแกจังเหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน" คุณลุงทนายทำท่าครุ่นคิด จะไม่ให้ท่านคุ้นหน้าได้ยังไงในเมื่อลูกสาวของฉันถอดแบบคนใจร้ายคนนั้นมาทั้งหมดไม่ว่าจะตา ปาก จมูก หรือแม้แต่คิ้วได้พ่อมาหมดจนบางครั้งฉันก็แอบน้อยใจว่าทำไมลูกถึงไม่เหมือนฉันเลยสักนิด
"ลุงนึกออกแล้วหน้าตาแกเหมือนคุณนนท์ตอนเป็นเด็กเลยหรือว่า..."
"เอ่อ ถ้าไม่มีอะไรแล้วปิ่นขอตัวพาลูกกลับบ้านก่อนนะคะนี่ก็เย็นมากแล้วสวัสดีค่ะ" ฉันรีบยกมือไหว้ลาคุณลุงทนายแล้วอุ้มลูกเดินออกจากก่อนที่ท่านจะถามอะไรฉันมากไปกว่านี้
"แม่ขาน้องยังไม่ได้ไอติมเลยค่า"
"เดี๋ยวเราค่อยมาซื้อวันหลังนะคะ"
"ก็ได้ค่า แม่ขาน้องหิวข้าวแล้วค่า"
"ได้ค่ะเดี๋ยวเรารีบกลับบ้านไปทำกับข้าวกันนะคะ" ฉันพูดไปเดินไปตอนนี้ฉันอยากให้ตัวเองถึงบ้านโดยเร็วที่สุด ระหว่างที่เดินออกมาจากตลาดฉันก็คอยหันไปมองข้างหลังอยู่ตลอดเวลาด้วยความหวาดระแวงฉันกลัวคุณลุงทนายจะตามมาและถามหาความจริงเกี่ยวกับลูกของฉัน
พอมาถึงบ้านฉันก็รีบปิดประตูรั้วทันทีแล้วอุ้มลูกเข้าบ้าน ฉันภาวนาว่าจะไม่มีใครรู้ว่าฉันอยู่ที่นี่ ถามว่าทำไมฉันถึงกลัว เพราะหลายคืนก่อนฉันฝันร้ายฉันฝันว่าเขาคนนั้นมาเอาลูกของฉันไปแม้ว่าฉันจะขอร้องอ้อนวอนให้เขาคืนลูกมาให้ฉันแต่เขาก็ไม่ยอมคืนซ้ำร้ายเขายังพาลูกฉันไปอยู่ต่างประเทศอีก ในฝันฉันร้องไห้แทบขาดใจพอตื่นขึ้นมาแล้วเห็นว่าลูกยังนอนอยู่ข้างๆฉันก็รู้สึกโล่งใจที่มันเป็นเพียงแค่ความฝันเท่านั้น
หนึ่งเดือนต่อมา....
ฉันไม่คิดว่าตัวเองจะได้งานเร็วขนาดนี้หลังจากที่ฉันกรอกใบสมัครงานไปไม่นานซึ่งงานที่ได้เป็นพนักงานร้านสะดวกซื้อซึ่งเงินเดือนก็เยอะพอสมควรถ้าเทียบกับวุฒิมอหกที่ฉันมี ตอนแรกทางร้านแจ้งฉันว่าจะเริ่มงานได้ในอีกสองเดือนข้างหน้าแต่ไปๆมาๆทางร้านต้องการให้ฉันไปเริ่มงานได้เลยเพราะพนักงานที่เคยทำได้ลาออกกะทันหันฉันก็เลยไม่อยากเสียโอกาสนั้นไป แต่มันติดปัญหาตรงที่โรงเรียนของลูกจะเปิดเทอมเดือนหน้าฉันก็เลยจำเป็นต้องพาลูกไปฝากเลี้ยงกับสถานรับเลี้ยงเด็กก่อนวัยเรียนใกล้บ้านซึ่งคนในละแวกนั้นก็เอาลูกไปฝากเลี้ยงกันเยอะ
"ฝากลูกสาวด้วยนะคะคุณครู" ฉันบอกกับคุณครูเจ้าของสถานรับเลี้ยงเด็กซึ่งก่อนที่ฉันจะพาลูกมาให้แกเลี้ยงฉันก็พาลูกมาเล่นกับเด็กๆที่นี่ซึ่งลูกสาวของฉันก็เข้ากับคนอื่นๆได้ดี
"แม่ไปทำงานก่อนนะคะตอนเย็นแม่มารับนะคะ" ฉันบอกกับลูกสาวตัวน้อยที่ยืนตาแดงราวกับจะร้องไห้
"ฮึก ฮึก ฮึก" ลูกสะอื้นไห้ก่อนจะโผเข้ากอดฉันแน่นฉันอดสงสารลูกไม่ได้เพราะตั้งแต่เกิดมาเราไม่เคยห่างกันเลยแม้แต่วันเดียว
"ไม่ร้องนะคะคนเก่ง ตอนเย็นแม่จะรีบมารับแม่จะพาไปกินไอติมขนมปังนะคะ^^"
"ฮึก ฮึก ค่าา ฮึก ฮึก แม่รีบมารับน้องเร็วๆนะค๊าา"
"ค่ะ แม่สัญญา^^" จากนั้นแกก็เดินตามคุณครูเข้าไปในห้องเรียน ฉันยืนมองลูกจนลับตาก่อนจะเดินไปทำงาน
ชานนท์....
"คุณนนท์พอมีเวลาว่างคุยกับลุงสักครู่ไหมครับ"
"ครับ"
"คือเมื่อเดือนก่อนผมเจอหนูปิ่นกับเด็กผู้หญิงคนนึงอายุน่าจะประมาณสามขวบได้หน้าตาแกเหมือน..เอ่อ เหมือน"
"เหมือนผม??"
"เอ่อ ครับเหมือนมากจริงๆ"
"แล้วไงครับ"
"ลุงแค่อยากจะถามว่าเด็กน้อยคนนั้นเป็นลูกคุณนนท์ใช่หรือเปล่า เพราะถ้าใช่ผมอยากให้คุณนนท์มาดูแกหน่อยถือว่าผมขอร้อง"
"ทำไมผมต้องไปดู"
"ถ้าคุณนนท์มาเห็นแกคุณนนท์จะเข้าใจครับ ตอนนี้ลุงพูดอะไรคุณนนท์ก็คงไม่เชื่อ"
"หมายความว่าไง"
"ถ้าคุณนนท์ยังพอมีความเมตตาสงสารเด็กคนนี้อยู่บ้างผมก็อยากให้คุณนนท์มาดูด้วยตาของคุณนนท์เอง"