ตอนที่ 2 อย่าพูดแบบนี้ หนูกลัว
เมื่อกลับมาถึงบ้าน ก็ได้เวลาทานข้าวพอดี พ่อของเธอเดินมานั่งลง บนโต๊ะอาหารเต็มไปด้วยอาหารหลากหลายวางเต็มโต๊ะ
แต่เธอกลับไม่มีสิทธิ์แตะอาหารเหล่านั้นเลยแม้แต่น้อย ได้แต่มองอย่างเงียบๆสูดดมกลิ่นหอมของอาหารจนอิ่มกลิ่น ลอบกลืนน้ำลายลงคอเบาๆ
แล้วนั่งก้มหน้าทานในส่วนของตัวเองที่ถูกจัดแยกไว้ให้ เธอแอบเหล่มองแม่เลี้ยงกับพี่สาวที่กำลังทานอาหารดีๆ
ในใจรู้สึกอิจฉาและน้อยเนื้อต่ำใจ สงสารตัวเองได้ทานแต่ผักผัดที่มีรสชาติจืดชืด
( แม่ก็ไม่มี พ่อก็ไม่ใส่ใจ ชีวิตเรายังจะมีอะไรที่แย่และรันทดกว่านี้อีกมั้ย
วันๆได้กินแต่ผัก จะขอกินเนื้อก็กลัวพ่อด่า ซ้ำต้องมาทนแม่เลี้ยงบ่นอาจต้องรองรับอารมณ์ทุกคนในบ้านอีก
คุณแม่ขา หนูอยากร้องให้ หนูคิดถึงคุณแม่เหลือเกิน หากคุณแม่ยังอยู่ คุณพ่ออาจจะรักหนูและใส่ใจหนูกว่านี้ )
เธอก้มหน้าลอบพึมพำในใจ เขี่ยอาหารในจานเล่นอย่างลืมตัว พอเงยหน้าขึ้น ทุกคนบนโต๊ะอาหารก็ไปนั่งดูทีวีกันหมดแล้ว
บนโต๊ะอาหารว่างเปล่า มีเพียงเศษอาหารและเศษกระดูกกับถ้วยจาน เหลือไว้ให้เธอเก็บไปล้าง
น้ำตาแห่งความน้อยใจ น้ำตาแห่งความสงสารตัวเองและน้ำตาแห่งความท้อแท้ใจไหลพรั่งพรูออกมาตามพวงแก้มน้อยๆอย่างเงียบๆ
จากนั้นเธอก็ฝืนทานข้าวกับผัดผักกาดขาวเพื่อประทานความหิวในช่วงกลางดึก เธอทานไปทั้งน้ำตา
หลังจากทานข้าวหมดจาน เธอก็เก็บโต๊ะเก็บถ้วยจานไปล้างที่ซิงค์ล้างจาน เสร็จแล้วก็เอาผ้ามาเช็ดโต๊ะกวาดพื้นห้องอาหาร
เมื่อทำอะไรเสร็จเรียบร้อยแล้ว เธอก็เดินออกจากห้องทานข้าว กลับไปยังห้องของตัวเองอย่างเงียบๆ
เช้าวันต่อมา มื้อเช้าก่อนไปโรงเรียนของเธอก็เป็นเพียงข้าวต้มเกลือปลานิลทอด ปลานิลตัวเล็กจนหาเนื้อปลาไม่เจอ จะชอบหรือไม่ชอบก็ต้องทานเพื่อความอยู่รอด ไม่ทานก็อด
มื้อเย็นก็เป็นผัดผักบุ้งปรุงรสด้วยซอสเหมือนเดิม เศษเนื้อหมูสักนิดก็ไม่มี ด้วยความเป็นเด็กเธอทำได้แค่เงียบและฝืนทานเข้าไป
ระหว่างนั่งทานข้าวกันบนโต๊ะอาหาร แม่เลี้ยงหันมาตักผัดผักบุ้งใส่จานข้าวของเธอ แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงละมุนน่าฟังแลดูเป็นห่วงเป็นใย
" นับหนึ่ง ลูกต้องทานผักเยอะๆนะรู้มั้ย จะได้ฉลาดและแข็งแรงเหมือนพี่สาว
โดยเฉพาะผักบุ้ง ทานเยอะๆหน่อย จะได้ช่วยบำรุงสายตาให้ลูกด้วย
อาหารอย่างอื่นมันค่อนข้างย่อยยาก ลำไส้ลูกมีปัญหาบ่อย ควรทานอาหารอ่อนๆ ที่ลำไส้สามารถย่อยง่ายนะคะ เข้าใจมั้ย "
นับหนึ่งได้แต่พยักหน้าอย่างไม่มีทางเลือก
พ่อที่หลงภรรยาคนใหม่จนไม่สนใจความเป็นอยู่ของลูกสาวคนเล็ก
เอาแต่ตามใจภรรยาคนใหม่กับลูกสาวคนโตอย่างคนหูหนวกตาบอด พอได้ยินภรรยาเอ่ยเช่นนั้นแกจึงเอ่ยขึ้นอย่างเห็นด้วย
" อือ ที่แม่เขาพูดถูกแล้วนะลูก สุขภาพลูกไม่ค่อยจะดีเหมือนพี่สาว จะทานอะไรต้องระวังๆหน่อย ทานๆไปก่อนนะ ไว้ลำไส้ลูกแข็งแรง พ่อจะพาไปกินของอร่อยๆโอเคมั้ย "
นับหนึ่งเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าผู้เป็นพ่อยังเห็นเธอเป็นลูกอยู่หรือเปล่า หรือว่าเห็นเธอเป็นคนนอกแล้ว
แม้จะน้อยใจผู้เป็นพ่อมากแค่ไหนแต่เธอก็ทำได้แค่กล้ำกลืนฝืนทนตามคำสั่งเสียของแม่ เอ่ยเพียงว่า
" ค่ะ คุณพ่อ "
เธออายุแค่ 7 ขวบ แต่กลับรู้จักอาการน้ำตาตกในเป็นอย่างดี เธอฝืนเอ่ยออกมาเสียงใสอย่างยากลำบาก
ในขณะที่พี่สาวต่างแม่นั่งทานอาหารอร่อยๆอย่างมีความสุขพร้อมกับมองเธอด้วยแววตาดูถูกเหยียดหยาม
ตรงหน้าของอิงฟ้ามีทั้งขนมและของหวานให้เลือกทานมากมาย แถมยังล่อให้เธออยากอีกด้วย
" หืม ของหวานอร่อยมากเลยค่ะ คุณพ่อคุณแม่ลองทานดูซิคะ ทั้งหอม ทั้งหวานมัน อร่อยนุ่มลิ้นสุดๆเลยค่ะ "
หนูน้อยผู้อาภัพเช่นเธอได้แต่ก้มหน้าก้มตาทานข้าวต้มเกลือของตัวเองอย่างเงียบๆ
เธอแทบจะกลืนข้าวไม่ลงแล้วเพราะหัวใจเจ็บปวดร้าวจนอยากร้องให้ระบายความอัดอั้นที่มีในใจออกมาเหมือนเด็กทั่วไป แต่ก็ทำไม่ได้ ได้แต่กลั้นน้ำตาเอาไว้อย่างสงบเสงี่ยม เจียมตัว
ก่อนที่แม่เธอจะจากไปสิ่งเดียวที่เธอจำได้คือเห็นแม่แอบร้องให้ในห้องทุกวัน
ตอนนั้นแม้จะยังเด็กมาก แต่เธอก็สามารถรับรู้ได้ ว่าแม่ของเธอไม่มีความสุขเลย
ในตอนนั้นเธออายุแค่ 5 ขวบ จึงไม่สามารถรู้และเข้าใจเรื่องของผู้ใหญ่นัก
รู้แค่ว่า คนจะร้องให้ก็ต่อเมื่อเสียใจและรู้สึกเจ็บ เธอในวัยห้าขวบ ไม่รู้ว่าแม่ร้องให้ทำไม
แต่เธอก็เป็นหนูน้อยที่ช่างสังเกต เวลาที่พ่อไปทำงานต่างจังหวัด เธอก็จะคอยสังเกตแม่และเห็นแม่ร้องใจทุกครั้ง
แต่พอแม่เห็นเธอก็จะหยุดร้องให้แล้วมาโอบกอดเธอด้วยสีหน้าฝืนยิ้มทันที
เธอในตอนนั้นเด็กเกินกว่าที่จะรับรู้และเข้าใจเรื่องราวของผู้ใหญ่ จนวันหนึ่ง
ก่อนที่แม่ของเธอจะสิ้นลมหายใจได้กล่าวคำลาทั้งน้ำตาอย่างคนรู้ชะตา ว่ากำลังจะสิ้นลมจากลูกสาวตัวน้อยอันเป็นที่รักแล้ว
" นับ...หนึ่ง ลูก...ลูก จำไว้ นะ แม้ว่าแม่ จะ ไม่อยู่แล้ว ขอ ให้ลูกรู้ไว้ ว่า
แม่ แม่รักลูกมาก แม่จะคอยอยู่เคียงข้างลูกและปกป้องลูก ตลอดเวลานะ
ลูก ต้องมีชีวิต และเติบโต อย่างเข้มแข็ง เข้า เข้าใจมั้ย "
เธอกอดแม่ไว้ทั้งน้ำตา พยักหน้าอย่างเชื่อฟังเพราะสงสารแม่ จากนั้นแม่เธอก็สั่งเสียต่อว่า
" แม้...แม้ว่า วันหนึ่ง คุณพ่อ ของ ของลูกมี ภรรยาใหม่ หากพวกเขา ไม่ดีกับลูก ลูกก็ไม่ต้องน้อยใจนะ "
ผู้เป็นแม่เอ่ยออกมาอย่างยากลำบาก ด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาจนแทบจะจับใจความไม่ได้แล้ว
ฝ่ามือขาวซีดที่เคยเรียวสวยสัมผัสพวงแก้มลูกสาวอย่างปวดใจด้วยความรู้สึกใจหาย
น้ำตาแห่งความอาลัยไหลอาบแก้มขาวซีดลงมาเป็นสาย ไม่อยากจากลูกสาวตัวน้อยที่เป็นดั่งแก้วตาดวงใจ
แต่ชะตากรรมของแกหมดแล้ว ทำให้แกต้องทิ้งลูกสาวตัวน้อยให้โดดเดี่ยวเพียงลำพังไว้บนโลก
" หลัง หลังจากที่แม่ ไม่อยู่แล้ว ลูกแม่ต้องเข้มแข็งนะ "
หนูน้อยกุมมือผู้เป็นแม่ร้องให้เสียงดังปางจะขาดใจตาม ภาพหนูน้อยกอดกุมมือผู้เป็นแม่ที่กำลังสิ้นใจลมหายใจนั้นช่างเป็นภาพที่หดหู่และสะเทือนใจผู้เป็นแม่ก่อนสิ้นใจอย่างมาก
" ฮือ...ไม่เอา อย่าพูดแบบนี้ หนูกลัว คุณแม่ต้องไม่เป็นไรนะ เดี๋ยวคุณพ่อก็กลับมาแล้ว ฮือๆๆ "
หนูน้อยร้องให้พรั่งพรูออกมาพร้อมกับจับมือและซบอกผู้เป็นแม่ ที่นอนพิงหัวเตียง หายใจโรยรินอย่างคนกำลังจะหมดลมหายใจ
ผู้เป็นแม่ร้องให้กอดลูกสาวแน่นเท่าที่มีแรงเหลือให้กอด ในขณะที่ลมหายใจสุดท้ายกำลังจะหมดลง จึงฝืนเอ่ยลาลูกสาวเป็นครั้งสุดท้ายว่า
" นับหนึ่ง แม่...รัก...ลูกนะ แม่...แม่ ต้อง...ต้อง ไปแล้ว ดู ดูแล...ตัวเอง ดี...ดี นะ ละ ลา...ก่อน "
เอ่ยจบน้ำตาหยดสุดท้ายก็ไหลออกมาจากเปลือกตาที่ปิดลงอย่างช้าๆด้วยจิตสุดท้ายที่มีความอาลัยลูกสาว
" คุณแม่ ฮือๆๆๆ คุณแม่! "
ลมหายใจเหือกสุดท้ายของผู้เป็นแม่สิ้นสุดลงพร้อมกับความรักและความห่วงใยที่มีต่อลูกสาวที่เป็นดั่งแก้วตาดวงใจ
มืออันเย็นเฉียบขาวซีดไร้สีเลือดที่โอบกอดลูกสาวแน่น คลายออกแล้วตกลงบนพื้นเตียงอย่างร่างไร้วิญญาณ
" คุณแม่....ฮือๆๆๆ....ตื่น อย่าหลับแบบนี้ คุณแม่ ฮือๆๆๆ ฮือ....ตื่น "
นับหนึ่งร้องให้คร่ำครวญเสียงดังลั่นห้อง พร้อมกับกอดร่างแม่ที่ไร้ซึ่งลมหายใจไม่ห่าง
และยังนอนกอดร่างไร้วิญญาณของผู้เป็นแม่ไว้ตลอดทั้งคืน จนผู้เป็นพ่อกลับมาเห็น
" คุณรินทร์! นับหนึ่งเกิดอะไรขึ้นกับแม่ของลูก "
ผู้เป็นพ่อตกใจอย่างมากที่เห็นศพของภรรยาที่เขียวซีดไปทั้งร่างก็รู้เลยว่าเสียแล้ว
เลยจับลูกสาวอุ้มออกมาจากศพผู้เป็นแม่ จากนั้นก็แจ้งเจ้าหน้าที่ ตามด้วยทำฌาปนกิจส่งดวงวิญญาณของภรรยากลับคืนสู่สวรรค์
นับหนึ่งในวัยหกขวบร้องให้เสียใจอย่างหนัก เธอไม่รู้หรอกว่าแม่ของตัวเองป่วยเป็นอะไร เพราะไม่เคยเห็นพ่อของตัวเองพาแม่ไปโรงพยาบาลเลย