บท
ตั้งค่า

ความทรงจำสีหม่น (100%)

“ฉันบอกให้หุบปากยังไงล่ะ! ยัยหมาบ้า!” คราวนี้คนที่บังเอิญได้ยินบทสนทนาชวนหดหู่มาตั้งแต่ต้นถึงกับตะคอกลั่น ก่อนจะสาวเท้าก้าวไปยังจุดที่สองสาวยืนอยู่

“เมศอย่ามายุ่ง” ครั้นเห็นว่าเป็นใครพิริยาก็เค้นเสียงแข็งๆ ใส่

“ฉันจะยุ่งโว้ย! และถ้าเธอยังไม่หยุดทำร้ายพี่สาวคนนี้ฉันชกเธอแน่” นอกจากจะไม่สนน้ำคำของคนที่ทำตัวไร้สติจนน่าโมโห เขายังลอยหน้าประกาศด้วยท่าทางขึงขัง

“ชก?”

“เออ! ถ้าเธอยังไม่หยุดระรานคนอื่นเหมือนหมาบ้าอยู่แบบนี้ ฉันจะชกให้หน้าแหก ดั้งหัก จมูกแหว่ง ปากเบี้ยว จนหมอศัลยกรรมทำหน้าใหม่ให้เธอไม่ได้…ไม่เชื่อก็ลองดู!”

เจ้าของน้ำเสียงกระด้างเจือดุดันเอ่ยข่มขู่อย่างฉะฉาน และท่าทางเอาเรื่องก็ทำให้พิริยาหันขวับไปจ้องหน้าหล่อๆ อย่างไม่อยากจะเชื่อในวาจาที่อีกฝ่ายพ่นออกมา

“นี่เมศกล้าปกป้องคนอื่นต่อหน้าคู่หมั้นตัวเองอย่างนั้นเหรอ” พิริยาสวนกลับด้วยความคับข้องใจเหลือแสน การที่ผู้ชายที่ตนหลงรักเห็นลูกของพ่ออีกคนดีกว่าทำให้เธอแทบคลั่ง

คนฟังแค่นยิ้มกับน้ำคำที่หลุดออกมาจากปากอีกฝ่าย เอาจริงๆ พ่อกับแม่ของเขาไม่ได้รู้จักกับครอบครัวของพิริยาเสียด้วยซ้ำ ไม่ว่าจะเป็นตัวเธอ หรือแม่ของเธอ แต่อีกฝ่ายดันหน้าด้านมาทึกทักเรื่องคู่หมั้นบ้าบอ เพราะป้าของเขาสนิทสนมกับแม่ของพิริยา แถมยังเอ็นดูเธอมากจนถึงขั้นจะให้หมั้นหมายกับหลานชายอย่างเขา

ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่พ่อ แม่ และเขา ทำเป็นหูทวนลมเสมอมา เพราะเคยถูกมัดมือชกทั้งครอบครัวให้ไปกินข้าวกับแม่ของพิริยาครั้งหนึ่ง และพ่อกับแม่ของเขาก็ต่างลงความเห็นว่าแม่ของพิริยาไม่ธรรมดา เข้าทางป้าเขาแบบมีจุดประสงค์แอบแฝง ฉะนั้นแม่ของเขาจึงเอ่ยปฏิเสธไปตรงๆ ว่ายังไม่คิดจะให้ลูกชายหมั้นหมายกับใครทั้งสิ้น ทว่าหลังจากนั้นแทนที่จะหยุดป้าของเขากลับพยายามส่งเสริมให้พิริยาเข้ามาวุ่นวายกับชีวิตเขาจนน่ารำคาญ ผู้หญิงสมองกลวงชอบระรานคนอื่นไปทั่วแบบนั้นใครจะไปเอา แค่คุยด้วยยังไม่อยากคุยเลย

“หึ…พูดผิดพูดใหม่ได้นะพิริยา เธอมันก็เป็นได้แค่ ‘ว่าที่คู่หมั้น’ เท่านั้นแหละ เพราะฉันไม่มีวันหมั้นกับผู้หญิงร้ายกาจสมองกลวงอย่างเธอ”

ปรเมศ จิรกุล หนุ่มป็อปมาดนิ่งสายซึนแต่ปากร้ายสวนกลับหน้าตาย ซึ่งการปฏิเสธอย่างสิ้นเยื่อขาดใยนั้นก็ทำให้คนฟังถึงกับเต้นเร่าๆ และกรีดร้องลั่น

“กรี๊ดดดดดด!”

“หุบปาก! อยู่ในวัดหัดสำรวมซะบ้าง!”

“เมศเข้าข้างมัน! เมศปกป้องมัน!”

“ก็เออสิวะ!”

“พิมมี่จะไปฟ้องคุณป้าศรีสุรางค์!”

“เชิญขี่ม้าสามศอกไปฟ้องเลยยัยขี้ฟ้อง” แทนที่จะกริ่งเกรงหนุ่มหน้านิ่งแต่แสนจะกวนประสาทก็ลอยหน้าเอ่ยท้าทาย แล้วยักไหล่อย่างไม่ยี่หระ

“ฝากไว้ก่อนเถอะยัยแว่น!” พิริยาชี้หน้าคิริมาอย่างคั่งแค้น เอ่ยเสียงแข็งๆ แล้วก้าวฉับๆ จากไป ปรเมศถอนหายใจด้วยความโล่งอก ก่อนจะหันไปมองคนที่ยังยืนนิ่งเหมือนช็อก

“พี่สาวโอเคไหม”

หนุ่มหน้าใสเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล สาบานว่าโทนเสียงแบบนี้นอกจากมารดาผู้ให้กำเนิดแล้วปรเมศไม่เคยใช้มันกับผู้หญิงคนไหนมาก่อน แต่กับสาวแว่นตรงหน้าเขากลับอยากพูดเพราะๆ ด้วย อยากทำความรู้จัก มากกว่านั้นคือแค่เห็นแววตาเศร้าๆ เขาก็นึกอยากจะปลอบโยนและปกป้องอย่างน่าประหลาด อยากจะถามอีกฝ่ายใจแทบขาดว่าไปอยู่ด้วยกันไหม เธอตัวคนเดียวไม่มีพ่อแม่พี่น้อง ส่วนเขาก็เป็นลูกชายคนเดียวที่ใฝ่ฝันว่าอยากจะมีพี่สาวเหลือเกิน ถ้าได้พี่สาวแบบอีกฝ่ายเขาจะคอยดูแลและปกป้องอย่างดีที่สุด

“เอ่อ…ฉันโอเค ขอบใจนายมากนะ” คิริมาเอ่ยเสียงสะท้าน พยายามที่จะแสดงออกว่าตัวเองเข้มแข็งไม่เป็นไร แต่น้ำตาเจ้ากรรมกลับไหลพรากออกมาเสียดื้อๆ ปกติเธอจะไม่แสดงความอ่อนแอออกมาง่ายๆ โดยเฉพาะกับคนแปลกหน้า แต่กับเด็กผู้ชายที่ถามไถ่ด้วยความอาทรจากที่สัมผัสได้กลับทำให้คิริมาไร้การควบคุม แววตาซึ่งฉายชัดถึงความเป็นห่วงเป็นใยคู่นั้นมันทำให้เธอรู้สึกไว้เนื้อเชื่อใจอย่างน่าประหลาด

“โอเคอะไร ถึงน้ำตาไหลแบบนี้หือ…” เขาเอ่ยอย่างอ่อนโยน แล้วล้วงผ้าเช็ดหน้าจากกระเป๋ากางเกงมาเช็ดน้ำตาให้อีกฝ่ายด้วยท่าทางทะนุถนอม ซึ่งการถูกเอาใจใส่เล็กๆ จากคนที่เพิ่งเจอกันครั้งแรกนั้นก็ทำให้คิริมาตัวแข็งทื่อ หัวใจที่แห้งแล้งเพราะปราศจากความสุขพลันอุ่นซ่านอย่างน่าอัศจรรย์

แล้วชั่วเสี้ยวนาทีคนไร้ญาติขาดมิตรอย่างแท้จริงเช่นคิริมาก็ถึงกับปล่อยโฮเสียงดังสนั่นอย่างสุดกลั้นเมื่ออีกฝ่ายดึงมือไปกุมไว้ แล้วบีบเบาๆ อย่างให้กำลังใจ แทนที่จะหยุดร้องไห้ ทำนบน้ำตาเจ้ากรรมกลับพังทลายลงมาราวกับเขื่อนแตก นี่เป็นครั้งแรกที่เธอระเบิดอารมณ์ซึ่งอัดแน่นอยู่ในอกออกมาสุดขีด

“โอ๋…โอ๋…ไม่เอา ไม่ร้องนะครับ”

คนที่ไม่เคยปลอบใครตัดสินใจดึงร่างสั่นเทาเพราะแรงสะอื้นเข้ามากอดไว้ด้วยท่าทางเงอะๆ งะๆ ก่อนจะขยับปากหยักพึมพำปลอบประโลม พร้อมลูบแผ่นหลังสะท้านอย่างแผ่วเบา สัมผัสอบอุ่นเจืออ่อนโยนทำให้คนที่กำลังร้องไห้ถอนสะอื้น เริ่มสงบสติอารมณ์ได้บ้าง ก่อนจะขืนกายออกจากอ้อมกอดของคนที่คิดว่าน่าจะอายุน้อยกว่าแต่ตัวสูงกว่าเธอ แล้วเงยหน้ามองอีกฝ่ายอย่างอายๆ

“เอ่อ…ขอบใจนายมากนะ”

“สำหรับพี่สาวแล้วยินดีมากครับ” หนุ่มหล่อมาดนิ่งล้วงกระเป๋าด้วยท่าทางสบายๆ พลางยิ้มจนตาหยี และรอยยิ้มจริงใจนั้นก็ทำให้คิริมาอดที่จะยิ้มตอบไม่ได้

“งั้นฉันไปนะ”

“บ๊ายบายครับ”

คนหน้านิ่งยังคงส่งยิ้มให้ผู้ที่ตนรู้สึกถูกชะตาตั้งแต่แรกเห็น ขณะโบกมือให้อีกฝ่าย ทว่าเมื่อเหลือบไปเห็นเลือดตรงขาเรียวซึ่งเลยขอบกระโปรงยาวเขาก็หลุดอุทานออกมา

“โอ๊ะ! อย่าเพิ่งไปครับ ขาพี่สาวมีเลือดออกนี่นา”

“ไม่เป็นไรหรอก แผลแค่นี้เอง”

“ไม่ได้ครับ เกิดติดเชื้อขึ้นมาจะทำยังไง มานี่ครับ…มานั่งตรงนี้ก่อน เดี๋ยวเมศทำแผลให้” ปรเมศไม่ยอมให้อีกฝ่ายจากไปง่ายๆ ถือวิสาสะจูงมือเรียวมานั่งลงตรงม้านั่งใต้ร่มไม้ที่อยู่ไม่ไกล

จากนั้นเขาก็ปลดกระเป๋าสะพายหลังลงมาวางข้างๆ ร่างบางของคนที่ยื่นมือไปแตะแผลตัวเองแล้วสะดุ้งน้อยๆ ก่อนจะเอาขวดน้ำเปล่าออกมา แล้วลงไปนั่งคุกเข่าอยู่ตรงหน้าเธอ จัดการล้างแผลให้ ทุกคราที่คิริมาสะดุ้งและสูดปากด้วยความแสบเสียงห้าวทุ้มก็จะคอยเอ่ยปลอบประโลม ก่อนที่เขาจะเป่าให้เบาๆ ท่ามกลางความอึ้งของคนที่ไม่เคยถูกใครดูแลเอาใจใส่ยกเว้นมารดาผู้ล่วงลับ แล้วเขาก็หยิบพลาสเตอร์ลายเสือมาแปะให้เธออย่างเบามือ

“เสร็จแล้ว กลับถึงบ้านพี่สาวอย่าลืมล้างแผลและทายาด้วยนะครับ” เขาเอ่ยบอกอย่างนุ่มนวล เก็บขวดน้ำใส่กระเป๋า แล้วลุกขึ้นมานั่งลงข้างๆ เธอ

“ขอบใจนายมากนะ วันนี้ช่วยฉันหลายครั้งเลย”

“ยินดีครับผม” เขายิ้มจนตาหยี ครั้นเห็นอีกฝ่ายกำลังตั้งท่าจะลุกขึ้นก็คว้าหมับเข้าที่ท่อนแขนเรียวเป็นเชิงรั้งเอาไว้ แล้วเอ่ยแนะนำตัวเสียดื้อๆ

“ผมชื่อปรเมศนะครับ หรือเรียกว่าเมศเฉยๆ ก็ได้ พี่สาวชื่ออะไร”

“พี่ชื่อครีม” คิริมายังคงประหยัดคำพูด แต่ท่าทางเกร็งๆ เช่นตอนที่พบกันในช่วงนาทีแรกๆ เริ่มมลายหายไป น่าแปลกที่เธอไม่รู้สึกเก้อกระดากเท่าที่ควร

“งั้นเมศขอเรียกพี่ครีมได้ไหมครับ” คำของ่ายๆ สั้นๆ แต่กลับทำให้คนถูกขอรู้สึกอบอุ่นเหมือนไม่ได้เหลืออยู่ตัวคนเดียว ก่อนที่เธอจะพยักหน้าน้อยๆ

“ได้สิ”

“พี่ครีมมาทำบุญที่นี่บ่อยเหรอครับ เห็นหลวงพ่อท่านว่าพี่ชอบมาวัดเป็นประจำ” ปรเมศชวนคุยด้วยยังไม่อยากให้อีกฝ่ายจากไป ทั้งที่จริงๆ เขาพอจะรู้เรื่องของคิริมาจากปากท่านเจ้าอาวาสบ้างแล้ว ท่านเปรยให้มารดาของเขาฟังด้วยความเวทนาคนที่ขาดทั้งพ่อและแม่อย่างคิริมา

“อืม…”

“งั้นเมศจะมาวัดกับแม่บ่อยๆ จะได้เจอพี่ครีม” คนอิดออดทุกครั้งที่มารดาชวนมาทำบุญเอ่ยอย่างยิ้มๆ เริ่มจะเปลี่ยนความคิดเพียงเพราะอยากมาเจอหน้าอีกฝ่าย

“เมศ! เมศอยู่แถวนี้หรือเปล่าลูก!” ยังไม่ทันที่จะได้ชวนคิริมาคุยไปมากกว่านั้นเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นเสียก่อน คาดว่าเพราะตรงที่เขากับเธอนั่งอยู่มีพุ่มไม้บังแม่จึงไม่เห็น

“ไอ้ตัวเล็กได้ยินไหมตอบแม่ที!”

คำว่า ‘ไอ้ตัวเล็ก’ ที่ฟังดูหน่อมเเน้มลูกคุณหนูซึ่งมารดาชอบเรียกขานแทนชื่อ ทำให้ปรเมศยิ้มแหยๆ พร้อมลูบท้ายทอยแก้เก้อ จากนั้นก็ค้นกระเป๋าตัวเอง แล้วหยิบปากกาออกมา

“พี่ครีมเมศขอมือหน่อย” วาจาที่หลุดออกมาจากปากหนุ่มสุดป็อปทำให้คิริมามองหน้าหล่อๆ อย่างงงๆ จนเขาต้องคลี่ยิ้มบางๆ แล้วเอ่ยเป็นเชิงรบเร้า

“นะครับ…แบมือให้เมศหน่อย”

ที่สุดคิริมาก็ทนน้ำเสียงออดอ้อนกับแววตาเว้าวอนไม่ไหว ยื่นมือออกไปหาคนที่เฝ้ารออยู่อย่างเก้ๆ กังๆ แล้วแบออก ทันใดนั้นก็ต้องสะดุ้งเฮือกในวินาทีที่ปรเมศจรดปลายปากกาลงบนฝ่ามือน้อย ครั้นก้มลงมองก็ปรากฏว่ามันคือตัวเลขจำนวนสิบหลัก ดูแล้วน่าจะเป็นเบอร์โทรศัพท์

“นี่เบอร์เมศนะ มีอะไรก็โทรหาเมศได้” เขาบอกด้วยรอยยิ้มขณะหยิบกระเป๋ามาสะพาย แล้วก็ต้องสะดุ้งเฮือก ทำหน้าเซ็งนิดๆ เมื่อได้ยินมารดาตะโกนเรียกหาด้วยสรรพนามที่โคตรไม่ปลื้มอีกครา

“ไอ้ตัวเล็กอยู่แถวนี้หรือเปล่าลูก!”

“เมศไปก่อนนะ หวังว่าเราจะได้เจอกันอีกนะครับ ถ้ามีเรื่องไม่สบายใจ อยากระบาย หรืออยากร้องไห้อกของน้องชายคนนี้พร้อมให้พี่สาวซบเสมอ แต่อย่าร้องไห้คนเดียวนะครับ”

ปรเมศถือวิสาสะกุมมือคิริมา แล้วเอ่ยบอกเสียยืดยาว ก่อนจะโผเข้ากอดร่างบางของคนที่นึกอยากได้เป็นพี่สาว แล้วผละห่าง ตบท้ายด้วยการโบกมือไหวๆ เป็นเชิงอำลา จากนั้นก็วิ่งจากไปพร้อมตะโกนขานรับเสียงเรียกของมารดา ท่ามกลางสายตาที่มองตามไปอย่างยิ้มๆ วันหยุดของสัปดาห์นี้ไม่น่าหดหู่เท่าไร เพราะอย่างน้อยเด็กผู้ชายนามว่าปรเมศคนนั้นก็ทำให้เธอยิ้มได้หลังจากที่เพิ่งเจอเรื่องแย่ๆ มา

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel