5
ข้าวสวยร้อนๆ ถูกตักใส่กล่องข้าวพอดีกินในมื้อกลางวัน ก่อนหันมาตักแกงส้มผักรวมใส่ปลานิลหั่นเป็นชิ้นใส่ถุงร้อน จันทร์สุดาเลือกตักหัวปลากับหางปลา ส่วนชิ้นเนื้อแน่นๆ เอาไว้ให้คนในบ้านกิน และไข่เค็มอีกหนึ่งฟองวางลงอีกช่องในกล่องข้าว ก่อนปิดฝานำทั้งหมดที่เตรียมไว้ใส่กระเป๋าใส่กล่องอาหาร เสร็จจากงานในครัวจันทร์สุดาเข้าห้องน้ำเพื่ออาบน้ำเตรียมตัวไปทำงาน
“แม่จ๋า วันนี้หนูกลับบ้านดึกหน่อยนะ มีนัดกับหมวยจ้ะ” จันทร์สุดาในชุดทำงานเอ่ยบอกรุ่งรัตน์ที่เพิ่งตื่นนอน
“มีเงินไหม ขอสักห้าร้อยสิ” คนเป็นแม่ไม่ถามว่า ที่ว่ากลับดึกจะกลับกี่ทุ่ม ตามประสาแม่ห่วงลูก กลับแบมือขอเงิน ซึ่งเป็นเรื่องปกติสำหรับจันทร์สุดาที่ควักเงินให้ง่ายๆ ไม่ถามว่ามารดานำเงินไปใช้จ่ายอะไร “มะรืนนี้ต้องจ่ายค่าบ้านนะ เตรียมไว้ด้วยล่ะ พี่เอ็งคงไม่เงินจ่าย”
“รู้แล้วจ้ะ สุดาเอาไปให้ป้าพลอยเอง” จันทร์สุดารู้หน้าที่
“รู้หน้าที่ก็ดี ฉันไปกินข้าวก่อน หิวจนไส้จะขาดแล้ว”
รุ่งรัตน์เดินไปยังห้องครัว หาอาหารกินบรรเทาความหิว ขณะนั้นสร้อยทิพย์เดินลงมาจากชั้นบน เธอยิ้มให้น้องสาว
“พี่สร้อยไปทำงานไหวแน่นะ ถ้าไม่ไหวพักก่อนก็ได้พี่ เจ๊หงส์ไม่ได้ว่าอะไร เจ๊อยากให้พี่พักให้หายดีก่อน”
จันทร์สุดาถามสร้อยทิพย์เพื่อความมั่นใจ หลังจากเมื่อคืนนี้พี่สาวบอกว่า เย็นนี้จะไปเริ่มงานหลังจากหยุดมานานหนึ่งสัปดาห์
“พี่ทำไหว แต่คงไม่รับงานนอก” สร้อยทิพย์บอกน้องสาว
“พี่ไม่ต้องรับงานนอกก็ได้นะ สิ้นเดือนนี้หนูไปร้องเพลงที่คลับ มีรายได้เพิ่มพอใช้หนี้คิดๆ ดูแล้วสามสี่เดือนก็ใช้หนี้หมด หนูไม่อยากให้พี่สร้อยเสี่ยง กลัวจะเจอคนแบบนั้นอีก”
เหตุผลที่จันทร์สุดาขยันทำงานเป็นเพราะต้องการช่วยสร้อยทิพย์ ดึงพี่สาวออกมาจากอาชีพที่คนในสังคมไม่ยอมรับ ทว่าหนี้สินของครอบครัวไม่ใช่น้อยๆ อีกทั้งยังมีเจ้าหนี้รายใหม่ผุดขึ้นแทบทุกอาทิตย์ สร้อยทิพย์กับจันทร์สุดาตามเช็ดแทบไม่ไหว แต่ตัวต้นเหตุกลับไม่สนใจสักนิดเดียว อาจเป็นเพราะมีรุ่งรัตน์ให้ท้าย ผิดจึงกลายเป็นถูกเสมอ
ตอนนี้จันทร์สุดามีงานพิเศษเพิ่มอีกหนึ่งงาน ทำงานวันพฤหัส วันเสาร์และวันอาทิตย์ ร้องเพลงวันละห้าเพลง ได้ค่าตอบแทนวันละหนึ่งพันห้าร้อยบาท หนึ่งเดือนได้ค่าจ้างหนึ่งหมื่นแปดพันบาท ทิปต่างหาก ถือว่าเป็นรายได้ที่มากทีเดียว ช่วยเหลือครอบครัวเธอได้มากด้วย มีโอกาสสูงที่จะหมดหนี้หมดสินเสียที
“ต้องขอบคุณเจ๊ที่ให้โอกาสสุดา สุดาต้องทำให้เต็มที่นะ ให้สมกับที่เจ๊มอบงานนี้ให้”
สร้อยทิพย์รู้ดีว่า มีนักร้องหลายคนอยากมาร้องเพลงในคลับฟรอร่า คนในไม่อยากออก คนนอกอยากเข้ามาทำงาน อีกทั้งมณีรัตน์ไม่ได้รับนักร้องง่ายๆ ต้องดูหลายอย่าง ไม่ว่าหน้าตา รูปร่างและน้ำเสียงซึ่งถือว่าสำคัญมาก การที่มณีรัตน์ชักชวนจันทร์สุดาไปเป็นนักร้องประจำคลับ ทั้งที่จันทร์สุดาไม่ใช่นักร้องมืออาชีพ ห่างการร้องเพลงมานาน ถือว่าเป็นโชคดีมาก
“ค่ะพี่สร้อย หนูจะทำให้เต็มที่ค่ะ แต่ตอนนี้ขอไปทำงานก่อนนะคะ เดี๋ยวสาย”
คนพูดยิ้ม เดินมาหอมแก้มพี่สาว เอี้ยวตัวไปหยิบกระเป๋าใส่กล่องอาหาร จากนั้นจึงเดินออกจากบ้าน สร้อยทิพย์มองตามร่างน้องสาวด้วยรอยยิ้ม ในบ้านหลังนี้มีเพียงจันทร์สุดาคนเดียวที่เห็นอกเห็นใจและช่วยเหลือแบ่งเบาภาระตน ส่วนอีกสามคนอาจพูดได้ว่า คือภาระอันเหนื่อยใจที่ไม่มีวันสิ้นสุด เธอมีคความหวังสูงว่า หมดหนี้สักวันหนึ่ง แล้ววันนั้นเธอจะใช้ชีวิตของตัวเองบ้าง
จันทร์สุดาก้าวเร็วๆ เข้าไปในอาคารสำนักงานสูงสี่สิบสามชั้น เดินแกมวิ่งไปมองดูนาฬิกาข้อมือไปด้วย เธอเร่งฝีเท้าให้เร็วมากขึ้นเพราะอีกไม่ถึงสามนาทีจะถึงเวลาเข้างาน กฎของบริษัทมีอยู่ว่า พนักงานสายได้ไม่เกินเดือนละห้าครั้ง ครั้งที่หกจะถูกปรับเงินครั้งละห้าสิบบาท แม้ว่าเงินค่าปรับดูน้อย แต่สำหรับจันทร์สุดาเป็นเงินที่มีค่ามาก เธอจึงไม่อยากสาย มาก่อนเวลาทุกวัน และไม่อยากสาย
“ตายแล้ว จะทันไหมเนี่ย” จันทร์สุดาพูดกับตัวเอง มองไปยังลิฟต์โดยสารที่เวลานี้มีคนกำลังเดินเข้าไปในตัวลิฟต์ เธอรีบก้าววิ่งเพื่อให้ทัน “ไปด้วยค่ะ”
เสียงเรียกทำให้คนในลิฟต์กดปุ่มเปิดประตูลิฟต์ค้างไว้ จันทร์สุดาเดินเข้าในลิฟต์ เธอชะงักเมื่อรู้ว่าคนใจดีที่กดปุ่มรอตนคือใคร ส่วนคนยืนอยู่ด้านในมองร่างสมส่วนด้วยความรู้สึกเดิมคือ นึกไม่ออกว่าเคยเจอเธอที่ไหนมาก่อน
“ขอบคุณค่ะท่านรอง” จันทร์สุดาพนมมือไหว้ศุภกฤษณ์ รองประธานบริษัทที่ตนทำงานอยู่ ก่อนยิ้มให้
หัวใจศุภกฤษ์เกิดอาการผิดแปลกขึ้นมาทันใด เต้นผิดจังหวะอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เมื่อเห็นรอยยิ้มหวานของสาวตรงหน้า เธอมีเสน่ห์ล้นเหลือ รู้สึกว่า ไม่มีรอยยิ้มใครสวยเท่าเธอ แล้วถึงบางอ้อเรื่องที่ตนคุ้นหน้าเธอ แต่นึกไม่ออก ที่แท้นักร้องเสียงดีคือพนักงานในบริษัทตนนั่นเอง
“ไม่เป็นไรครับ” ศุภกฤษณ์ตอบกลับ สายตายังไม่ละจากดวงหน้าหวานไร้เครื่องสำอาง มีเพียงลิปสติกสีชมพูอ่อนเคลือบบนริมฝีปากเท่านั้น ทว่าเพียงแค่นี้แต่เธอกลับมีความสวยและน่ารักในเวลาเดียวกัน
“ทำไมท่านรองใช้ลิฟต์ตัวนี้ล่ะคะ ลิฟต์ส่วนตัวท่านรองเสียหรือคะ” ศุภกฤษณ์ยิ้ม นึกเอ็นดูความไม่รู้ของจันทร์สุดา
“ลิฟต์ที่ผมยืนอยู่ คือลิฟต์ที่คุณบอกว่ามันเสียครับ” จันทร์สุดาอ้าปากค้าง นี่เธอกลัวสายจนลืมมองว่า ลิฟต์ตัวนี้เป็นลิฟต์ตัวพิเศษที่มีเพียงเจ้าของตึกและบุคคลที่มาติดต่อเรื่องงานโดยตรงกับเจ้านายตน จันทร์สุดายิ้มแห้ง ใบหน้าระบายความเขิน