ตอนที่ 3 ทั้งโลกเยาะหยันเขา
ตอนที่ 3 ทั้งโลกเยาะหยันเขา
บ้านใหญ่ของตระกูลหลิงตั้งอยู่ที่ยอดเขาทางตะวันออกของชานเมืองM
ในช่วงฤดูร้อน รถวนขึ้นไปที่วงแหวนรอบๆเขา ทุกที่เต็มไปด้วยความเขียวขจีอย่างเต็มตา บรรยากาศหลังจากที่ฝนตกหนักสดชื่นมากๆ เมื่อเปิดหน้าต่างเล็กน้อย ก็จะได้ยินจักจั่นได้อย่างชัดเจน
ในบรรดาคุณชายทั้งสี่ของตระกูลหลิงมีแค่หลิงเล่เพียงคนเดียวที่อาศัยอยู่นอกบ้าน
พี่ชายทั้งสามคนของเขาปัจจุบันนี้ก็อาศัยอยู่ที่บ้านใหญ่ของตระกูลหลิงกับผู้หลักผู้ใหญ่ของตระกูลหลิง
เพียงเพราะว่าคุณปู่หลิงรักและทะนุถนอมลูกชายคนเล็กที่พิการ เขากลับไปกลับมาในเมืองนอกเมืองไม่ไหว ก็เลยซื้อบ้านสวยๆที่อยู่ในเมืองทิ้งไว้ให้เขาหลังหนึ่ง ชื่อที่ไพเราะทำให้เขาพักฟื้นได้อย่างสบายใจ ที่จริงความหมายก็คือเขาละทิ้งการเป็นผู้สืบทอดตระกูลหลิงไปแล้ว
ลึกๆหลิงเล่ก็เข้าใจอยู่นิดหน่อย แต่ก็ไม่อยากทำให้บานปลาย ยิ่งไปกว่านั้นเขาก็ยินดีที่จะอยู่แยกกับลูกเสือลูกตะเข้ที่บ้านนั้นด้วย
ความจริงแล้ว ตั้งแต่ตอนนั้นหลังจากที่หลิงเล่ย้ายออกมาตอนอายุสิบเจ็ด ชีวิตของเขาก็สงบสุขไม่น้อยเลยจริงๆ
ทันทีที่คีย์การ์ดบางๆสแกน ประตูไฟฟ้าแสนสวยก็มีเสียงดังขึ้นแล้วเปิดออก จั๋วหรันก็ขับรถแล่นเข้าไปในบ้านใหญ่ของตระกูลหลิงช้าๆ
เกือบปีหนึ่งที่ไม่ได้กลับมา บ้านหลังนี้ก็ยังคงเหมือนแต่ก่อน แม้ว่ามันจะตั้งอยู่บนยอดเขา ดูเหมือนว่าแสงแดดจะส่องไปทั่ว แต่กลับให้ความรู้สึกกดดันมากกว่า ต่างจากทิวทัศน์ของสนามหญ้าข้างนอกที่สวยงามเป็นธรรมชาติ ไหนจะบรรยากาศที่สดชื่นและรื่นรมย์
รถก็ขับผ่านโรงจอกรดที่อยู่ในสวนมา ตรงมาหยุดที่หน้าประตูบ้าน นี่คือสิทธิพิเศษที่หลิงเล่สามารถมีได้
จั๋วซีหยิบรถเข็นออกจากท้ายรถ แล้วจัดการเปิดที่ประตูเบาะหลัง
พ่อบ้านก็เดินตรงมารับกุญแจรถที่อยู่ในมือจั๋วหรัน จั๋วหรันเดินมาหาจั๋วซีและช่วยกันประคองหลิงเล่ออกมาจากในรถอย่างระมัดระวัง และพามานั่งบนรถเข็นอย่างปลอดภัย
หลังจากที่ฝนตกหนัก ท้องฟ้าบนยอดเขาก็เกิดสายรุ้งที่สว่างพร่างพรายอยู่เส้นหนึ่ง
จั๋วซีเดินเข็นหลิงเล่ไปทางเข้าประตูบ้านใหญ่อย่างช้าๆ เหตุการณ์นั้นอยู่ภายใต้แสงพระอาทิตย์ รถเข็นที่ทาสีเงินเหมือนจะมีแสงวูบวาบที่อยู่ภายใต้ร่างของหลิงเล่ ในที่สุดแสงแวววาวก็ทำให้ตาลาย
อย่างไรก็ตาม เมื่อรถเข็นเพิ่งเข็นผ่านปากประตูมาก็มีตู้ปลาขนาดใหญ่สูงเหมือนกำแพง หลิงเล่ยังไม่ได้เห็นหน้าเต่าทะเลที่อยู่ภายในชัดๆ ก็มีเสียงแซวๆขี้เล่นดังเข้ามาที่ห้องโถงแล้ว——
“เสี่ยวสื้อ! ในที่สุดแกก็กลับมาแล้ว!”
“เหอะ เหอะ หรือว่าเป็นเพราะแรงเรียกร้องของพ่อพวกเรา โทรไปตามไม่กี่สายก็เอาเสี่ยวสื้อกลับมาได้แล้ว”
“นี้จะไปโทษมันก็ไม่ได้ มันเดินไม่ได้แล้วยังพูดไม่ได้อีก ทั้งชีวิตก็ต้องพึ่งจั๋วหรันกับจั๋วซีให้ดูแล จะเดินทางกลับมามันก็ไม่ง่าย พี่ใหญ่ พี่สอง พวกพี่ก็อย่าไปดุด่ามันเลย ยังไงพวกเราก็มือยังดีเท้ายังดีแล้วก็พูดได้ด้วย เสี่ยวสื้อเป็นแบบนั้น พวกเราไม่เข้าใจความรู้สึกหรอก”
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า!”
“เจ้าสามพูดถูก!”
สีหน้าของจั๋วซีดูไม่ดีเอามากๆ เมื่อเทียบกับคุณทั้งสามที่มีสุขภาพดี หลิงเล่ก็โดนดูถูกเหยียดหยามจากตระกูลหลิงอย่างไม่น่าสงสัย ตั้งแต่พวกคุณชายเล็กๆสามารถดูได้จากชื่อเรียกในวันธรรมดา จะเรียกคนอื่นว่า เจ้าใหญ่ เจ้าสอง เจ้าสาม เมื่อวนมาถึงหลิงเล่ก็กลายเป็น เสี่ยวสื้อ
สำหรับเรื่องนี้ หลิงเล่กลับมีสีหน้าที่เฉยๆ
เมื่อรถเข็นผ่านเข้ามาทางประตูทางเข้า หลังจากที่ร่างของหลิงเล่เข้าอยู่ในห้องรับแขกตรงกลางและอยู่ในสายตาของคนไม่กี่คน จั๋วซีก็พูดเสียงต่ำเบาๆอย่างมีมารยาทและสุภาพ “คุณชายใหญ่ คุณชายสอง คุณชายสาม!”
สามคนที่อยู่บนโซฟายังไม่ทันจะตอบโต้ สายตาก็ถูกคุณพ่อที่เดินออกมาจากข้างบันไดดึงดูดความสนใจไปหมด แล้วก็พูดเป็นเสียงเดียวอย่างไม่ได้นัดหมาย "“คุณพ่อ!”
ร่างที่สง่างามในชุดสีแดงส้ม กึ่งแอบอิงกึ่งประคองหลิงหยวนผู้ที่ใหญ่ที่สุดแห่งตระกูลหลิงค่อยๆเข้ามาใกล้
เธอก็คือภรรยาคนที่สี่ของหลิงหยวน เจิงเชี่ยน
คุณชายใหญ่กับคุณชายสองของตระกูลหลิง เป็นที่ภรรยาคนแรกของหลิงหยวนเป็นคนให้กำเนิด
หลังจากนั้นหลิงหยวนก็ได้พาภรรยาคนที่สองเข้ามา เมียหลวงก็ตายอย่างน่าเศร้าในวัยเพียงแค่สี่สิบปี
ภรรยาคนที่สองตลอดเวลาก็ไม่ได้รับการยกย่องเป็นภรรยาและไม่ได้รับการยอมรับ จนกระทั่งคลอดคุณชายสามหลิงหยวนจึงยอมรับเธอ แล้วก็จดทะเบียนสมรส และจัดงานแต่งงานใหญ่โต
แต่แม่ของหลิงเล่ คือสาวสวยที่แสนงดงามและมีความสามารถคนหนึ่งที่หลิงหยวนเจอโดยบังเอิญที่สวิตเซอร์แลนด์
หลิงหยวนปกปิดเรื่องที่ตัวเองแต่งงานแล้วมาโดยตลอด พยายามที่จะไล่ตามจีบเธออย่างยากลำบากเป็นระยะเวลาสองปี หลังจากที่ทำสาวสวยท้อง ก็เลยพาเธอกลับมาที่ประเทศจีน
ตอนที่แม่ของหลิงเล่รู้ว่าถูกหลอก ก็ยืนกรานที่จะจากไป แต่หลิงหยวนก็ตัดสินใจที่จะหย่ากับภรรยาคนที่สองเพื่อหมั้นกับเธอ
ความยุ่งเหยิงระหว่างความรักและความเกลียดชังของรุ่นพ่อแม่ มีความสลับซับซ้อน การต่อสู้ระหว่างผู้หญิงทำให้คุณชายสามสี่คนต้องมาไม่ถูกกันและระแวงกัน และสาเหตุของเรื่องวุ่นวายต่างๆก็มาจากความใจง่ายและใจดำของหลิงหยวน
แต่ตอนนี้หลิงหยวนก็อายุมากแล้ว และไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ ภรรยาทั้งสามคนก่อนหน้านี้ก็เสียชีวิตก่อนเวลาอันควร ก็เลยแต่งงานกับภรรยาตัวน้อยที่น่ารักและอ่อนเยาว์ เจิงเชี่ยน เพื่อที่จะอยู่ข้างกันไปแก่เฒ่า
ถ้าถามคุณชายทั้งสี่คนนี้ สำหรับหลิงหยวนแล้ว ภายในใจของพวกเขามีตรงไหนที่ไม่เกลียดหลิงหยวนบ้าง
แต่การที่เติบโตมาในครอบครัวใหญ่ ก็รู้จักประเมินสถานการณ์และชั่งน้ำหนักข้อดีข้อเสีย มันเป็นการเอาตัวรอดพื้นฐานของพวกเขา
“เสี่ยวสื้อกลับมาแล้วเหรอ” หลิงหยวนยิ้มบางๆ แล้วบอกให้เจิงเชี่ยนประคองตัวเองไปนั่งที่โซฟา
เจ้าใหญ่รีบยกชาหวินอู้ที่คุณพ่อชอบดื่มที่สุดมาเสิร์ฟ เจ้าสองเอาหมอนรองหลังนุ่มๆไปไว้ข้างหลังคุณพ่อ เจ้าสามจุดบุหรี่ให้คุณพ่อมวนหนึ่งด้วยตัวเอง
หลิงเล่นั่งอยู่ที่รถเข็นของเขาเช่นเดิม ด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง
จั๋วซีเอาปากกาและสมุดบันทึกเล่มเล็กที่อยู่ในฝ่ามือใหญ่ยัดไปในมือเล็กๆของหลิงเล่ แล้วก็ถอยออกมาอยู่ด้านข้างอย่างเงียบๆ
สายตาของคุณพ่อสแกนไปที่ใบหน้าของหลิงเล่อยู่ครู่หนึ่ง ก็ถามว่า “ช่วงนี้สุขภาพเป็นยังไงบ้าง”
หลิงเล่หยิบกระดาษและปากกาขึ้นมา ตอบกลับไปหนึ่งคำว่า “งั้นๆ”
หมายถึง ทุกอย่างก็งั้นๆ ยังเหมือนเดิม
ดูเหมือนว่าหลิงหยวนเกลียดการความหัวแข็งนี้ของลูกชายคนเล็กมากๆ กับทัศนคติที่ดื้อรั้นถือทิฐิ
หลายปีนี้ ไม่ว่าพวกเขาจะพูดคุยเรื่องอะไร หลิงเล่ก็จะเขียนเพื่อพูดกับเขา และก็จะมีแค่คำเดียวตลอด
เขารู้ ว่าเพราะลูกชายยังฝังใจเรื่องของภรรยาคนที่สามตอนปีนั้นอยู่
ถึงอย่างไรก็ตาม ก็เป็นเพราะบุคลิกของลูกชายคนเล็กที่หยิ่งทระนงไม่เหมือนใคร ทำให้ภายในใจของคุณพ่อเขากับพี่น้องคนอื่นที่ขี้ประจบประแจงนั้นมีความแตกต่างกัน
แต่ที่น่าเสียดายก็คือ ลูกชายที่หยิ่งทระนงแบบนี้ กลับกลายเป็นคนพิการ!
หลิงหยวนไม่ได้มองเขาอีก สายตากวาดไปมองลูกชายคนอื่นๆ แล้วพูดอย่างช้าๆ “โรงงานทอผ้าซิงชั่นของตระกูลมู่น่ะ มีลูกสาวคนเดียวที่ตอนนี้อายุสิบแปด พวกแกน่ะใครอยากจะได้เป็นเมีย”
แล้วก็เงียบสนิทแปปนึง เพราะทุกคนคิดอยู่ในใจ
ในที่สุดเจ้าสามก็คือคนที่ทำลายความเงียบพูดว่า “ลูกพี่ใหญ่ก็เข้าเรียนประถมกันหมดแล้ว ครอบครัวก็รักสามัคคีกันดี เห็นชัดเลยว่าไม่เหมาะ พี่สองถึงจะบอกว่าเพิ่งหย่ามา แต่ว่าก็แกกว่าสาวสวยแห่งตระกูลมู่สิบปี ก็ชัดเลยว่าไม่เหมาะเหมือนกัน และถึงแม้ว่าผมจะอายุสามสิบต้นๆ แต่ว่าผมก็ยังโสดมาตลอดนะ พ่อครับ ผมดูแล้ว ปัญหานี้ผมจะรับมาจัดการเองครับ! ตราบใดที่การแต่งงานครั้งนี้มันทำกำไรให้กับครอบครัวได้ แต่กับใครผมก็ไม่สนหรอก บุญคุณที่ได้รับการเลี้ยงดูตั้งแต่เล็กจนโตจากครอบครัว มันก็เป็นเวลาที่ผมจะต้องตอบแทนบ้างแล้ว”
เจ้าใหญ่มองอย่างเหยียดไปที่เจ้าสามหนึ่งที
เจ้าสองก็หัวเราะกร๊ากออกมาทันที แล้วพูดว่า “ที่คุณพ่อของพวกเราเรียกเสี่ยวสื้อกลับมาครั้งนี้ มันก็ชัดอยู่แล้วว่า เสี่ยวสื้อคือคนที่คุณพ่อของพวกเราคิดเอาไว้”
เจ้าสามขมวดคิ้ว “ไม่น่าจะใช่หรอกมั้ง ลูกสาวคนเดียวของตระกูลมู่ นั่นคือเด็กสาวที่เปรียบเหมือนเพชรที่แสนแวววาวบนนิ้วมือ จะยอมมาแต่งงานกับคนพิการได้ยังไงกัน