ตอนที่ 9
ท้องน้ำเวิ้งว้างกว้างไกลเข้าตำรา “คืบก็ทะเล ศอกก็ทะเล” ผืนแผ่นดินใกล้ที่สุดก็ดูจะลับสายตาแลเห็นได้นิดเดียว ทะเลดูลึกลับน่ากลัวจนไม่อาจคาดคะเนได้ว่าใต้ผืนน้ำนั้นมีอะไรซ่อนอยู่บ้าง ทว่า..อนลกลับไม่คิดเช่นนั้น ท้องทะเลที่มองเห็นนี้ในความคิดของเขามันช่างเต็มไปด้วยสิ่งมหัศจรรย์และขุมทรัพย์อันมีค่าจนเปรียบประมาณไม่ได้
ดวงตาคมเข้มแหงนสำรวจท้องฟ้าโดยรอบอีกครั้ง พร้อมทั้งสังเกตคลื่นลมซึ่งนักดำน้ำผู้ช่วยอีก 2 คนก็ดูจะแหงนมองและสังเกตเหมือนๆ กันกับเขา ฟ้าฝนที่ดูเหมือนจะตั้งเคล้ามาแต่เช้าทำให้เขาใจคอไม่ดีเพราะกลัวว่ายามสายของวันนี้จะไม่สามารถได้ลงดำน้ำได้อีกครั้ง และจะเท่ากับว่าเวลายิ่งลดน้อยถอยลงมากยิ่งขึ้น ทั้งยังต้องลุ้นอีกว่าเอกพลจะสามารถหานักดำน้ำผู้ช่วยซึ่งจะมาแทนนายเข้มได้หรือไม่ แต่แล้วธรรมชาติก็เข้าข้างเพราะแค่อึดใจท้องฟ้าก็กลับมาเปลี่ยนเป็นสว่างสดใสอย่างไม่เคยมีความอึมครึมปกคลุมมาก่อน ทั้งผู้ช่วยคนใหม่ของเขาก็เดินทางมาถึงพอดี เมื่อคนพร้อมอุปกรณ์พร้อมพวกเขาทั้ง 3 คนรวมทั้งลุงคนขับเรือ 4 ชีวิตจึงออกเดินทางสู่จุดหมายในทันที
ณ บริเวณทุ่นลอยกลางทะเล อันเป็นการกำหนดจุดที่ทีมนักสำรวจชุดก่อนวางขอบเขตไว้ให้ ทำให้เขาไม่ต้องดำสำรวจเพื่อกำหนดขอบเขตอีกครั้ง ในครั้งนี้เขาได้รับมอบหมายให้มาถ่ายภาพโบราณวัตถุและทำบันทึกที่พอจะแยกประเภทออกจากกันได้ รวมทั้งสำรวจจำนวนให้ได้มากที่สุดในระยะเวลา 7 วันนี้ ซึ่งเมื่อวานก็ชวดไปแล้ววันนึงทำให้ในวันนี้และวันต่อไปเขาต้องพยายามทำเวลาให้มากที่สุด
อนลทำหน้าที่สำรวจและบันทึกภาพ วินัยทำหน้าที่นักดำน้ำผู้ช่วย และเอกพลอยู่ประจำการบนเรือเพื่อคอยสัญญาณหากมีเหตุฉุกเฉินด้านล่าง ทั้งหมดแต่งกายด้วยชุดประดาน้ำพร้อมตรวจเชคอุปกรณ์ให้เรียบร้อยอีกครั้งเพื่อความไม่ประมาท เพราะอยู่ใต้น้ำก็เปรียบเสมือนเป็นเป้านิ่ง ไม่สามารถได้ยินเสียงอะไร ซึ่งหากมีสัตว์ร้ายมาป้วนเปี้ยนกว่าจะรู้ตัวคงถูกเล่นงานจากแขกไม่ได้รับเชิญเสียแล้ว อนลให้สัญญาณมือก่อนจะม้วนตัวลงสู่ท้องน้ำด้านล่าง
วาบ...
แค่ร่างกายสัมผัสผิวน้ำ ความรู้สึกบางอย่างก็แล่นเข้ามากระทบจิตใจ ความรู้สึกเสียดแทงจิตใจ ความโหยหา ความเศร้าโศกของใครคนหนึ่งทำให้อนลถึงกับชะงักมือกำกล้องถ่ายรูปค้าง ก่อนจะได้สติอีกครั้งเพราะสัมผัสเตือนจากวินัยที่ดำตามลงมา อนลพยายามเรียกสติที่พร้อมจะกระเจิดกระเจิงของตัวเองให้กลับคืนมาเพราะหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายมีเวลาจำกัด หากเขาไร้สติและฟุ้งซ่านอย่างนี้เห็นทีภารกิจที่ได้รับมอบหมายคงไม่สามารถเสร็จได้ทันตามกำหนดการแน่ๆ ร่างกายพาว่ายตรงไปยังจุดที่มองเห็นผังสำรวจที่ทีมก่อนกำหนดไว้ ดวงตามองตรงไปยังจุดหมาย “สติ” เท่านั้นที่จะทำให้เขาครองตัวเองอยู่ได้อย่างปลอดภัย
กล้องถ่ายภาพใต้น้ำทันสมัยถูกยกขึ้นบันทึกภาพโดยรอบที่มองเห็น กระแสน้ำนิ่งสงบอย่างเป็นใจ ไม่มีแม้ละอองฝุ่นทรายที่จะทำให้เป็นอุปสรรคต่อการสำรวจ สภาพของเรือไม่สามารถมองเห็นรูปร่างได้อย่างชัดเจนเพราะมีส่วนที่จมอยู่ใต้ทรายเป็นบริเวณกว้างอีกทั้งเนื้อไม้บางส่วนก็เปื่อยยุ่ยไปตามกาลเวลา อนลคำนวนมองตามข้อมูลที่ได้รับจากรายงานว่าเรือลำนี้มีขนาดกว้างกว่า 7 เมตร และยาวกว่า 26 เมตร และเรืออยู่ในลักษณะสภาพตะแคงข้าง
ในการสำรวจครั้งแรกมีการเก็บเอาไหขนาดต่างๆ ที่พบจากด้านบนที่เป็นส่วนของระวางบรรทุกขึ้นไปศึกษาและวิเคราะห์ว่าเรือลำนี้น่าจะอยู่ในยุคสมัยใด และเมื่อทำการพ่นทรายออกจากบริเวณที่คาดว่าเป็นส่วนกลางของลำเรือก็ได้พบถ้วยชามแบบต่างๆ จัดวางไว้อย่างเป็นระเบียบหมวดหมู่ อีกทั้งยังพบเศษซากวัตถุแตกหักเสียหายอีกเป็นจำนวนมาก ซึ่งคาดว่าน่าจะเกิดจากสาเหตุที่มีการทำประมงบริเวณนี้เพราะซากอวนที่ติดอยู่บริเวณคานไม้ที่มองเห็นทำให้วิเคราะห์ได้ไม่ยาก แต่เมื่อมีการสำรวจเกิดขึ้นทางหน่วยราชการจึงประกาศห้ามจับสัตว์น้ำในบริเวณนี้ และเพื่อเป็นการป้องกันคนมาลักลอบงมเอาทรัพย์สินอันมีค่าของชาติเหล่านี้ไปขาย
“คนลักลอบนำไปขาย”
อนลครุ่นคิดก่อนจะยิ้มเยาะให้กับโชคชะตาของตัวเองเพราะรู้ดีถึงเจตนาที่นำพาให้เขาเดินทางมาที่นี่ “เงินทองมากองอยู่ตรงหน้าใครไม่คว้าไว้เรียกว่า..โง่ ใช่หรือไม่” สำหรับคนอย่างเขาก็คงจะใช่
“อุ๊บ! เฮ้ย!..”
จู่ๆ วินัยที่ทำหน้าที่ฉายสปอร์ตไลท์ให้แสงสว่างกับอนลก็ดีดตัวออกอย่างรวดเร็ว อนลหันมองตามทิศก่อนจะค่อยๆ ว่ายตรงเข้าหาวินัยที่เหมือนจะรู้สึกตัวและกลับมาควบคุมตัวเองได้อีกครั้ง สัญญาณมือที่สื่อสารพร้อมทั้งหันมองรอบตัวคือ คำถามว่าวินัยเห็นอะไรหรือว่าเป็นอะไรหรือไม่ ซึ่งอนลก็ได้รับคำตอบกลับมาว่าไม่เป็นไรพร้อมกับสัญญาณให้อนลทำงานต่อ
อนลยังคงว่ายวนสำรวจทั่วบริเวณต่อไป เป้าหมายในวันนี้คือเขาต้องถ่ายรูปพื้นที่โดยรอบเพื่อกำหนดขอบเขตที่จะเจาะจงสำรวจทีละจุดในระยะเวลา 5 วันที่เหลือซึ่งหากธรรมชาติไม่เป็นใจเขาจะได้คำนวนแผนเผื่อเอาไว้ว่าควรจะเพิ่มเติมตรงจุดไหนได้บ้าง
วินัยที่ยังคงทำงานคู่กับเขาเหมือนจะเหลียวซ้ายแลขวาบ่อยครั้งเหมือนระวังภัยอะไรบางอย่างที่เขาคาดเดาไม่ได้ เพราะทั่วทั้งบริเวณไม่มีอะไรเลยนอกจากเศษซากเรือและวัตถุโบราณเหล่านี้ ไม่มีอะไรเลยจริงๆ เพราะแม้แต่ปลาหรือสัตว์น้ำสักตัวก็ไม่มี
“ไม่มีสัตว์น้ำสักตัว”
สิ่งผิดปกติที่ฉุกคิดได้ในใจเพราะโดยปกติในบริเวณที่เป็นซากเรือ ย่อมต้องกลายเป็นที่อยู่อาศัยของเหล่าสัตว์น้ำไปโดยปริยาย ซึ่งสัตว์ที่ต้องระวังให้มากที่สุดคงไม่พ้นงูทะเลที่จะซุกซ่อนอยู่ตามแนวไม้ที่ผุผังหรือไม่ก็ตามใต้ซากวัตถุโบราณที่มีจำนวนมากมายเหล่านี้ แต่น่าแปลกที่เขาไม่พบสัตว์อะไรสักตัว แม้แต่ปลาตัวเล็กตัวน้อยที่น่าจะมีให้เห็นบ้างก็ยังไม่มี
