บทที่ 9 พระอนุชาของฝ่าบาท
กิริยาของนางทำให้โจวเจ๋อฮั่นรู้สึกว่า บ่าวผู้นี้กำลังโกหก นายบ่าวคู่นี้ไม่อาจปล่อยไปได้จริงๆ เหตุใดจึงต้องพยายามปกปิดตัวตนของสตรีผู้นี้เพียงนั้น หากนางไม่มีเรื่องปิดบังจริง
คนของโจวเจ๋อฮั่นนำยาที่เคี่ยวเสร็จเข้ามาแล้ว ชุ่ยหลินพยายามป้อนหลิวซือซืออยู่หลายครั้งแต่ไม่เป็นผล
จวบจนสุดท้ายเป็นโจวเจ๋อฮั่นที่ต้องลงมือ เขาใช้ปากป้อนให้นางด้วยตนเอง
ชุ่ยหลินบ่าวผู้อ่อนแอถึงกับไม่อาจมองได้ แต่เพราะคุณหนูต้องดื่มยานางจึงได้แต่กล้ำกลืนความอดสูเอาไว้
คนผู้นี้ล่วงเกินคุณหนูซ้ำแล้วซ้ำเล่า
เรื่องนี้นางจะปล่อยให้คุณหนูรู้ไม่ได้เป็นอันขาด
เมื่อป้อนยาเสร็จ โจวเจ๋อฮั่นจึงลุกขึ้น ใบหน้าของเขาเรียบเฉยอีกทั้งยังเอ่ยเสียงเย็นกับชุ่ยหลินว่า
"เจ้ายังต้องตอบคำถามของข้าอีกหลายคำ"
"นะนายท่านได้โปรดเชื่อข้า ข้าไม่รู้เรื่องอันใดจริงๆ"
โจวเจ๋อฮั่นยังไม่ทันได้เอ่ยถาม คนของเขาก็เร่งเข้ามารายงานอย่างรวดเร็ว
"เรียนนายท่าน ท่านเจ้าเรือนถูกลอบสังหารขอรับ"
"บัดซบ"
ท่านอ๋องตะโกนอย่างขุ่นมัว เรื่องของเขากับสตรีผู้นั้นยังไม่คลี่คลายอีกทั้งเพิ่งกลับเข้ามาถึงเมืองหลวง
คิดจะพักผ่อนอย่างสงบก่อนจะไปเจอคนน่าเบื่อคนนั้นสักหลายวัน ท่านเจ้าเรือนที่คนของเขาเอ่ยถึงนั้นแท้จริงแล้วคือฮ่องเต้ผู้เป็นพี่ชายของเขานั่นเอง
"หากนางฟื้นให้พวกเจ้ารีบส่งม้าเร็วแจ้งข้าทันที คอยดูนางให้ดีให้นางรอข้าอยู่ที่นี่ห้ามนางไปไหนจนกว่าข้าจะกลับมาเข้าใจหรือไม่"
หลังจัดการย้ำกับคนของตนเองแล้ว โจวเจ๋อฮั่นไม่รอช้าที่จะควบม้ากลับวังหลวงทันที
เขาแน่ใจว่าเสด็จพี่ของเขาไม่ทรงเป็นอันตรายแน่ เพราะองครักษ์วังหลวงล้วนเป็นคนของเขาที่ฝึกฝนไว้เป็นอย่างดี
เพราะไม่ได้พบกันนานหลายปีจึงอดที่จะเป็นห่วงไม่ได้ อีกทั้งคนที่ลอบสังหารคงมีฝีมือไม่น้อยจึงเร้นกายเข้าไปในวังหลวงได้
เช่นนั้นความปลอดภัยของเสด็จแม่ก็ไม่อาจละเลยเรื่องนี้จึงสำคัญยิ่ง
หลงอี้หนานองครักษ์ของหลิวซือซือเป็นผู้มีวรยุทธ์สูงส่งไม่น้อย เมื่อเห็นเป็นโอกาสที่จะนำตัวคุณหนูออกมา
อีกทั้งคนที่เขาคิดว่าน่ากลัวที่สุดทั้งสองออกจากโรงเตี๊ยมไปแล้ว เขาจึงสั่งคนของเขาให้รมยาเหล่าองครักษ์หลวงที่เฝ้านางอยู่ด้านนอก
หลงอี้หนานผู้เก่งกาจไม่นานก็พาหลิวซือซือที่ยังไม่ได้สติพร้อมทั้งชุ่ยหลินออกมาจากโรงเตี๊ยมได้สำเร็จ
พวกเขาขึ้นรถม้ากลับเข้าจวนด้วยความเร่งรีบ ความเร็วของรถม้าทำให้พวกเขาหายเข้าไปในความมืด
ความจริงแล้วเป็นเพราะนานๆ คุณหนูได้ออกจากจวนสักครา นางจึงหาโอกาสเกเรไม่ยอมไปที่วัดเสียที กลับยังรั้งอยู่ในเมืองหลวงไม่ให้นายท่านรู้และเที่ยวเล่นจนมืดค่ำ
จวบจนต้องพักในโรงเตี๊ยมแห่งนี้และพบเรื่องน่ากลัวเข้า
เรื่องนี้องครักษ์หลงได้สั่งนางเอาไว้ พาคุณหนูกลับเข้าจวนและแจ้งแก่นายท่านว่าคุณหนูรู้สึกไม่สบาย ไม่อาจเดินทางไปที่วัดได้จึงจะเป็นการดีที่สุด
พระราชวังหลวง
"น้องข้าเจ้ามาแล้วหรือ ลุกขึ้นๆ "
โอรสสวรรค์พระพักตร์เปื้อนยิ้มเมื่อเห็นพระอนุชา ไม่คล้ายคนเพิ่งโดนลอบปลงพระชนม์เลยแม้แต่นิด
พระองค์หันมาทักทายเจ้าอี้เหวิน เมื่อเห็นว่าคนทั้งคู่โตขึ้นร่างกายกำยำล่ำสันจึงรู้สึกพอพระทัยเป็นอย่างยิ่ง
เพราะมีอาการเมาจึงร่ายคำชมออกมาไม่ขาดปาก อีกทั้งยังให้ของกำนัลแก่เจ้าอี้เหวินไปมากมาย
จวบจนโจวเจ๋อฮั่นรู้สึกว่าเขาพลาดและถูกพี่ชายหลอกให้เข้าวังเร่งด่วนเข้าแล้วจึงสั่งเจ้าอี้เหวินให้กลับไปยังโรงเตี๊ยมแห่งนั้น
"ท่านอ๋อง ท่านจะให้ข้าไปเฝ้าสตรีผู้หนึ่งด้วยตนเองนี่ไม่แปลกไปหรือ องครักษ์ที่ท่านทิ้งไว้ก็ไม่น้อยน่าจะไม่ทำเรื่องผิดพลาด"
"นักฆ่าพวกนั้นฝีมือดีไม่น้อย ข้ารู้สึกว่านางกำลังเป็นเป้าโจมตีอย่างไรเสียต้องป้องกันไว้ก่อน เป็นเจ้าเท่านั้นที่ต้องไปจัดการ"
ในที่สุดเจ้าอี้เหวินก็ยอมแพ้แล้ว อย่างน้อยนางผู้นั้นก็งดงามยิ่งการไปเฝ้าคนงามสำหรับเขาก็ไม่ใช่เรื่องไม่ดีอันใด เจ้าอี้เหวินจึงออกจากวังหลวงควบม้ากลับไปในทันที
ฮ่องเต้โจวซุ่นจื้อแห่งแคว้นเหลียงนับว่าเป็นโอรสสวรรค์ที่มีใบหน้างดงามคล้ายอิสตรี ดูบอบบางแต่องอาจเข้มแข็งเป็นหนึ่งด้านบุ๋นในแผ่นดินนี้ไม่มีใครเทียบได้ ด้วยพระพักตร์ที่งดงามหมดจดของฮ่องเต้จึงทำให้ในช่วงวัยเด็กถูกเข้าใจผิดว่าเป็นสตรีอยู่บ่อยครั้ง
ด้านท่านอ๋องหนุ่มใบหน้าของเขามีความหล่อเหลาคมคาย ร่างสูงกว่าฮ่องเต้เล็กน้อยสมบูรณ์แบบสมชายชาตรีเป็นที่เลื่องลือไปทั่วจนมีหญิงสาวทั่วแว่นแค้นต้องการถวายตัวให้เขา
ท่านอ๋องเก่งกาจด้านวรยุทธ์และเป็นนักวางแผนมาตั้งแต่เด็ก เป็นหนึ่งด้านบู้
สองหนุ่มสูงศักดิ์ผู้เพียบพร้อมมีอายุห่างกันเพียงสองปีมักจะตัวติดกันอยู่เสมอจนเป็นที่ชินตาของผู้พบเห็น
หนึ่งองค์ชายหล่อเหลา หนึ่งองค์รัชทายาทงดงามนับเป็นคู่พี่น้องที่ทุกคนล้วนลงความเห็นว่าเป็นเครื่องประดับชั้นดีของวังหลวงเป็นที่เจริญหูเจริญตาสร้างความสำราญทางด้านสายตาแก่ผู้พบเห็น
"กระหม่อมได้ข่าวว่าฝ่าบาทโดนลอบปลงพระชนม์จึงได้รีบรุดมาที่นี่ เห็นท่าทางเช่นนี้แล้วคิดว่าตนเองโดนหลอกเข้าแล้ว เป็นถึงฝ่าบาทเหตุใดกล่าวเท็จเช่นนี้ ช่างเป็นฮ่องเต้ที่น่ารังเกียจที่สุด"
โจวเจ๋อฮั่นลุกขึ้นเมื่อได้รับพระราชทานอนุญาตจากฮ่องเต้ผู้เป็นพี่ชายที่รัก
เขาและฝ่าบาทถือว่าเติบโตมาด้วยกันอย่างใกล้ชิดกันที่สุดในบรรดาพี่น้องทั้งหมด
มีเพียงเขาเท่านั้นที่สามารถเอ่ยประโยคน่าโดนประหารพวกนี้ออกไปได้โดยที่ผู้เป็นพี่ชายได้แต่ฟังแล้วหัวเราะออกมา
"น้องพี่คิดว่าอย่างไรล่ะ ถ้าข้าไม่บอกเจ้าเช่นนี้เจ้าจะยอมมาหาข้าเหรอ เจ้าจะใจร้ายกับข้าเกินไปแล้วท่านอ๋อง"
โอรสสวรรค์ตัดพ้อผู้เป็นอนุชาด้วยพระพักตร์สดใสหาได้ใส่ใจคำพูดจาประชดประชันนั่นแม้แต่น้อย
การเห็นเขาสุขสบายดีเช่นนี้ทำให้ฮ่องเต้โจวซุ่นจื่อรู้สึกผิดน้อยลงที่ทำให้น้องชายต้องลำบากอยู่ชายแดนมาหลายปี
แต่จะให้ทำเช่นไรได้เมื่อคนที่สามารถดูแลชายแดนในยามสงครามได้คงมีแต่น้องชายของเขาผู้นี้ แม้โจวเจ๋อฮั่นจะปากร้ายต้องแต่ยังเยาว์วัยแต่เขาก็หาได้ถือสา
เพราะสิ่งที่โจวเจ๋อฮั่นเอ่ยออกมาล้วนคือความจริงใจหาได้เสแสร้งเอาใจเขาเหมือนผู้อื่นแต่อย่างใด
จึงไม่นับเป็นเรื่องประหลาดที่ฝ่าบาทเช่นเขาจะนิยมชมชอบน้องชายผู้นี้เป็นอย่างยิ่ง
"ทรงหลอกกระหม่อม" อ๋องหนุ่มหน้าแดงด้วยโทสะ ส่งเสียงคำรามลอดไรฟัน
ถ้าเป็นเมื่อก่อนครั้งยังเยาว์เขาคงได้จบเรื่องนี้ด้วยกำปั้นกับฝ่าบาทผู้มากด้วยเล่ห์เพทุบายไปแล้ว