บทที่ 13 ร่วมโต๊ะอาหาร
บทที่ 13 ร่วมโต๊ะอาหาร
ตั้งแต่ที่เฉินรุ่ยเซียวไปส่งหลานสาวของเขาที่เรือนเสร็จพอกลับมาเขาก็รับรู้ได้ถึงสายตาสงสัยใคร่ของรู้อวี้หลางที่นั่งอยู่ใกล้ๆกันช่วยเขาทำงาน
“มีอะไรจะถามก็ว่ามา” เขาเอ่ยเสียงเข้ม
อวี้หลางที่เงยหน้ามองเจ้านายของเขาอยู่หลายครั้งส่งยิ้มแหยๆเป็นคำตอบ
“คุณหนูน่าเอ็นดูมากใช่ไหมขอรับ แล้วยังฉลาดกว่าเด็กทั่วไปด้วย” อวี้หลางบอก
เวลาที่อวี้หลางพูดถึงคุณหนูเล็กสกุลเฉิน ในแววตาของเขามักจะมีประกายของความเอ็นดูปะปนอยู่หลายส่วน
“พูดเรื่องอะไรไร้สาระ” เฉินรุ่ยเซียวทำท่าทางเหมือนหงุดหงิดกับสิ่งที่เขาได้ยิน
“โถ่ นายท่าน พวกเราอยู่กันแค่สองคนไม่เห็นจะต้องวางท่าอะไรเลย”
“เจ้าคิดมากไปแล้ว ข้าก็เอ็นดูนางเหมือนลูกหลานทุกคน” เขายังคงปากแข็ง
เฉินรุ่ยเซียวไม่อยากให้คนอื่นคาดเดาความคิดของเขาได้ สิ่งที่เขาตอบสนองเวลามีใครต้องการที่จะจับจุดอ่อนเขาเขาก็จะปิดมันไว้
“นายท่านเคยไปส่งคุณชายหรือคุณหนูสักคนที่เรือนด้วยหรือขอรับ” อวี้หลางเลิกคิ้วและถามอย่างรู้ทัน
“นั่นมัน...” เขาโดนจับได้เสียแล้ว
“คนเราเนี่ยแค่เอ็นดูหลานสักคนไม่เห็นต้องปิดบังเลย”
อวี้หลางพูดแต่ไม่ได้มองหน้าเจ้านายของเขา เขาหันไปทางอื่นราวกับว่ากำลังบ่นกับผนัง
“ข้าก็แค่รู้สึกว่าต้องชดเชยให้นางสักหน่อยก็เท่านั้น เด็กคนนั้นถูกทอดทิ้งมาตั้งสามปีข้าจะเอาใจใส่นางสักหน่อยจะเป็นอะไรไป”
“ถ้าเช่นนั้นก็ชดเชยให้นางมากๆนะขอรับ คุณหนูน่าเอ็นดูมากจริงๆ” อวี้หลางพูดจบก็หันไปทำงานของเขาต่อ
“ดูท่าจะเป็นเจ้ามากกว่านะที่เอ็นดูนางเป็นพิเศษ”
“แน่นอนขอรับ คุณหนูหกน่ารักน่าเอ็นดูนิสัยดีและยังเฉลียวฉลาดข้าย่อมเอ็นดูนางเป็นธรรมดา” อวี้หลางยอมรับตามตรง
มันไม่ใช่เรื่องที่เขาต้องปิดบัง อวี้หลางและท่านอัครมหาเสนาบดีนั้นนับว่าโตมาด้วยกัน มีอะไรก็พูดคุยกันได้ตามตรง
“ถ้าเอ็นดูนางมากนักก็ปกป้องนางให้ดีแล้วกัน”
ประโยคที่เขากล่าวอาจจะดูเหมือนคำพูดทั่วไปแต่มันแฝงความนัยบางอย่างไว้ เฉินรุ่ยเซียวมีหน้าที่ใหญ่หลวงมากมายเขาไม่สามารถที่จะปกป้องเด็กคนหนึ่งตลอดเวลาได้
“นายท่านก็ต้องช่วยข้าด้วยสิขอรับข้าแก่แล้วจะเอาแรงที่ไหนไปปกป้องนางกันเล่า” อวี้หลางบ่น
“ข้าแก่กว่าเจ้าตั้งกี่ปีเจ้าลืมไปแล้วหรือ”
“แก่ที่ไหนกัน นายท่านยังดูเหมือนหนุ่มยี่สิบปลายๆอยู่เลย” อวี้หลางทำหน้าล้อเลียน ถ้าจะให้นับดูก็คงมีแค่เขาและสองสามคนที่กล้าหยอกล้อกับท่านอัครมหาเสนาบดีเช่นนี้ได้
ตลอดหลายวันที่กลับมาอยู่ที่เมืองหลวงซินหยานได้ทำอะไรหลายอย่าง เรื่องเรียนนั้นเป็นเรื่องหลักอยู่แล้ว ต่อมาก็ได้พูดคุยกับท่านพ่อและเล่นกับพี่ชาย ได้ใช้เวลาดื่มน้ำชากับอวี้หลาง
จนมาถึงวันที่หก ทุกเจ็ดวันคนสกุลเฉินจะต้องมานั่งรับอาหารเช้าร่วมกัน ส่วนวันอื่นก็จะแยกกันไปกินตามครอบครัวของตัวเอง แต่ซินหยานไม่เคยไปนั่งกินกับครอบครัวของนางเลย ต่อให้จะทำตัวเข้มแข็งแค่ไหนแต่นางก็อยากจะหลบหน้ามารดาให้ได้นานที่สุดอยู่ดี
“ทางนี้ขอรับคุณหนู” อวี้หลางเป็นคนไปรับซินหยานด้วยตัวเอง
ทุกคนในสกุลเฉินต่างรู้ว่าอวี้หลางมีความสำคัญต่อท่านอัครมหาเสนาบดีอย่างไร หากผู้เป็นใหญ่ที่สุดในบ้านไม่อยู่เขาก็จะฝากฝังงานไว้กับอวี้หลางไม่ใช่บุตรชายคนโตของเขา
“ขอบใจนะ” ซินหยานส่งยิ้มให้คนที่เดินมาส่ง
ลำดับการนั่งจะเป็นท่านปู่ของนางนั่งอยู่ตรงหัวโต๊ะขนาบด้วยท่านป้าและท่านลุงของนาง ต่อมาก็เป็นท่านพ่อของนางและท่านอาหลังจากนั้นจะเป็นบรรดาสะใภ้และหลานๆตามลำดับ
เด็กน้อยไม่รู้ว่านางควรจะนั่งตรงไหน เพราะยังมีคนมาไม่ครบ ขาเล็กๆกำลังจะเดินไปนั่งที่สุดท้ายแต่ก็โดนเรียกไว้ก่อน
“นายท่านสั่งไว้ว่าให้คุณหนูหกนั่งตรงนี้ขอรับ” อวี้หลางผายมือไปที่นั่งที่ควรจะเป็นของหลานคนโตอย่างพี่ใหญ่ ลูกชายคนโตของท่านลุงของนางนั่นเอง
“พูดเรื่องไร้สาระอะไรของเจ้านั่นมันที่ของลูกชายข้านะ จะให้เด็กนั่นมานั่งได้อย่างไร” เสียงแหลมตะโกนมาแต่ไกล ท่านป้าสะใภ้ของนางนั่นเอง
สตรีผู้นี้คือศัตรูตัวฉกาจของนาง คนที่เล่นงานซินหยานได้โหดร้ายที่สุดก็คือสตรีคนนี้ น้าสะใภ้นางเทียบไม่ติดเลยล่ะ
“คารวะท่านลุง คารวะท่านป้าสะใภ้” ซินหยานเอ่ยทักทายพร้อมรอยยิ้ม
“หึ ท่านพ่อจะรับตัวอัปมงคลกลับมาทำไมก็ไม่รู้” นอกจากจะไม่รับไหว้แล้วยังพูดถ้อยคำถากถางกันอีก
เฉินซินหยานเลือกที่จะไม่ตอบโต้ นางบีบมือเข้าหากันแน่นจนมันเป็นรอย
“ลุกไป นี่ที่ข้า” เสียงของใครอีกคนดังขึ้นจากทางด้านหลังของซินหยาน
พลั่ก !
แรงผลักที่หนักเกินที่เด็กตัวเล็กจะรับไหวทำให้ซินหยานตัวเอนไปด้านหน้า
“คุณชายใหญ่ ! ” อวี้หลางตวาดเสียงเย็น
“ช่างมันเถอะอวี้หลาง มันไม่ใช่ที่ของข้าตั้งแต่แรก” ซินหยานกำลังจะลุกขึ้นแต่ก็มีเสียงที่คุ้นเคยเรียกนาง
“น้องหก ! เจ้าก็มาด้วยหรือ” พี่ชายของซินหยานเอ่ยด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น
“ไปนั่งจงอิ้น” เสียงดุของสตรีอีกคนทำให้เฉินซินหยานรู้สึกเย็นวาบไปทั้งแผ่นหลัง
นางรู้สึกเหมือนเวลาเดินช้าไปชั่วขณะ ลมหายใจควบคุมยากกว่าปกติ เหงื่อไหลซึมมือจนรู้สึกเหนียว คล้ายกับว่านางไม่สามารถบังคับให้ร่างกายขยับตามที่ต้องการได้เลย
ซินหยานก้มหน้าเพื่อหลีกหนีสถานการณ์ตรงหน้า
“ขอรับท่านแม่” จงอิ้นรับคำเสียงหงอย
ซินหยานตัดสินใจลุกไปนั่งที่สุดท้ายตัดปัญหา ก็ไม่ได้อยากนั่งด้วยอยู่แล้ว
และคนที่มาถึงคนสุดท้ายก็คือผู้เป็นใหญ่ที่สุดในจวน แต่ละย่างก้าวที่เขาเดินช่างมั่นคงและน่าเกรงขาม
“ข้าสั่งไว้ว่าอะไรอวี้หลาง เห็นคำพูดของข้าเป็นเรื่องเล่นๆหรือไง” เสียงทรงอำนาจตวาดกร้าว
“ไม่กล้าขอรับ เพียงแต่ฮูหยินใหญ่นางคงไม่ชินที่จะมีการขยับตำแหน่ง” อวี้หลางไม่ได้พูดโดยตรงแต่คนฟังก็พอจะเดาได้
“เจ้าไม่พอใจคำสั่งของข้างั้นหรือ” ท่านอัครมหาเสนาบดีจ้องหน้าลูกสะใภ้ของเขาและถามเสียงเย็น
“บุตรชายของข้าเป็นหลานชายคนโตจะให้นั่งต่อจากคนอื่นได้อย่างไรเจ้าคะท่านพ่อ”
“ก็เลยขัดคำสั่งข้าหรือ”
“ธรรมเนียมก็ต้องเป็นธรรมเนียมสิเจ้าคะ” นางยังคงไม่ลดละหรือยอมแพ้
ปัง !
อัครเสนาบดีเฉินทุบโต๊ะเสียงดังจนเด็กๆพากันสะดุ้งตัวโยน
“แล้วเจ้าเล่าซงลั่วเจ้าปล่อยให้คนอื่นทำเช่นนี้กับบุตรสาวของเจ้างั้นหรือ” เฉินรุ่ยเซียวถามลูกชายคนที่สามของเขาเสียงเย็น
“ข้า...เอ่อ” บิดาของซินหยานได้แต่อ้ำๆอึ้งๆ เขามองคนนู้นคนนี้ไปมา
“ท่านพ่อ อย่าทำเรื่องที่ทำให้ข้ารู้สึกผิดไปมากกว่านี้เลยเจ้าค่ะ” เสียงมารดาของซินหยานแทรกขึ้นมา
ซินหยานก้มหน้างุด นางอยากจะลุกออกจากที่นี่ไปให้เร็วที่สุด ไม่อยากที่จะได้ยินคำพูดใจร้ายมากไปกว่านี้อีกแล้ว
“เจ้าพูดเรื่องอะไร” มหาเสนาบดีเฉินขมวดคิ้วฉับ
“ข้าเลี้ยงลูกได้ไม่ดีเอง นางเกือบทำให้พี่ใหญ่ต้องเสียลูกชายไป แล้วข้าจะปล่อยให้นางไปนั่งแทนที่ของคุณชายใหญ่ได้อย่างไร” นางพูดโดยไม่หันไปสบตากับบุตรสาวแม้แต่นิด
ทุกคำพูดเสียดแทงที่มารดาของนางกล่าวซินหยานได้แต่กล้ำกลืนไปกับมัน จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เชื่อคำพูดกันอย่างนั้นสินะ
“เจ้านี่มัน ! เรื่องมันตั้งกี่ปีแล้ว หลักฐานก็ไม่มี เจ้าเคยรู้บ้างหรือไม่ว่าบุตรสาวของเจ้าต้องเจออะไรมาบ้าง” อัครมหาเสนาบดีเฉินชี้หน้าลูกสะใภ้ด้วยความหงุดหงิด
แม้แต่คนที่ไม่อยากยุ่งกับเรื่องของคนอื่นอย่างท่านอัครมหาเสนาบดีเฉินยังอดไม่ได้ที่จะเข้าข้างหลานคนเล็ก เขาแปลกใจยิ่งนักว่ามารดาของนางทนใจร้ายกับนางได้อย่างไรกัน
“สิ่งที่นางต้องประสบนั่นก็เป็นผลจากการกระทำของนางทั้งนั้น”
“ฮึ่ม ! ไม่ต้องกินมันแล้ว แยกย้าย ! ” อัครมหาเสนาบดีเฉินตวาดกร้าวก่อนจะลุกเดินออกไป
ซินหยานเงยหน้าขึ้นเพื่อมองหน้ามารดาของนาง นางอยากรู้จริงๆว่านางไปทำอะไรให้ท่านแม่ต้องโกรธเกลียดนางถึงเพียงนี้ ถ้าเกลียดกันมากขนาดนั้นแล้วคลอดนางออกมาทำไม
