EP 4
เพราะบอสเชิญแค่ระดับผู้จัดการกับผู้ช่วยเท่านั้น ราวครึ่งชั่วโมง รภัสรดา ดำรงค์รักษ์ ในวัยยี่สิบเจ็ดปีเต็มก็เดินออกจากห้องด้วยชุดพร้อมทำงานลงไปชั้นล่าง ใบหน้าสวยนั้นก็รองพื้นไว้เนียนกริบแล้ว ส่วนที่เหลือเอาไว้แต่งเติมตอนรถติดไฟแดง
เดซี่: ตื่นยังชะนี ฉันซื้อขนมจีบปูมาไว้ให้ตั้งแต่เมื่อวาน เอาไปเวฟกินกันตายนะ อยู่ในตู้เย็น
ขณะเดินไปหารถ เพื่อนใจสาวร่างแมนนามเดชาชาญ แต่บังคับให้เพื่อนๆ เรียกเดซี่ก็ไลน์มาหา ด้วยความรีบเลยไม่สามารถพิมพ์ตอบได้ในทันที ประตูรั้วที่ใช้รีโมทคอนโทรลก็กำลังเปิดออกช้า เลยเอาเวลาที่รอมาดัดขนตากับปัดมาสคาร่าแทน พอเสร็จถึงได้กดฟังก์ชันพูดแทนการพิมพ์ตอบกลับไป
สาวมั่น: กำลังจะออก แต้งสำหรับทุกอย่างนะจ๊ะเพื่อนเลิฟ รักนะจุ๊บๆ
เดซี่: กองไว้ตรงนั้นล่ะย่ะ ชะนีงานชุก
สาวมั่น: จ้า สัญญาว่าเย็นนี้จะรีบกลับมาทำของโปรดรอนะจ๊ะ ไปละๆ บ๊าย
พอเคลื่อนรถออกจากหน้าบ้านแฝดสองชั้นสามสิบห้าตารางวาในราคาห้าล้านต้นๆ ที่ยังผ่อนกับธนาคารยาวนานสามสิบปีอยู่ และได้มาจากน้ำพักน้ำแรงเกือบทั้งหมดแล้ว ก็ต้องจอดรอให้ประตูปิดเข้าก่อน เลยมีเวลาได้ปัดแก้มทั้งสองข้าง ใบหน้าที่เริ่มมีสีสันก็หันไปทางป้าร่างตุ๊ต๊ะผู้เป็นเพื่อนบ้านที่แสนดีตั้งแต่ซื้อบ้านและย้ายมาอยู่พร้อมกันเมื่อหลายปีก่อนแล้ว
“ทำไมวันนี้ไปช้าล่ะเอื้อย”
ปานวาดยืนรดน้ำต้นไม้อยู่หน้าบ้านหันไปทักทายด้ายใบหน้าเปื้อนยิ้ม
“เมื่อคืนเลิกงานดึกค่ะป้า หัวหน้าเลยให้เข้าช้าได้ ป้ากินมื้อเช้ายังคะ” แม้มือยังมีแปรงปัดแก้มอยู่ แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาที่จะหันไปยิ้มให้ป้าสักนิด
“กินข้าวต้มที่ทำให้เด็กๆ ก่อนไปโรงเรียนแล้วจ้ะ เมื่อเช้าป้าก็เรียกเดซี่มากินที่บ้านเลย เด็กๆ จัดไปคนละสองชามแล้วก็ขึ้นรถไปกับคุณลุงนั่นล่ะจ้า”
ด้วยความที่โรงเรียนของหลานปานวาดทั้งสองคนนั้นเป็นทางผ่านของเดชาชาญ วันไหนเด็กๆ ตื่นช้าจนไม่ทันรถมารับ เขาก็จะไปส่งให้ด้วย เพราะลูกสาวกับลูกเขยทำงานอยู่เกาหลีแบบไม่มีวีซ่ามาตั้งแต่ก่อนจะซื้อบ้านหลังนี้แล้ว
รภัสรดากับเพื่อนเลยคอยช่วยเหลือเรื่องไปนั่นมานี่ให้เสมอ ส่วนปานวาดก็จะช่วยดูแลบ้านเวลาทั้งสองไม่อยู่ รวมทั้งอาหารที่มักจะตักแบ่งมาให้ไม่ขาด
“ขอบคุณป้ามากนะคะ เย็นนี้เอื้อยว่าจะกลับเร็ว แล้วจะแวะตลาดทำกับข้าวเผื่อป้ากับหลานๆ ด้วย ไม่ต้องทำกับข้าวนะคะ”
“จ้า”
“เอื้อยไปก่อนนะคะ”
ไม่กี่นาทีรถญี่ปุ่นที่เหลืออีกปีจะผ่อนหมด ก็เลี้ยวออกถนนศรีนครินทร์มุ่งหน้าไปทางบางนา อันเป็นที่ตั้งของบริษัทที่ทำงานมาตั้งแต่อายุยี่สิบปลายๆ แล้ว ไม่ถึงชั่วโมงรถก็จอดกึกตรงลานหน้าตึกแปดชั้นเรียบร้อย ชั้นหกคือออฟฟิศของแผนกบริหารทรัพยากรบุคคลและแผนกอื่นอีก
“สวัสดีค่ะพี่เปิ้ล ทำไมมาแต่เช้าจังคะ”
“ถึงก่อนเราไม่เท่าไหร่หรอก บอสจิกให้ขึ้นไปคุยด้วยตั้งแต่ยังไม่เข้าออฟฟิศ แล้วสิบเอ็ดโมงก็สั่งให้เอื้อยขึ้นไปหาอีกคนนะ เห็นว่ามีเรื่องสำคัญจะคุยด้วย”
ยังไม่ทันได้นั่งด้วยซ้ำ นงคราญ ผู้จัดการฝ่ายทรัพยากรบุคคลซึ่งเป็นหัวหน้างานโดยตรงก็บอกเสียงใส มือนั้นก็ชงกาแฟไปด้วย เพราะเพิ่งมาถึงก่อนหน้าไม่นาน
“บอสบอกเปล่าคะว่าเรื่องอะไร”
“บอกจ้า แต่พี่พูดตอนนี้ไม่ได้ รู้แค่ว่าเป็นข่าวดี ถ้าเอื้อยตกลงนะ”
นงคราญยิ้มน้อยๆ แล้วประคองแก้วเข้าห้องทำงานตัวเองไป ทิ้งให้ผู้ช่วยสาวสวยใสชงกาแฟไปสงสัยไป หันไปมองพนักงานรุ่นน้องอีกสี่คนเผื่อจะรู้อะไรบ้าง ทุกคนต่างส่ายหน้าน้อยๆ เป็นคำตอบ เลยได้แต่เก็บความสงสัยเอาไว้เท่านั้น
ก่อนยกจานขนมจีบที่เอาออกจากไมโครเวฟใหม่ๆ แบ่งไปให้นงคราญ แล้วกลับมายกของตัวเองพร้อมประคองแก้วกาแฟเดินไปนั่งกินตรงโต๊ะ ควบคู่กับการอ่านเมลเป็นเรื่องแรก กระทั่งใกล้เวลาบอสสั่งให้ไปหา ถึงได้เดินขึ้นบันไดไปชั้นแปด ซึ่งเป็นออฟฟิศของเจ้าของบริษัทกับฝ่ายการตลาดและการขาย
“รีบไปเลยจ้ะเอื้อย บอสเพิ่งถามหากับพี่เมื่อกี้เอง”
วารีผู้เป็นเลขาหน้าห้องบอสรีบควักมือเรียก รภัสรดายกมือไหว้ด้วยท่าทีนอบน้อม มองผ่านกระจกใสไปก็เห็นบอสนั่งทำงานอยู่ เลยเดินไปเคาะประตูห้องบอสสองครั้ง รอจนบอสพยักหน้าอนุญาตถึงได้เปิดตูเข้าไป
“เชิญครับคุณเอื้อย”
จิตตินันท์ละสายตาจากกองเอกสารแล้วผายมือเชิญสาวตรงหน้า ผู้เสมือนกำชะตาบริษัท ซีซี ฟู้ด จำกัด ที่ผลิตและจำหน่ายผงปรุงรสสำเร็จรูปของเขาเอาไว้เกือบครึ่ง
“บอสมีอะไรจะให้เอื้อยรับใช้คะ” รภัสรดาเลือกคำนี้มาใช้เสมอเวลาคนเป็นบอสให้ขึ้นมาหา
“โห! เล่นคำนี้อีกแล้ว แบบนี้ผมรู้สึกผิดแย่เลย” บอสยิ้มแล้วมองสาวสวยตรงหน้า
“คืองี้ครับ...”
แล้วบอสหนุ่มหล่อก็ร่ายยาวถึงเรื่องความจำเป็นที่จะต้องขายกิจการหรือหาหุ้นส่วนมาช่วยบริหารให้รภัสรดารู้เป็นคนที่สี่ นับจากภรรยาของเขา ผู้จัดการฝ่ายการเงินและบัญชี กับนงคราญผู้เป็นหัวหน้างานโดยตรง