บทที่ 1
.
..
...
หลังจากฉันและน้องสาวตัวแสบ ช่วยแม่เตรียมร้านขายข้าวแกงหน้าบ้านเสร็จแล้ว ก็กลับเข้ามาทานข้าวในครัว หลังจากพ่อเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็ง พวกเราก็เหลือกันเพียงสามคนแม่ลูก อาศัยอยู่ในบ้านไม้สองชั้นหลังเก่า ๆ ในชุมชนแออัดแห่งหนึ่งใจกลางเมืองหลวง
ภาระอันหนักอึ้งของฉันกับแม่ก็คือ ส่งเสียยัยอิงฟ้าเข้าเรียนในโรงเรียนเอกชนมีชื่อแห่งหนึ่ง เพราะอยากให้มันได้มีสังคมดี ๆ จะได้มีอนาคตไกลกว่าการเป็นพนักงานบัญชีต๊อกต๋อย และแม่ค้าขายข้าวแกงอย่างพวกเราในตอนนี้
แม่หวังอยากให้ฉันมีสามีรวย ๆ เพื่อจะได้มาช่วยพยุงฐานะทางบ้าน ส่วนสิ่งที่แม่หวังกับ ‘อิงฟ้า’ ก็คืออยากให้มันเรียนสูง ๆ จะได้ทำงานดี ๆ เงินเดือนสูง ๆ ช่างต่างกันลิบลับเลยทีเดียว
“เรียนเป็นไงบ้างยะตอนนี้” ฉันเอ่ยถามน้องสาวขณะนั่งทานข้าวต้มอยู่ในครัว
“ก็ดี” มันตอบสั้น ๆ อย่างไม่ใส่ใจฉันเลยสักนิด เอาแต่จ้องหน้าจอมือถืออยู่นั่นล่ะ
“ถ้าเกรดไม่ถึงสามฉันจะให้แกกลับมาเรียนโรงเรียนวัดคอยดู”
“ถึงอยู่แล้วน่า อย่างฉันเก่งกว่าพี่ตั้งหลายเท่า ไม่ต้องห่วงหรอก”
“แล้วโทรศัพท์น่ะอย่าเล่นให้มันมากนัก”
“พี่ไม่ต้องมายุ่งกับฉันหรอก เอาตัวเองให้รอดก่อนเถอะ ถ้าหาผัวรวย ๆ มาเป็นลูกเขยแม่ไม่ได้มีหวังโดนเชือดแน่” ทำไมมันพูดแทงใจดำฉันอย่างนี้เนี่ย อิน้องเลว! ทำเอาซะเถียงไม่ออก
“หาได้อยู่แล้วย่ะระดับนี้”
“แหม ๆ ๆ ดูตัวเองหน่อยสิแต่งตัวก็เชย หน้าก็จืดชืดอย่างนี้ผู้ชายที่ไหนเขาจะมาชอบ อย่าฝันถึงผู้ชายรวย ๆ เลยแค่แฟนสักคนพี่ยังไม่มีเลย ถ้าไม่อยากขึ้นคานฉันแนะนำให้พี่เปลี่ยนตัวเองใหม่ ก่อนที่อะไรมันจะสายไป” พูดจบมันก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้ หยิบมือถือแล้วเดินออกไป ปล่อยให้ฉันนั่งเอ๋อแดกอยู่คนเดียว
“ไม่สวยตรงไหนเนี่ย” ฉันพูดกับตัวเองเบา ๆ พลางจ้องมองดูตัวเองแล้วยิ้มอย่างภาคภูมิใจ
ก่อนออกไปทำงานในทุก ๆ วันไม่ลืมที่จะไหว้ผู้หญิงคนนี้ ‘คุณนายพิมวดี’ หรือที่ลูกค้าเรียกเจ้พิม นางมีความฝันอยากเป็นคุณนายนั่งนับเงินกับเขาบ้าง เพราะอาศัยในบ้านไม้หลังเก่า ๆ นี้มาเกือบทั้งชีวิต
“หนูไปทำงานแล้วนะจ๊ะแม่” ฉันเอ่ยพร้อมกับยกมือไหว้ ในขณะที่แม่กำลังนั่งรอลูกค้าอยู่หน้าร้าน
“เออ ๆ โชคดีมีชัย รีบหาผัวรวย ๆ มาให้ฉันได้ชื่นใจเร็ว ๆ ทำงานงก ๆ จนเหงื่อท่วมตัวหมดแล้วเนี่ย” นี่คือคำอวยพรในทุก ๆ วันที่ฉันได้รับจากแม่ คุณรู้แล้วใช่ไหมว่าทำไมฉันถึงได้กล้าเข้าไปอ่อยบอสถึงในห้อง
“เลิกกดดันหนูแบบนี้สักทีเถอะแม่”
“ฉันจะพูดไปเรื่อย ๆ จนกว่าแกจะหาลูกเขยรวย ๆ มาให้ฉันได้ ถ้าแกไม่อยากได้ยินก็รีบหามาซะฉันจะได้เลิกขายข้าวแกงซะที”
“หนูไม่พูดกับแม่แล้วไปล่ะ”
ฉันรีบเดินสะพายกระเป๋าออกมาจากหน้าบ้าน เพื่อเดินไปขึ้นรถเมล์หน้าปากซอยเหมือนเช่นทุกวัน ต้องนั่งรถสองต่อกว่าจะถึงบริษัท บางทีมันก็เบื่อกับชีวิตมนุษย์เงินเดือน ตื่นนอน ไปทำงาน กลับบ้าน วนเวียนอยู่อย่างนี้ทุกวันแทบไม่มีเวลาให้กับตัวเองเลยสักนิด
ชีวิตในเมืองหลวงช่างมีแต่ความวุ่นวายแท้ แต่ฉันก็ชินซะแล้วล่ะเพราะเจออย่างนี้มาตั้งแต่เด็กจนโต เวลารถเมล์มาทีก็ต้องแย่งกันขึ้น ผู้โดยสารบนรถแน่นไม่ต่างจากปลากระป๋อง ส่วนคนที่แพ้อย่างฉันก็ต้องยืนรอรถคันต่อไปอย่างเซ็ง ๆ
“จะทันสแกนนิ้วไหมเนี่ย” ฉันยืนร้อนใจอยู่ป้ายรถเมล์ จ้องมองเวลาที่นาฬิกาข้อมืออยู่บ่อยครั้ง ปกติแล้วหากได้ขึ้นรถรอบนี้จะไปทันเวลาเข้างาน แต่ทว่าวันนี้คนเยอะผิดปกติ จนขึ้นไม่ทันจึงต้องรอคันต่อไปซึ่งไม่รู้ว่าจะมาอีกตอนไหนน่ะสิ
แป๊นๆ
จู่ ๆ รถหรูสัญชาติยุโรปก็ขับมาจอดเทียบริมฟุตบาทตรงหน้า ฉันขมวดคิ้วมองด้วยความสงสัยรู้สึกคุ้น ๆ กับรถสีดำคันนี้ซะเหลือเกิน แต่พออีกฝ่ายลดกระจกลงมาทุกอย่างก็ถูกเฉลย เป็นบอสสุดหล่อของฉันนั่นเอง กรี๊ดดดด!!!