2 ท่านหญิงตำลึงทอง
มู่หรงเยว่ชิงก็จะได้สิ่งที่นางปรารถนาทุกประการ
แต่ถึงแม้คุณชายทั้งหลายแหล่จะตามไม่ทัน หรือถึงรู้ก็น้ำท่วมปาก ไม่กล้าขัด เดี๋ยวจะตกเป็นขี้ปากชาวบ้านว่าเป็นคุณชายตระหนี่ถี่เหนียว
ขณะที่พวกนางเที่ยวเล่นกันอยู่นั้น กลับไม่รู้ตัวเลยว่ายังมีชายหนุ่มผู้หนึ่งที่สนอกสนใจนางตั้งแต่ตอนที่นางแกล้งสั่งอาหารเสียมากมายแล้ว เขาแอบตามดูนางอยู่เงียบ ๆ สำหรับเขาสาวงามนั้นมีมากมาย และมักจะเหมือนกันไปหมด อบรมมารยาทแบบเดียวกัน เรียนรู้การโปรยเสน่ห์ชนิดเดียวกันอย่างไม่ผิดเพี้ยน แต่กูเหนียงน้อยนางนี้ช่างแตกต่างและดึงดูดความสนใจเขาได้อย่างง่ายดาย และหากนางจะต้องการข้าวของเงินทองมาถมเป็นสะพานข้ามแม่น้ำ ด้วยฐานะและตำแหน่งของเขา ก็สามารถปรนเปรอให้นางอย่างไม่มีปัญหาใด ๆ ขอเพียงแต่นางไม่ทำให้เขาหมดความสนใจก็พอ
มุมปากบางของชายหนุ่มกระตุกยิ้มอย่างแนบเนียนจนยากที่ใครจะสังเกตได้
มู่หรงเยว่ชิงออกจากร้านด้วยชุดสี่ชุดในที่สุด พร้อมทั้งนัดวันตัดชุดใหม่ โดยให้ช่างไปหานางที่จวนใหญ่โตมโหฬารของท่านแม่ทัพใหญ่มู่หรงเซียนหลิว และแน่นอนว่า โดยที่คุณชายซ่งเฉียนจินเป็นคนจ่ายค่าใช้จ่ายล่วงหน้าทั้งหมด
“ท่านเหนื่อยหรือยังเจ้าคะคุณชาย”
“ข้าสิต้องถามเจ้า ตัวเจ้าก็เท่านี้ เอาแรงมาจากไหนนัก”
นางยกยิ้มมุมปาก “นาน ๆ ข้าถึงจะได้ออกมาสักที”
ยกเว้นตอนที่ชอบหนีทุกคนอย่างยากลำบาก นางต่อประโยคในใจ ก่อนจะถลาไปมุงดูการแสดงสดกลางตลาด ทั้งละครตลกและไต่เชือก มีผู้คนล้อมวงดูอยู่เป็นจำนวนมาก เมื่อถึงคราวที่การแสดงจบลงและมีการเรี่ยไรเงินตามความพอใจของผู้ชมการแสดง มู่หรงเยว่ชิงก็อยากจะแสดงความใจกว้างด้วยการให้เงินที่นางพกติดตัวมา แต่เมื่อก้มดู ใบหน้างามก็ต้องสลดลง
“มีอะไรหรือเจ้าคะคุณหนู” เพ่ยเพ่ยจับสังเกตได้ทันที
“ข้าอยากให้รางวัลพวกเขามากกว่านี้”
พูดยังไม่ทันจบซ่งเฉียนจินก็ควักเงินออกจากถุงผ้าที่พกเอาไว้แล้ววางลงบนมือเล็ก “เอ้า นี่”
“ขอบคุณเจ้าค่ะ” นางยิ้มร่าทันที
ทุกครั้งที่สมปรารถนาดวงหน้าของนางจะสว่างไสว และทำให้ผู้ที่ได้มองใจอ่อนยวบยาบ อยากจะมอบทุกสิ่งเพื่อตอบสนองความต้องการของนางเสมอ และนางก็รู้ความจริงข้อนี้ดีเสียด้วย
แม้จะคิดว่านี่เป็นการให้เงินที่ออกจะเกินความจำเป็น และเกินความสามารถของคณะนักแสดง แต่ในเมื่อมู่หรงเยว่ชิงออกปากว่าเงินเป็นกอบเป็นกำของตัวเองนั้นน้อยไป คุณชายซ่งเฉียนจินจึงจำต้องให้มากกว่านั้น
ลำพังไม่ถึงครึ่งวัน เขาก็หมดเงินมากกว่าจำนวนที่เคยใช้ทั้งเดือน!
“เจ้าเหนื่อยหรือยังเยว่ชิง อากาศเริ่มจะร้อนอบอ้าวแล้ว”
“ถ้าอย่างนั้น เราเข้าไปหลบแดดในร้านค้ากันดีกว่า”
ดวงตากลมสอดส่ายไปทั่ว มองเลยบรรดาร้านอาหารและแผง
ขายของมากมายไปทางท้ายตลาด ซึ่งเป็นแหล่งรวมร้านขายเครื่องประดับตั้งแต่ถูกยันแพง ท่านหญิงน้อยกะพริบตาถี่ มองชายหนุ่มที่ยืนอยู่เคียงข้างด้วยความวิงวอนร้องขอ
ซ่งเฉียนจินเริ่มทำหน้าวิตก เพราะรู้ดีว่านางหมายมั่นจะไปที่แห่งใด
“คุณหนูอยากไปที่ใดหรือเจ้าคะ” เพ่ยเพ่ยถามนำ เมื่อเห็นคุณชายซ่งยังไม่ยอมขยับ
“ข้าอยากไปร้านขายเครื่องประดับ อยากดูของสวย ๆ งาม ๆ แต่ดูท่า คุณชายซ่งคงเหนื่อยเสียแล้ว”
ซ่งเฉียนจินใบหน้ากระตุก ยอมให้มีการลบหลู่กันเกิดขึ้นไม่ได้เด็ดขาด จึงทำเคร่งขรึมแล้วเดินนำนางไปหนึ่งก้าว
“ข้ายังไม่เหนื่อยหรอก เป็นลูกผู้ชายอกสามศอก จะมาหมดเรี่ยวแรงจากการเดินตลาดได้อย่างไร มาเถอะ อยู่ตรงนี้เจ้าจะเป็นลมแดดเอาได้”
มู่หรงเยว่ชิงสบตากับสาวใช้ ก่อนจะลอบยิ้มให้กัน จากนั้นทั้งสามก็เดินไปตามจุดมุ่งหมายที่ตั้งใจเอาไว้ นางแวะดูของเกือบทุกร้านไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ เนื้อตัวสั่นระริกอย่างคนมีความสุขล้น เมื่อเห็นประกายวิบวับยามต้องแสงอาทิตย์ของทับทิม มรกต หรือแม้แต่หยกชิ้นเล็ก ๆ
“ชิ้นนี้เหมาะกับท่านนะเจ้าคะคุณหนู” แม่ค้าผู้รู้งานยื่นกำไลทองมาให้ด้วยท่าทางนอบน้อม
มู่หรงเยว่ชิงหันมองซ่งเฉียนจิน เมื่อเขาพยักหน้า นางจึงหยิบมาสวมด้วยความชอบใจ “ท่านคิดว่าอย่างไรเจ้าคะ” และไม่ลืมถามความเห็นของชายหนุ่มด้วย
“สวยงามมาก” ชายหนุ่มคิดเอาว่าเมื่อนางได้ของสักสองสามชิ้นก็คงจะเบื่อและพอใจสักที เพราะของที่คนรับใช้ของทั้งสองคนถือก็แทบจะหอบกันไม่หวาดไม่ไหวแล้ว
“ข้าเอาอันนี้แล้วกัน”
“ไม่ดูชิ้นอื่นอีกหรือเจ้าคะ คุณหนูผิวพรรณดีเหลือเกิน ถ้าได้หยกไปส่งเสริมคงจะดีไม่น้อย” แม่ค้านำเสนอสินค้าชิ้นถัดไปทันที
“งั้นหรือ” นางทำท่าทีลังเล
“ลองดูก็ไม่เสียหายนะเยว่ชิง” คุณชายยังทำใจกว้าง
“คนรักของท่านช่างน้ำใจกว้างขวาง เป็นคู่บุญคู่บารมีที่เหมาะสมกันจริง ๆ” แม่ค้าปากหวานจีบปากจีบคอพูด
มู่หรงเยว่ชิงไม่ค้านความเข้าใจผิด เพราะคำเยินยอนั้นมีแต่จะทำให้ซ่งเฉียนจินพอใจและไม่ขัดเมื่อนางเลือกซื้อของมากขึ้นเรื่อย ๆ กระทั่งนางเดินเข้าไปอีกร้านที่อยู่ห่างไปไม่มากนัก พ่อค้าก็ใช้คำเยินยอเดิม และนางก็ทำเป็นหลงใหลได้ปลื้มจนเขายอมซื้อปิ่นปักผม สร้อย และต่างหูอย่างละหลายชิ้นมาด้วย
“เจ้าไม่รู้หรือว่าพวกเขาเพียงแต่พูดไปอย่างนั้น เพื่อให้เจ้าเคลิบเคลิ้มและยอมจ่ายเงินเป็นจำนวนมหาศาล”
หลังจากที่จับจ่ายจนกระเป๋าเงินร่อยหรอซ่งเฉียนจินก็ทนไม่ไหว เขาดึงนางมาหลบมุม แล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่สะกดข่มความไม่ชอบใจเอาไว้
“ท่านจะบอกว่าข้าไม่ได้งามแบบที่ทุกคนพูดหรือเจ้าคะ” นางทำหน้าง้ำถามอย่างไร้เดียงสา
“ไม่ ๆ โปรดอย่าเข้าใจผิด แต่นี่เราก็ซื้อของมามากแล้ว บางทีเจ้าเวียนใช้จนครบปีก็ยังใช้ไม่หมด อย่าไปหลงกลพวกเขาอีกเลย” ชายหนุ่มพยายามแก้ไขความเข้าใจผิด
“แต่คุณชายเจ้าคะ การที่ท่านซื้อของสารพัดชนิดให้ข้า ล้วนเป็นเรื่องดีทั้งสิ้น”
“แน่นอนว่ามันเป็นเรื่องดี คือทำให้เจ้ามีความสุข และของสวยงาม ก็ต้องคู่กับสตรีเช่นเจ้า แต่เราไม่ควรหลงกลพ่อค้าหัวใสพวกนี้” เขาพยายามหาเหตุผลมาค้าน โดยไม่ทำให้ตัวเองดูเป็นคนจิตใจคับแคบ
“แต่หากท่านแสดงความร่ำรวย ท่านก็มีแต่ได้หน้าได้ตา ถูกชื่นชมไปทั้งเมืองว่าคุณชายตระกูลซ่งช่างเลิศเลอทั้งรูปโฉมและอุปนิสัย เหมาะสมกับบุตรีท่านแม่ทัพใหญ่เป็นที่สุด และการที่เราซื้อของเหล่านี้ ก็ถือเป็นการช่วยพ่อค้าแม่ค้าด้วยนะเจ้าคะ”
“ก็ใช่” เขาจำต้องยอมรับ ก่อนจะพูดสิ่งที่เก็บงำมานาน “แต่เงินที่ข้านำมาด้วยได้ถูกใช้ไปหมดแล้ว เราซื้อสิ่งใดเพิ่มไม่ได้แล้ววันนี้”
“แต่ท่านจะพาข้ามาเที่ยวอีกใช่ไหมเจ้าคะ” นางถามด้วยความหวัง
“หากว่างจากงานข้าจะมา” เขาตอบเป็นเชิงเลี่ยง และนางก็รู้ทันทีว่าคุณชายที่ท่านพ่อออกปากให้นางยอมมาเสียเวลาด้วย กำลังจะถอดใจเสียแล้ว
แต่นางก็ไม่ได้รู้สึกเสียอกเสียใจอะไร นางไม่ได้มีใจพิศวาสเขาแม้แต่น้อย เพียงแต่ยอมใช้เวลาครึ่งค่อนวันอยู่ด้วยเพราะรู้ว่าเขาจะตามใจนางก็เท่านั้น และตอนนี้ เมื่อหันไปมองด้านหลัง นางก็อดยิ้มออกมาไม่ได้ กับจำนวนของที่เพ่ยเพ่ยและคนติดตามของเขาได้หอบหิ้วเอาไว้
“ถ้าอย่างนั้น เรากลับกันเลยก็ได้เจ้าค่ะ”
นางแทบจะได้ยินเสียงเขาถอนหายใจ
“ก็ดีเหมือนกัน”
เมื่อออกมานอกร้าน ซ่งเฉียนจินก็รู้สึกหายใจหายคอโล่งขึ้น ส่วน
มู่หรงเยว่ชิงก็เคลิ้มฝันถึงการได้เอาเครื่องประดับและชุดสวยออกมาดูอีกครั้งเมื่อกลับถึงจวน
ขณะที่อีกมุมหนึ่งของร้าน บุรุษผู้ปักใจกับรอยยิ้มและความ
แสบสันของนางกำลังยืนอมยิ้มอยู่กับกลเม็ดเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่นางใช้ เขาหมายมั่นว่าคิดว่าต้องรู้ให้ได้ว่านางคือใคร หากไม่ติดว่ามีหน้าที่ที่ต้องทำอยู่ เขาก็คงจะตามนางไปเสียตั้งแต่ตอนนี้
แต่มันจะยากเย็นอะไรกัน ในการที่จะตามหาโฉมงามผู้มีรอยยิ้มหวานหยด ท่าทางร่าเริงเปี่ยมไปด้วยความสุข และกลิ่นกายที่หอมจนเพียงแค่เดินผ่านกลิ่นนั้นก็ฝังตรึงอยู่ในความทรงจำ
ซ่งเฉียนจินไม่ได้ลงจากรถม้า เมื่อมันมาจอดเทียบหน้าประตูขนาดใหญ่ที่ปิดสนิทของจวนแม่ทัพ พอรถแล่นผ่านไปด้วยความรวดเร็วจนลับสายตาในที่สุด ทั้งนายทั้งบ่าวก็หัวเราะออกมาพร้อมกันอย่างสุดเสียง
เพ่ยเพ่ยถึงขนาดปาดน้ำตาขณะเปิดประตูแล้วเรียกให้หญิงรับใช้ที่อยู่แถวนั้นมาช่วยถือของ ก่อนจะพูดเสียงเล็กเสียงน้อย “คุณหนูของเพ่ยเพ่ยฉลาดหลักแหลมนัก ได้ทุกสิ่งที่ต้องการโดยไม่เปลืองเนื้อเปลืองตัวเลยแม้แต่น้อย”
“ใครบอกให้เขาหลงความงามจนได้เรื่องกัน” นางตอบอย่างไม่ยี่หระ “เจ้าเห็นสีหน้าของคุณชายตอนข้าบอกว่าอยากไปร้านขายเครื่องประดับหรือไม่”
“หน้าซีดเผือดเป็นไก่ต้มเลยเจ้าค่ะ”
“เขาคงไม่กล้าแวะเวียนมาหาข้าอีกแล้วละ” นางชี้ให้คนวางของทั้งหลายบนโต๊ะ “แต่ก็ช่างปะไร”
มารดาเคยเตือนว่า หากนางยังคงหลอกล่อให้ทุกคนที่มาเกี้ยวต้องใช้จ่ายเงินเป็นจำนวนมาก เห็นทีนางจะแต่งงานออกเรือนได้ยาก แต่นางกลับคิดว่าหากไม่มีใครเหมาะสมแล้วละก็ นางยังมีสมบัติมหาศาลรออยู่ ไม่จำเป็นต้องพึ่งพิงบุรุษสักนิด
นางเองก็บอกสาเหตุมิได้ว่าทำไมถึงคิดเช่นนั้น