2 แขกประจำ
วันต่อมา ในช่วงเวลาบ่ายสามโมงกว่าๆ ตอนที่อาหนานกำลังวัดตัวให้ลูกค้าอยู่นั้น ฮุ่ยเฉินที่มาเมื่อวาน ก็เปิดประตูเดินเข้ามาในร้าน
“สวัสดีครับคุณฮุ่ย กรุณานั่งรอสักครู่นะครับ” อาหนานส่งเสียงทักทาย แล้วรีบบริการลูกค้าคนปัจจุบันให้เสร็จโดยไว เพื่อจะได้ไปต้อนรับผู้มาใหม่
“ครับ” เจ้าของชื่อตอบรับ และนั่งลงยังโซฟารับแขก แล้วหยิบหนังสือพิมพ์ที่วางอยู่บนโต๊ะมาอ่านรอ
หลังจากส่งลูกค้าคนนี้ออกจากร้านไปแล้ว อาหนานก็รีบไปนำน้ำชามาเสิร์ฟให้ และถามอย่างชวนคุย เพราะเห็นว่ามีถุงของเล่นชิ้นใหญ่ วางอยู่ข้างตัวคนด้วย “วันนี้มาเล่นกับอาอวี้หรือครับ”
“ครับ มาหาอาอวี้ ผมซื้อของเล่นมาฝากเขาน่ะครับ” พลางหยิบถุงของเล่นมายื่นให้ด้วย
“ขอบคุณครับ วันหลังแค่แวะมาเฉยๆ ก็ได้ ส่วนวันนี้ เกรงว่าจะมาเสียเที่ยวแล้วล่ะครับ อาอวี้นอนยังไม่ตื่นเลย เขานอนกลางวันช่วงบ่ายสองโมงครึ่งถึงบ่ายสามโมงครึ่งน่ะครับ” อาหนานอธิบายให้ฟัง เผื่อว่าวันหลังจะได้ไม่มาเสียเที่ยว
“แล้วตอนเช้าล่ะครับ” คนมาเสียเที่ยวถามให้แน่ชัด เพราะบางครั้งตอนเช้าเขาก็ว่างเหมือนกัน
“ตอนเช้าตื่นหกโมง นอนอีกทีสิบเอ็ดโมงถึงเที่ยงน่ะครับ” คนถูกถามตอบ และนึกในใจ ว่างขนาดนั้นเลยเหรอ
แต่ก็อย่างว่าล่ะนะ เป็นเจ้านาย บทจะว่างก็ว่าง บทจะงานเยอะยุ่งยากก็แทบไม่มีเวลาได้หยุดพัก...คิดเองตอบเองเสร็จสรรพ
“ไม่เป็นไรครับ ผมรอดีกว่า วันนี้ผมว่างน่ะครับ” ฮุ่ยเฉินบอก หลังจากเห็นว่าใกล้ถึงเวลาที่เด็กน้อยจะตื่นแล้ว จึงส่งยิ้มขอโทษไปให้ด้วย ที่มารบกวน
“เชิญตามสบายครับ อย่างนั้นผมขอตัวไปทำงานก่อนนะครับ” อาหนานเอ่ยขอตัวไปทำงาน หลังจากนำน้ำชามาเสิร์ฟแล้ว
“ครับ” ฮุ่ยเฉินตอบรับ ก่อนจะนั่งอ่านหนังสือพิมพ์ไปเงียบๆ ส่วนอีกคนก็กลับไปทำงานของตัวเอง
สักพัก เสียงร้องไห้ของอาอวี้ก็ดังขึ้น อาหนานที่กำลังเขียนรายละเอียดของชุด ที่จะส่งให้โรงงานตัดเย็บอยู่ ก็รีบวิ่งไปยังห้องลองชุดห้องหนึ่ง โดยมีสายตาของฮุ่ยเฉินมองตามหลังไปด้วย พักใหญ่ ถึงได้เห็นคนเป็นพ่อ อุ้มลูกชายตัวน้อยออกมา
“อาอวี้เป็นอะไรเหรอครับถึงร้อง” ฮุ่ยเฉินถามด้วยความสงสัย เพราะตัวเขายังไม่มีลูก จึงไม่รู้ว่าเด็กน้อยร้องไห้เพราะอะไร
“เรื่องปกติของเด็กนะครับ ที่ตื่นนอนใหม่ๆ จะร้องไห้ แต่บางครั้งก็ไม่ร้องหรอกนะครับ ก็แล้วแต่อารมณ์ของเด็กอีกล่ะครับ” อาหนานยิ้มอธิบายให้ฟังอย่างผู้รู้ เพราะเด็กน้อยเอาแน่เอานอนไม่ได้
“อ้อ ครับ” ตอบรับอย่างเข้าใจ ทั้งมองเด็กชายตัวน้อย ที่กำลังสะอึกสะอื้นอยู่ในอ้อมกอดของพ่ออย่างน่าสงสาร แต่พอพ่อเอาของเล่นที่เขาซื้อมาให้ มาล่อแป๊บเดียว ก็ยิ้มร่าอารมณ์ดีขึ้นมาเสียอย่างนั้น
“เด็กเล็กก็อย่างนี้ละครับ เดี๋ยวก็ร้องไห้ เดี๋ยวก็หัวเราะ” อาหนาน อธิบายเพิ่มเติมให้คนที่มองอยู่ได้เข้าใจด้วย
“ครับ ดูคุณเลี้ยงลูกเก่งจังเลยนะครับ” เอ่ยชมอย่างนับถือที่คนทั้งทำงานไปด้วย และเลี้ยงลูกไปด้วย
“จำเป็นน่ะครับ เพราะแม่เขาไปสวรรค์แล้ว ผมจึงต้องเลี้ยงให้ได้” อาหนานบอกอย่างทอดถอนใจ และจำยอมต่อสภาพของตัวเอง เพราะสถานการณ์บีบบังคับ ให้เขาต้องเลี้ยงลูกชายในนามคนนี้ให้ได้
มาอยู่ที่เมืองนี้ได้ไม่เท่าไหร่ แม่ของอาอวี้ก็จากไป ทิ้งลูกน้อยไว้ให้เขาเลี้ยงดูเพียงลำพัง ยังดีที่เจ้าของร้านคนก่อนหน้าท่านใจดีและรักเด็ก เลยให้เขาอยู่ที่นี่ต่อ และอนุญาตให้เลี้ยงลูกไปด้วยทำงานไปด้วยได้ ตัวเขาและแม่ของอาอวี้ มาอยู่ที่เมืองนี้อย่างผิดกฎหมาย ถ้าหากว่าเจ้าของร้านไม่ให้อยู่ต่อ เขาคิดไม่ออกเลยจริงๆ ว่าจะทำอย่างไรต่อไป เพราะเงินที่ติดตัวมาก็ไปจ้างเขาปลอมแปลงเอกสารประจำตัวจนเกือบหมด โดยเหลือไว้เพียงนิดหน่อย เพื่อเก็บเอาไว้ใช้ตอนคลอดเด็กออกมาเท่านั้น
“เสียใจด้วยนะครับ” ฮุ่ยเฉินแสดงความเสียใจ ที่อาหนานต้องสูญเสียคนรักไป เหมือนกับตัวเอง
“ครับ” ตอบรับอย่างปลงๆอย่างพอจะทำใจได้บ้างแล้ว
สักพัก ก็มีลูกค้าเดินเข้าร้านมา อาหนานจึงส่งอาอวี้ไปให้ฮุ่ยเฉินดูแล แล้วตัวเองก็ไปต้อนรับลูกค้า นานพักใหญ่ ถึงได้กลับมาหาทั้งสองคนนี้
“รบกวนคุณจังเลยครับ เหมือนมาเป็นพี่เลี้ยงให้เลย” อาหนานเอ่ยด้วยความเกรงใจ แม้อีกฝ่ายจะมาเองก็เถอะ แต่ก็อดไม่ได้อยู่ดี
“ไม่รบกวนหรอกครับ ผมได้มาเล่นกับอาอวี้ ผมมีความสุขมากจริงๆ ผมต้องขอบคุณคุณอาหนานเสียอีก ที่อนุญาตให้ผมมาเล่นกับแก ว่าแต่ทั้งร้านนี้ มีแค่คุณคนเดียวเองเหรอครับ” ฮุ่ยเฉินขอบคุณอีกฝ่าย และถามกลับด้วยความสงสัย เพราะเขามาตั้งนานแล้ว ก็ยังไม่เห็นมีใครคนอื่นอีกเลย
“ครับ ความจริงลูกค้าร้านนี้ก็ไม่ได้เยอะ ถึงขนาดต้องจ้างคนมาเพิ่ม เพียงแต่ผมต้องดูแลทั้งเจ้าตัวเล็กนี่และลูกค้าด้วย จึงทำให้ดูเหมือนยุ่งยากมากก็เท่านั้นเองน่ะครับ” ชี้แจงให้คนสงสัยได้รับรู้ไปตามตรง
“ถ้าเกิดลูกค้ามาพร้อมกันจะทำยังไงล่ะครับ” ฮุ่ยเฉินถามอีกครั้งด้วยความอยากรู้ เพราะตัวคนเดียวจะรับมือกับลูกค้าและลูกชายที่งอแงพร้อมกันได้อย่างไร
“ก็ต้องปล่อยให้แกเล่นคนเดียวในคอกกั้นเด็กนั่นล่ะครับ” พลางชี้ไปยังคอกกั้นเด็ก ที่มีของเล่นไม่กี่ชิ้นวางอยู่ในนั้น เห็นอย่างนี้ ฮุ่ยเฉินก็รู้สึกไม่ชอบใจขึ้นมา เมื่อคิดว่าอาอวี้ต้องนั่งเล่นอยู่ในนั้นเพียงลำพัง
"แต่บางครั้งที่แกไม่ยอมหรอกนะครับ ดังนั้นผมจึงต้องอุ้มไปด้วย ต้อนรับลูกค้าไปด้วย" อาหนานยิ้มเล่าให้ฟังอย่างอารมณ์ดี เมื่อนึกถึงวันเวลาที่แสนยุ่งยากก่อนหน้านั้น
“หม่ำๆ” จู่ๆอาอวี้น้อยที่กำลังเล่นของเล่นอยู่ ก็ร้องบอกว่าตัวเองหิวนมแล้ว
“อาอวี้หิวแล้วเหรอครับ” คนเป็นพ่อถามลูกชาย ทั้งมองดูนาฬิกาที่แขวนอยู่บนผนัง สี่โมงครึ่งแล้ว ก่อนจะหันไปบอกกับลูก “รอก่อนเดี๋ยวพ่อไปเอานมมาให้”
พูดจบ ก็ลุกเดินออกไปชงนมมาให้ลูกชาย
เมื่อกลับมา ฮุ่ยเฉินที่เล่นอยู่กับอาอวี้ก็ลุกขึ้น แล้วบอกว่าตัวเองมารบกวนนานแล้ว ขอตัวกลับก่อน ว่างๆ จะแวะมาอีก ซึ่งก่อนจะจากไป ก็ได้อุ้มเด็กชายตัวน้อยมากอด หอมแก้มและบอกลา แล้วเดินออกจากร้านไป
“อาอวี้ของพ่อน่ารักขนาดนี้ ใครๆ ก็รักล่ะนะ” อาหนานเอ่ยกับลูกชายที่กำลังนอนดูดขวดนมกลิ้งไปกลิ้งมา อยู่บนโซฟาด้วยความรักใคร่ แต่สักพัก ลูกชายที่น่ารักก็ขว้างขวดนมทิ้งลงพื้น แล้วเดินเปะปะไปทั่วร้าน
“จะไม่น่ารักก็ตอนนี้นี่แหละ” ส่ายหัวพึมพำให้กับลูกชายด้วยความมันเขี้ยว เพราะตัวเองเพิ่งจะชมไปเมื่อครู่นี้เอง
.........................
ฝ่ายฮุ่ยเฉิน หลังออกจากร้านเสื้อ ก็ตรงมาขึ้นรถที่จอดอยู่ เมื่อขึ้นรถแล้ว ก็โทรไปหาลั่วหมิงผู้ช่วยของตัวเอง เพื่อสอบถามถึงเรื่องที่ให้ไปจัดการให้
(คุณถงไปต่างประเทศยังไม่กลับมาเลยครับ เลขาคุณถง บอกว่า จะกลับมาตอนสิ้นเดือนนี้ครับ) ลั่วหมิงรายงาน เพราะเบอร์โทรที่อาหนานให้มา เป็นเบอร์เลขาของคนที่ถูกพูดถึงนั่นเอง
หลังจากวางสายแล้วก็ให้รู้สึกหงุดหงิดนัก
เจ้าบ้าถงหลินนี่ไปทำอะไรกัน งานการไม่สนใจทำหรือไงนะ วันนี้ก็เพิ่งจะวันที่สองเอง อีกตั้งหลายวันกว่าจะสิ้นเดือน
ฮุ่ยเฉินบ่นให้เพื่อนอย่างไม่พอใจ บ่นจบ ก็ขับรถมุ่งหน้าไปยังไนต์คลับที่ตัวเองเป็นหุ้นส่วนอยู่
ตั้งแต่ฉู่อวี้จากไป ที่นี่ก็แทบจะกลายเป็นบ้านอีกหลังของเขาไปโดยปริยาย เพราะเขาไม่อยากกลับไปบ้าน ที่มีเขาอยู่เพียงลำพัง ทุกคืนที่ว่าง เขาจะมานั่งอยู่ที่นี่ เพื่อฆ่าเวลาให้ผ่านพ้นไป จนกระทั่งดึกดื่นล่วงเข้าวันใหม่ ถึงได้เรียกคนขับรถมารับกลับบ้าน
เมื่อตื่นขึ้นมาในเช้าวันใหม่ ก็ให้รู้สึกปวดหัวนัก พ่อบ้านที่เข้ามาปลุกทุกเช้า ก็จะนำน้ำชาแก้เมาค้าง มาให้ดื่มด้วยอย่างรู้ใจและบ่นให้ดั่งเช่นทุกวัน
“ดื่มทุกวันอย่างนี้ คุณๆ ทั้งสามที่อยู่บนสวรรค์ จะต้องไม่พอใจแน่ๆเลยครับ ถนอมสุขภาพหน่อยเถอะครับ” พ่อบ้านวัยหกสิบกว่า ทว่ายังแข็งแรงดีมากเตือนด้วยความเป็นห่วง
“กี่โมงแล้วครับ ลุงหลี่ ” ฮุ่ยเฉินถามอย่างง่วงงุน ดวงตาปรือปรอย ไม่อยากจะตื่น ด้วยเมื่อคืนดื่มหนักไปหน่อย
“จะเก้าโมงแล้วครับ คุณลั่วโทรมาบอกว่า วันนี้ท่านหวังขอเลื่อนนัดเป็นวันหลังครับ วันนี้ไม่สะดวก” พ่อบ้านหลี่รายงาน เรื่องที่ผู้ช่วยลั่วหมิงโทรมาให้คนเมาค้างได้รับทราบ
“ครับ” ตอบรับจบ ก็ยกชาขึ้นจิบ
อยู่ๆ ก็ว่างอย่างกะทันหันจึงทำให้ไม่คุ้นชินอยู่บ้าง แต่พอนึกได้ว่า ตัวเองไม่ได้ไปเยี่ยมคนรักนานมากแล้ว จึงสั่งพ่อบ้านให้ช่วยเตรียมของที่ฉู่อวี้ชอบให้ สั่งจบ ก็รีบลุกออกจากเตียงนอน มาทำธุระส่วนตัวให้เสร็จ แล้วออกจากบ้านไป
ณ สุสานอันเงียบสงบ ในเขตชานเมืองของเมือง C บรรยากาศที่เงียบเหงาและอ้างว้าง ของสถานที่แห่งนี้ ช่างชวนให้คนหดหู่ใจยิ่งนัก
“อาอวี้ ผมมาหาคุณแล้ว ขอโทษที่ผมไม่ได้มาหาคุณตั้งนาน เพราะผมต้องทำตัวให้ยุ่งยากเข้าไว้ ถ้าไม่ทำอย่างนั้น ผมก็กลัวว่าตัวเองจะเป็นบ้าไปเสียก่อน เพราะผมคิดถึงคุณมาก”
ฮุ่ยเฉินที่ยืนสงบนิ่งอยู่หน้าป้ายหลุมศพหลุมหนึ่ง รำพึงรำพันกับคนที่นอนอยู่ในนั้นด้วยความเศร้าโศก พูดไปก็น้ำตาคลอไป ก่อนจะนึกถึงเรื่องที่ตัวเอง ได้เจอกับเด็กชายตัวน้อยได้ จึงเล่าให้คนรักฟัง “ผมได้เจอเด็กคนหนึ่ง หน้าตาเหมือนคุณมากเลย แม้ กระทั่งชื่อ ก็ยังออกเสียงอวี้เหมือนกันด้วย เด็กคนนั้น เห็นหน้าผมครั้งแรก ก็เรียกผมว่าป๊าเลยนะ และที่น่าประหลาดใจมากก็คือ ตอนที่ผมอุ้มเด็กคนนั้น เหมือนกับว่ามีคุณมาโอบกอดผมด้วยอีกคน”
พูดจบ ก็เงยหน้าขึ้นมองฟ้า เพราะไม่อยากให้น้ำตาตัวเองไหลลงมา ให้คนที่นอนอยู่ไม่สบายใจ สักพัก ก็พูดต่ออีกว่า “แต่เด็กคนนี้คงไม่ใช่คนที่เราตามหา”
เอ่ยเสียงเศร้าอย่างผิดหวัง
ฉู่อวี้ เป็นชายคนรักของเขา ที่จากไปได้เกือบสองปีแล้ว พวกเขาสองคน คบหากันมาตั้งแต่ตอนเรียนมหาวิทยาลัย ได้ร่วมกันฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆ จากครอบครัวและคนรอบข้าง จนได้มาครองคู่กัน พวกเขาได้ช่วยกันก่อตั้งบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ขึ้นมา จนประสบความสำเร็จและมีชื่อเสียง ทว่าคนกลับอยู่ร่วมชื่นชมความสำเร็จด้วยไม่นานก็จากไป ด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ อย่างไม่ให้เขาได้ตั้งตัวและร่ำลา ทำให้หนึ่งปีกว่าที่ผ่านมา เขาต้องทำงานแบบเอาเป็นเอาตาย เพื่อจะได้ไม่คิดฟุ้งซ่าน
แต่ความจริง เมื่อกลับมาถึงบ้านแล้ว เขาก็ยังคงคิดถึงและทำใจรับกับความสูญเสียที่เกิดขึ้นไม่ได้อยู่ดี เขาต้องพึ่งแอลกอฮอล์ในทุกค่ำคืน ดื่มให้เมาแล้วหลับไป แม้จะรู้ว่าการทำเช่นนี้ไม่ดีต่อสุขภาพ แต่เขาก็ยังทำ เพราะยังทำใจไม่ได้ และก็ไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไร จึงจะหลุดพ้นจากความรู้สึกนี้ไปได้ แม้คนรอบข้างจะบอกให้เขาพยายามหักห้ามใจแค่ไหน หรือปลอบใจอย่างไร หรือแม้กระทั่งแนะนำคนใหม่ๆมาให้ เขาก็ยังไม่สามารถทำใจได้เลย
กว่าฮุ่ยเฉินจะออกจากสุสาน ก็เป็นเวลาเที่ยงกว่าแล้วตอนนี้เขาอารมณ์มืดมัว ต้องการการปลอบใจเป็นอย่างมาก ที่นึกออกตอนนี้ ก็มีเพียงอาอวี้ตัวน้อยคนเดียวเท่านั้น ที่พอจะปลอบใจเขาได้ จึงพุ่งตรงไปที่ร้านเสื้อนั้นอย่างไม่รอช้า
