๖ จำต้องยอมแต่ง (๒)
“ลูกสอบติดจะไม่ไปได้ไง ไม่ต้องห่วงเรื่องเงินนะ พ่อจะหาเงินส่งลูกเรียนแล้วก็จ่ายหนี้ให้ภาพเอง เรามีที่ตั้งหลายไร่ ขายไปสองสามไร่ไม่เป็นไรหรอก” ยิ่งเธอเห็นความรักความทุ่มเทของบิดาที่มีให้คนก็พูดไม่ออก ร้อนผ่าวที่กระบอกตาก่อนจะรีบห้าม
“แต่เราขายไปเยอะแล้วนะพ่อ อย่าขายอีกเลย”
“พ่อขอโทษที่เกิดมาจน พ่อผิดเอง” สุดท้ายก็ลงอีหรอบเดิมที่ภีมเดชโทษตัวเอง ลัลนาพรูลมหายใจเสียงเบาก่อนคว้ามือพ่อเอาไว้ แล้วบอกด้วยเสียงหนักแน่น แสดงจุดยืนชัดเจนไม่ให้ท่านเสียใจไปมากกว่านี้
แค่สูญเสียภรรยาอันเป็นที่รักก็เจ็บมากพอแล้ว ไม่อยากให้เรื่องของตนไปกระทบความรู้สึกอีก
“พ่อไม่ผิด พ่อไม่ผิดเลยนะ ต่ายดีใจที่ได้เกิดเป็นลูกของพ่อ” เมื่อลูกสาวคือความภาคภูมิใจของบิดา ท่านจึงดีใจเป็นอย่างมากเมื่อได้ยินประโยคนั้น จนสามารถกลับมายิ้มอีกครั้ง
“เรื่องเงินที่ติดพี่ภาพไว้พ่อไม่ต้องห่วงนะ เขาไม่คิดเงินเลยสักบาท” เม้มปากแน่นเมื่อพูดจบ ตนได้ตัดสินใจแล้วว่าจะทำอย่างไร
การแต่งงานครั้งนี้ก็แค่หลอกคุณยาย คงใช้เวลาไม่นานหรอก...
หลังจบเรื่องค่อยบอกอติกานต์ก็ได้ อย่างไรอีกฝ่ายก็บอกว่าช่วงปิดเทอมต้องทำวิจัยคงไม่ได้กลับบ้าน ไว้เรื่องทั้งหมดจบหล่อนจะอธิบายให้เขาฟัง เชื่อว่าอย่างไรชายหนุ่มจะต้องเข้าใจอย่างแน่นอน
คิดเข้าข้างตัวเองเพื่อสนับสนุนการตัดสินใจ
“ทำไมล่ะ ทำไมเขาถึงไม่คิดเงิน”
“เขา...เขาบอกว่าเป็นค่าสินสอด” ยิ้มกว้างโดยที่แววตาเศร้าสร้อย
ยอมจำนนต่อฟ้าดิน...
“สินสอด กระต่าย!!”
“จ้ะพ่อ ต่ายจะแต่งงานกับพี่ภาพ” ยิ้มขมขื่นแล้วปาดน้ำตาออกอย่างรวดเร็ว เธอเสียใจกับการตัดสินใจของตนเอง แต่ก็มองไม่เห็นทางออกอื่นอีกแล้ว
หวังเพียงอติกานต์จะเข้าใจถึงความจำเป็นครั้งนี้...
เมื่อได้ยินคำตอบตกลงเขาก็ไม่รอช้าพาเธอมาไหว้คุณยายถึงบ้าน แสดงความดีใจที่จะได้ใช้ชีวิตคู่กับหญิงผู้เป็นแก้วตาดวงใจ ถึงจะเป็นการได้เธอมาอยู่ข้างกายอย่างไม่ถูกต้องก็ตาม อย่างน้อยที่สุดลัลนาก็เป็นฝ่ายตัดสินใจเอง
เขาคือผู้ถูกเลือก...
หญิงสาวบอกชัดเจนว่าการแต่งงานเป็นเพียงในนาม เธอจะไม่ยอมจดทะเบียนสมรสกับเขา เรื่องทุกอย่างจะจบลงเมื่อคุณยายจากไป พวกเราควรอยู่กันแบบพี่น้องเท่านั้น
เพิ่งเข้าใจความรู้สึกของมารดาว่าการแต่งงานกับคนที่ไม่ได้รักเป็นอย่างไร
เธอไม่มีความสุขสักนิดถึงจะอยู่ห้องเสื้อที่มีชุดเจ้าสาวมากมายให้เลือก ถ้าเปลี่ยนเจ้าบ่าวจากภาวิชเป็นอติกานต์ก็คงจะดี
“ต่ายชอบชุดไหนเลือกได้เลยนะ เอาให้สวยที่สุดไม่ต้องสนเรื่องราคา พี่จ่ายไหว” เพียงแค่เดินเข้ามาในร้านเขาก็ยิ้มกว้าง แววตาบ่งบอกถึงความสุขปิดไม่มิด ต่างจากเจ้าสาวที่ทำหน้าอมทุกข์จนพนักงานที่เข้ามารับรองถึงกับงุนงง
“ค่ะ”
จำใจตอบรับแล้วเดินไปเลือกชุด พวกเขาจะหมั้นและแต่งในวันเดียวกัน เลือกใช้เพียงชุดไทยเท่านั้นตามความต้องการของลัลนา งานมีเพียงช่วงเช้า ตัดการฉลองมงคลสมรสช่วงเย็นออก เธออยากให้มันจบเร็วที่สุด
“พี่ว่าสีนี้ก็สวยนะ เหมาะกับต่าย” เขาเดินมาเลือกชุดไทยประยุกต์ช่วยเธอ หยิบสีชมพูออกมาแล้วทาบกายแบบบาง มืออีกข้างถือกล้องเอาไว้เพื่อใช้สำหรับการบันทึกภาพ อย่างน้อยก็อยากมีความสุขก่อนลาจากโลก
รู้ทั้งรู้ว่าหญิงสาวไม่ได้มีความสุขสักนิด แต่เขาก็เห็นแก่ตัวมากพอจะมองข้ามความรู้สึกของลัลนา สนใจเพียงตัวเอง
“หรือเป็นตัวนี้ดีไหม สีทองน่าจะขับผิวต่ายให้สว่างกว่าเดิม ลองให้พี่ดูหน่อยสิ พี่อยากเห็นต่ายใส่ชุดหมั้นงานของเรา” เลือกอีกชุดที่ดูสวยกว่าแล้วรีบอ้อนทันที ภาวิชเป็นคนหน้าตาหล่อเหลา แต่สำหรับเธอแล้วมองเขาเป็นแค่พี่ชาย
พนักงานในร้านต่างมองว่าที่เจ้าบ่าวด้วยสายตาชื่นชม อิจฉาเจ้าสาวที่ได้ครองคู่กับคนหล่อขนาดนี้ ทั้งยังทุ่มไม่อั้นอีกต่างหาก
โดยไม่รู้เลยว่าหล่อนทุกข์เพียงใด...
“พี่ภาพ...ไม่ต้องทำขนาดนี้ก็ได้” เธอรับชุดมาถือไว้แล้วพยายามปฏิเสธ
“มันคืองานแต่งครั้งเดียวในชีวิตพี่เลยนะ พี่อยากทำออกมาให้ดีที่สุด” คำหวานที่เอื้อนเอ่ยกับสายตาเว้าวอน สุดท้ายแล้วลัลนาทำได้เพียงตอบรับเสียงเรียบ พยายามยิ้มแย้มไม่ให้คนอื่นสงสัย ยอมทำตามความต้องการของคนที่กำลังจะเป็นสามีในนาม
“ค่ะ”
ใช้เวลากว่าสองชั่วโมงในร้านเพื่อเลือกชุดที่ดีที่สุด เธอลองไปเยอะมากเพราะภาวิชอยากเห็น ได้พนักงานคอยช่วยเหลือจนสุดท้ายก็เลือกชุดไทยประยุกต์สีเงิน ตอนที่เขาบอกจะไปส่งที่บ้านเธอถึงได้เผยรอยยิ้มด้วยความดีใจเป็นครั้งแรกของวัน
จอดรถไว้ที่โรงรถแล้วเดินเข้ามาภายในตัวบ้าน เหลือบมองรถยนต์ที่ไม่คุ้นแต่คิดว่าคงเป็นแขกสักคนของคุณยายจึงไม่ได้สนใจมากนัก ร้องเรียกตะโกนถึงผู้มีพระคุณที่เลี้ยงมาตั้งแต่ยังเล็ก หลังจากที่พ่อเสียชีวิตก็มีเพียงแค่ยายคอยดูแลเขาตลอด
“กลับมาแล้วครับยาย”
“ตาหลานมาแล้ว” เสียงคุณยายเอ่ยเรียกหลานรักพร้อมยิ้มกว้าง หนังตาตกจนแทบลืมไม่ขึ้นแต่ก็ยังพยายามมองหลานชาย เดี๋ยวนี้ท่านไม่ค่อยได้ออกไปไหนเพราะรู้สึกเหนื่อย ทำกิจกรรมมากไม่ได้ต้องอยู่ในความดูแลของพยาบาลส่วนตัวที่ภาวิชจ้างมาโดยเฉพาะ
ริมฝีปากที่แย้มยิ้มบ่งบอกถึงความสุข กลับหุบลงกลายเป็นเส้นตรงเมื่อพบแขกที่นั่งรออยู่โซฟา แทบไม่เชื่อสายตาตัวเองว่าคนตรงหน้าคือตัวจริง ไม่ใช่ภาพฝันหรือเป็นเพียงจินตนาการ
“มาได้แล้วเหรอ...จะแต่งงานไม่บอกฉันสักคำ” ทักทายคำแรกก็ทำให้ร่างสูงถึงกับกำมือแน่น แววตาวาวโรจน์ด้วยความโกรธ
ผู้หญิงตรงหน้าคือแม่ของเขา...
แต่ไม่รู้จะเรียกว่าแม่ได้หรือเปล่า เพราะหลังจากพ่อเสียชีวิตก็ไม่เคยมาดูดำดูดี ปล่อยให้ยายเลี้ยงเขามาโดยลำพัง จะดีหน่อยก็ตรงที่ยังส่งเสียค่าเล่าเรียนมาให้เสมอไม่ขาด
ยกเว้นช่วงหลังจากเขาเรียนจบ ภาวิชเลือกตัดแม่ออกจากชีวิต ปิดกั้นทุกอย่างซ้ำยังไม่พูดถึง เป็นเหมือนคนแปลกหน้า
ไม่นึกว่าวันนี้อีกฝ่ายจะมาเยือนถึงบ้าน รู้ข่าวเร็วทั้งที่เขาไม่ได้บอก คงเป็นคุณยายที่โทรบอกลูกสาวด้วยความปีติที่หลานเพียงคนเดียวของตนจะออกเรือน
ท่านยังไม่รู้ข่าวว่าภาวิชป่วยด้วยโรคร้าย...และเขาก็ต้องการปิดเป็นความลับ
“คุณมาที่นี่ทำไม” ถามเสียงเข้มพลางจ้องอย่างเอาเรื่อง
“ยายแกบอกฉันแล้วว่าแกกำลังจะแต่งงานกับผู้หญิงที่หวังจะมาปอกลอกเอาสมบัติ” มารดาพูดแต่ละคำไม่เคยเข้าหูลูกชายสักครั้ง คราวนี้ก็เช่นเดียวกัน เขาเกือบตวาดกลับแล้วถ้าไม่ได้คนสูงวัยคอยช่วยแก้ต่าง
“หนูต่ายไม่ใช่คนแบบนั้น แม่บอกว่าเขาเป็นเด็กดี”
“เด็กดีเหรอแม่ ฉันให้คนไปสืบประวัติมาหมดแล้ว บ้านก็จนมีแค่ที่ดินทำสวนไม่กี่ไร่ แม่ติดการพนัน พ่อเป็นแค่พ่อค้าขายข้าวแกงในโรงเรียน อาชีพเสริมคือเกษตรกรที่รายได้แต่ละเดือนไม่ถึงสองหมื่นด้วยซ้ำ มีแต่หนี้สิน คงอยากรวยทางลัดถึงได้มาเกาะแก”
แต่ละคำที่มารดาพูดทำให้เขายิ่งโกรธ ถ้าไม่ติดที่ยายนั่งอยู่ตรงนี้ด้วยคงลากอีกฝ่ายออกจากบ้านแล้ว ทว่าทำได้เพียงกำหมัดแน่น ไม่อยากให้คนกลางรับรู้ถึงความบาดหมางของแม่ลูกที่นับวันยิ่งเพิ่มมากขึ้น
“แล้วรู้หรือเปล่าว่าแม่นั่นมีแฟนแล้ว...” เธอให้คนไปสืบประวัติของลัลนาเพราะมรดกของลูกชายมีไม่น้อย ทั้งจากฝั่งพ่อและแม่ของตนที่ประเคนทุกอย่างให้หลานรักจนหมด แล้วอย่างนี้จะไม่ให้ห่วงได้อย่างไร
“เขาเลิกกับแฟนแล้ว คุณไม่รู้อะไรอย่าพูดดีกว่า” กดเสียงต่ำแล้วบอกอย่างข่มอารมณ์ ไม่เรียกว่าแม่ด้วยซ้ำ
เพราะเขาไม่เคยสัมผัสได้ถึงความรักจากอีกฝ่าย...
แล้วทำไมจึงต้องเรียกว่าแม่
“ฉันต้องพูดเพราะฉันเป็นห่วงแก”
“ห่วง ห่วงเหรอ...คำนี้ไม่น่าจะออกมาจากปากผู้หญิงที่ทิ้งลูกไปหาผู้ชายคนอื่นทั้งที่ผัวตายไม่กี่เดือนได้นะ” สุดท้ายก็ทนไม่ไหวจนต้องพูดออกมา เขาจำได้ดีว่าวันที่พ่อเสียชีวิตตนร้องไห้เศร้าโศกมากแค่ไหน แต่ที่เสียใจมากสุดคงเป็นภาพมารดาขึ้นรถไปกับชายอื่นโดยไม่หันมามองตนที่วิ่งตามจนล้มเข่าถลอก
ผ่านไปหลายสิบปีแต่ภาพนั้นยังเด่นชัด เขาไม่มีวันลืมและไม่มีวันให้อภัยผู้หญิงคนนี้เด็ดขาด
ถึงตนจะตายไปก็ตาม!
“ภาพ!”
“ผมยืนยันคำเดิมว่าจะแต่งงานกับต่าย และเราจะแต่งงานกันให้เร็วที่สุด!”
“เพราะผมรักเธอ” นั่นคือเหตุผลสำคัญที่เลือกแต่งงานกับลัลนา
เขาไม่สนใจว่าเธอจะเต็มใจหรือเปล่า ไม่แคร์แม้ว่าหล่อนมีแฟนเป็นตัวเป็นตน เมื่อรักก็ยอมทำทุกอย่างโดยไม่สนถึงวิธีการ
ถึงอย่างไรเขาก็จะตายในอีกไม่ช้า ขอสมหวังในรักคงไม่เป็นไร...
โดยไม่รู้เลยว่าตนกำลังทำลายชีวิตของผู้หญิงที่เป็นดั่งดวงใจ
ทำใจอยู่นานด้วยการนั่งมองโทรศัพท์ เพิ่งดีใจกับการติดมหาวิทยาลัยไม่นานแต่กลับต้องมาหนักใจในเรื่องที่กำลังจะเกิด
เธออยากให้เงินงอกเงยขึ้นมาจากผืนดิน หรือโปรยลงมาจากฟากฟ้า เพื่อจะได้ใช้มันแก้ไขปัญหาที่เกิดกับตัวเอง ทุกอย่างกำลังจะไปได้ดี ถึงหล่อนไม่ติดมหาวิทยาลัยเดียวกับอติกานต์แต่ก็เดินทางไปมาหากันได้สะดวก อย่างน้อยก็ดีกว่าอยู่ที่นี่
แต่ก็เกิดเรื่องขึ้นซะก่อน
จนชีวิตเธอพลิกผันต้องกลายเป็นเจ้าสาวของชายอื่น ทั้งที่ยังคบกับแฟน...
ชีวิตของเธอช่างเหมือนนางวันทองเหลือเกิน
“ฮะ ฮัลโหล” เสียงเรียกเข้าทำให้สะดุ้ง ค่อยเอื้อมไปหยิบโทรศัพท์แล้วกดรับสาย ทักทายเสียงสั่นด้วยความหวาดหวั่น
‘เสียงสั่นเชียว มีเรื่องอะไรหรือเปล่า’ เขาจับสังเกตได้ในทันที
“พี่ปลื้ม...คือว่าต่าย” ตอนแรกคิดจะบอกความจริงเพราะไม่อยากให้เขารู้ทีหลัง แต่ปากก็หนักไม่กล้าจะเอ่ย
กลัวว่าจะถูกบอกเลิก...
‘คิดถึงพี่ใช่ไหมล่ะ...ขอโทษด้วยนะที่พี่ยังไม่ได้กลับบ้าน กำลังเตรียมเอกสารไปฝึกงานที่สถานทูตไทยในสิงคโปร์ ความจริงอยากไปออสเตรเลียแต่รู้สึกว่าไกลกับต่าย นั่งเครื่องบินนานกว่าด้วย ถ้าต่ายมาเรียนที่กรุงเทพฯ พี่ก็แค่นั่งเครื่องจากสิงคโปร์มาไทยในช่วงวันหยุด ง่ายจะตาย’
เธอไม่ได้ฟังด้วยซ้ำว่าเขาพูดอะไรบ้าง รู้เพียงชายหนุ่มจะไปฝึกงานต่างประเทศ ซึ่งเป็นการฝึกช่วงปิดภาคเรียนใหญ่ เขาทำเรื่องฝึกก่อนเพื่อที่ช่วงปีท้ายๆ จะได้มีเวลาว่างและทุ่มให้กับการทำวิทยานิพนธ์จบ ชายหนุ่มวางแผนเอาไว้หมดทุกอย่างเรื่องการเรียน ทั้งยังการงานในอนาคต
อยากลองรับราชการ ทำงานที่ตนใฝ่ฝันโดยมีลัลนาเคียงข้าง...
ภาพฝันนั้นจะต้องเป็นจริงในอีกไม่ช้า
“คือ คือว่า”
‘เออ แล้วผลสอบเป็นยังไงบ้าง ออกแล้วไม่ใช่เหรอ’
“ต่าย...” สมองตอนนี้ว่างเปล่า เธอไม่รู้ว่าเขาถามอะไรด้วยซ้ำ เอาแต่กำมือแน่นพร้อมน้ำตาที่ไหลเป็นสาย โกรธตัวเองที่สุดท้ายก็ไม่กล้าพูดความจริง
“พ่อเรียกแล้วพี่ปลื้ม ไว้ต่ายค่อยโทรหาใหม่นะ” อ้างพ่อเพื่อจะได้ตัดสาย นี่คือครั้งแรกที่หล่อนเป็นฝ่ายขอวางสายก่อนเพราะละอายใจกับเรื่องที่ทำ
‘ครับ พี่รักต่ายนะ’ บอกรักเธอเหมือนเดิม
“ต่ายก็รักพี่เหมือนกัน” ลัลนาก็บอกรักเขาเช่นกันด้วยความรู้สึกที่ท่วมท้น
“ฮือ ทำไมต้องเป็นแบบนี้ด้วย ทำไม ทำไม!”
เมื่อวางสายจากคนรักก็ปล่อยโฮอย่างสุดจะกลั้น เธอโมโหทุกสิ่งโกรธทุกอย่างโทษกระทั่งฟ้าดินที่ทำให้ชีวิตของตนเป็นแบบนี้
ทุกอย่างกำลังไปได้ดี...
แล้วทำไมถึงสะดุด เพราะอะไรกัน!
