บทที่ 8
THE ILLUSION OF LOVE มารยายั่วรัก
Chapter 8
จิรภาณินท์พยักหน้ารับก่อนเดินไปที่โต๊ะทำงานเพื่อหยิบเอกสาร พอหมุนตัวกลับมาก็ตกใจเมื่อเห็นเขาโน้มใบหน้าเข้ามาใกล้
“นี่ค่ะ”
ณัฐภัทรทำเป็นไม่สนใจเอกสารที่หญิงสาวยืนให้ เขาหมุนตัวเดินนำออกไปทั้งที่ยังหาเหตุผลของตัวเองไม่ได้ ราวกับคลื่นเล็ก ๆ ได้ก่อตัวขึ้นและมันกำลังรุนแรงมากขึ้น...
จิรภาณินท์กลอกตามองด้วยความสับสน ตั้งสติของตัวเองก่อนเดินตามออกไป เมื่อพ้นผ่านประตูสายตาของพนักงานก็หันมามอง รังสีที่บ่งบอกถึงความเป็นศัตรู ?
ณัฐภัทรรู้ดีว่าในสายตาของพนักงานนั้นมีข่าวใหม่ออกมาว่าอย่างไร ถึงเรื่องนี้จะเป็นสิ่งที่ต้องห้ามแล้วก็ตาม แต่ก็ไม่ได้สนใจเพราะตราบใดที่ไม่ได้กระทบกับเงินที่เข้ามาหมุนเวียน และลูกค้าแล้ว เขาก็ไม่สนใจว่าใครจะเป็นอย่างไร มีแค่เพียงเขา...ไม่ทรยศต่อความรักของพิศชามนต์ก็พอ
แม้จะหิวมากแค่ไหนแต่ก็กลืนไม่ลงอยู่ดี...จิรภาณินท์พยายามอย่างมากที่จะไม่สนใจสายตาที่จับจ้องมองตลอดเวลา แต่บางครั้งก็อดที่จะอึดอัดไม่ได้อยู่ดี
เธอวางช้อนส้อมพลางเอ่ยถาม “คุณมีอะไรอยากพูดกับฉันไหมคะ”
“เปล่า ไม่มี” เขาตอบพร้อมยกมือเรียกบริกรชาย
“คิดรวมเลยครับ” บริกรชายรับบัตรเครดิตก่อนเดินไป
จิรภาณินท์มองคนตรงหน้าด้วยหลากความรู้สึก ไม่เข้าใจ ไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่กันแน่
เวลาผ่านไปไม่ถึงห้านาทีชายหนุ่มรับบัตรเครดิตคืน เขาลุกขึ้นพร้อมเดินออกไปโดยรออีกฝ่าย จิรภาณินท์จึงรีบลุกพร้อมเดินตามไปทันที
“คุณณัฐภัทร ช่วยกรุณาเดินช้า ๆ หน่อยได้ไหมคะ” เธอวิ่งตามเขาเมื่อจะทัน แต่ว่าเขากลับเดินเร็วอีก จนมือเล็กคว้าแขนของชายหนุ่มเอาไว้
“คุณจะเดินทำไมเร็ว ฉันเดินตามไม่ทัน”
“คุณเดินช้าเองต่างหาก”
“คุณ !”
เพ็ญรตีนั่งอ่านนิตยาสารแฟชั่นที่โซฟาห้องรับแขก ในใจก็กังวลกับแผนการของแม่สามีจนแทบจะไม่สนใจหนังสือเลย กระทั่งหนังสือนิตยาสารถูกวางลงที่ข้างตัว สายตาจ้องมองนึกคิดว่าควรจะทำอย่างไรไม่ให้แม่สามีรับพริตตี้คนนั้นเขามาเป็นสะใภ้ในบ้าน ถึงตอนนี้ยังไม่รับ แต่ถ้าลูกชายหลงเสน่ห์ขึ้นมาจริง ๆ แล้วล่ะก็ เธอไม่ต้องปวดหัวมากกว่านี้อีกหรือไง
“ฉันไม่มีทางยอมรับผู้หญิงต่ำ ๆ อย่างนั้นแน่ ”
“แม่เพ็ญ”
เพ็ญรตีสะดุ้งรีบหันไปมองเมื่อได้ยินเสียงของแม่สามีจากทางด้านหลัง “คุณแม่”
“ถึงหล่อนจะไม่ชอบแม่พริตตี้คนนั้น แต่ก็ไม่ควรจะไปกล่าวว่าแบบนั้น ฉันดูคนออกนะ ผู้หญิงคนนั้นการศึกษาดี แต่แค่ไม่ได้เลือกทำงานในสาขาที่เรียนมาก็เท่านั้น” จินดารัตน์กล่าวว่า พร้อมเดินมานั่งลงข้าง ๆ
“คุณแม่คะ เด็กคนนั้นไม่เหมาะสมกับตาภัทรนะคะ” สีหน้าของเพ็ญรตีแสดงถึงความไม่ชอบออกมาอย่างชัดเจน ทั้งที่พยายามคุยเรื่องนี้กับแม่สามีหลายครั้งแล้ว
“แม่เพ็ญ เรื่องนี้ไม่ใช่ฉันตัดสินใจว่าชอบหรือไม่ แต่เป็นเจ้าภัทรต่างหาก เธอก็รู้นะว่าภัทรไม่ชอบพวกลูกคุณหนู ดูสิขนาดแม่มนต์ก็ไม่ใช่ลูกมากรากดี เธอยังชอบได้เลย” จินดารัตน์เอ่ย
“ มันต่างกันค่ะ หนูมนต์รู้จักกันตั้งแต่ตาภัทรเรียนอยู่ อีกอย่างหนูมนต์เขาคอยอยู่ข้างตาภัทรตลอดเวลา เพ็ญก็ไม่เห็นจะแปลกนี่คะ แต่ผู้หญิงคนนั้นเป็นใครก็ไม่รู้จะมาหลอกตาภัทรหรือเปล่า คุณแม่จะรู้ได้ยังไงคะ ” เพ็ญรตีตอบด้วยน้ำเสียงขุ่นเคือง
“ฉันว่าเจ้าภัทรก็คงไม่หลงให้เขาหลอกเอาเงินหรอกนะ”
จินดารัตน์พูดขณะลุกขึ้น
“คุณแม่คะ” เพ็ญรตีมองแม่สามีเดินออกไปจากห้องรับแขกด้วยสายตาที่ไม่พอใจ
“ ถึงยังไงเพ็ญก็ไม่ยอมรับเด็ดขาด คุณแม่จะเอาผู้หญิงคนนั้นมาเปรียบเทียบกับหนูมนต์ไม่ได้!” เพ็ญรตียังคงยึดมั่นในสิ่งที่ตนเองคิดเช่นเดิม เพราะหล่อนเชื่อว่าสิ่งที่มากกว่านั้นคือชื่อเสียง และหน้าตาทางสังคม อีกทั้งพิศชามนต์ก็มาจากครอบครัวที่ค่อนมีฐานนะ จึงเป็นที่ยอมรับ แต่กลับผู้หญิงที่เป็นพริตตี้โชว์ตัวไปวัน ๆ ไม่มีทางเชิดหน้าชูตาได้อย่างแน่นอน !
รถหยุดจอดหน้าบาร์แห่งหนึ่ง จิรภาณินท์หันมองชายหนุ่มพลางส่งสายตาเป็นเชิงถาม
“คุณมาที่นี่ทำไมหรือคะ”
“ผมมาพบลูกค้า” เขาตอบ
จิรภาณินท์มองชายหนุ่ม ก่อนจะหันไปมองหน้าประตูผับขนาดใหญ่ที่ไม่อยากจะเข้าไป
“เออ ... งั้นฉันขอรอข้างนอกได้ไหมคะ” เธอถามมองหน้าเขา
“ก็แล้วแต่คุณ แต่ถ้าถูกอุ้มไปผมไม่ตามไปช่วยนะ” ชายหนุ่มพูดขู่ก่อนเปิดประตูลงจากรถ แต่นั้นก็ได้ผลเมื่อหญิงสาวเปิดประตูลงตามมา
“ฉันไปด้วยนะคะ”
ณัฐภัทรยิ้มกรุ่น เดินเข้าไปข้างในโดยที่หญิงสาวเดินตามมาติด ๆ
สองเท้าก้าวยาวตามชายหนุ่มให้ทัน สายตากวาดมองภายในบาร์ด้วยความหวาดกลัว เมื่อเดินเข้ามาถึงที่นั่งข้างใน สายตาของพนักงานเริ่มจ้องมองมาที่หญิงสาว มือน้อยๆ เริ่มเอื้อมไปจับแขนของชายหนุ่ม
ณัฐภัทรมองมาที่แขน มือของหญิงสาวที่เกาะเขาไว้ สายตาคมกวาดมองไปรอบ ๆ เมื่อเห็นแววตาของพนักงานที่จ้องมาที่จิรภาณินท์ มุมปากยิ้มออกมา
“คุณกลัวหรอ” เขากระซิบถามเธอ
จิรภาณินท์หันมามองนัยน์ตาคมพร้อมพยักหน้าตอบรับ
“ถ้ากลัวก็อย่าห่างจากผม”
คำพูดเป็นนัยทำให้คนฟังได้แต่เขิน
“สวัสดีครับคุณณัฐภัทร” เสียงแหบเอ่ยทักขึ้นจากทางด้านหลัง
ณัฐภัทรและจิรภาณินท์หันไปมองทางต้นเสียง ชายรูปร่างอ้วนท้วมวัยกลางคน ใบหน้าเริ่มมีรอยเหี่ยวย่นเห็นได้ชัด ส่งสายตามาที่ณัฐภัทรก่อนจะมองมาที่เธอ
“นั่งลงก่อนสิ”
“สวัสดีครับ” ชายหนุ่มยกมือขึ้นพร้อมกล่าวสวัสดี
หญิงสาวได้แต่ยกมือขึ้นไหว้ด้วยความไม่เต็มใจเมื่อสาวตาของ ชายวันกลางตรงหน้าเริ่มจ้องมองที่หน้าอกของเธอ
“หวัดดี” น้ำเสียตอบห้วน ๆ ทั้งที่ยังมองคนข้างตัวณัฐภัทรไม่เลิก
“สวย” เสียงแหบพูดพลางมองหญิงสาวตรงหน้า จนณัฐภัทรเริ่มไม่ชอบใจเมื่อสายตายังคงจับจ้องคนข้างตัวเขาไม่เลิก
“ผมว่าคุยเรื่องานดีกว่าครับ” ชายหนุ่มเอ่ยขึ้น
“ลื้อก็พูดมาสิ” โชคชัยตอบด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด แต่คนฟังกลับโมโหยิ่งกว่า ไม่ใช่เพราะไม่ฟัง แต่เขากำลังไม่เข้าใจตัวเอง ทำไม่ต้องนึกโกรธคนข้างตัวเขาที่ใส่ชุดแบบนี้มาด้วย !
“ถ้าเสี่ยไม่อยากคุยวันนี้ งั้นผมขอลากลับก่อน” เขาพูดขึ้น ทำให้คนฟังยิ่งรำคาญเมื่อถูกขัด
“เอาแบบสร้อยตามที่ลื้อเอามานั่นแหละ ราคาอั้วจ่ายไม่อั้น”
โชคชัยตอบปัดความรำราญ ก่อนจะค่อยขยับเข้ามาใกล้จิรภาณินท์
ความอดทนของณัฐภัทรหมดลง เขาจับมือของหญิงสาวให้ลุกขึ้นยืนข้างกาย พร้อมองโชคชัยด้วยสายตาไม่เป็นมิตร
“ตกลงตามที่เสี่ยพูดนะครับ งั้นผมลา” เมื่อพูดจบชายหนุ่มกระชากหญิงสาวออกไปด้วยความสับสนที่ก่อขึ้น
“เดี๋ยวก่อนสิ เสี่ยขอแม่หนูตนนี้อยู่เป็นเพื่อนเสี่ยก่อน” สายตาหื่นกระหายจ้องมองใบหน้างาม มือหนายกขึ้นลูบใต้คางอย่างพอใจ
“คงจะไม่ได้หรอกครับ”ณัฐภัทรตอบ ก่อนลากหญิงสาวเดินออกไป
“ฉันให้ค่าตัวแพงได้นะ” จิรภาณินท์หยุดชะงักลง
ชายหนุ่มมองใบหน้าสวยที่แดงด้วยความโกรธจัด
“ไปเถอะ” เขากระซิบที่ค้างหูเอื้อมมือคว้าหญิงสาวลากออกทันที
หญิงสาวพยักหน้าขณะเดินตามแรงดึงไป หลังจากที่เดินตามแรงดึงของเขามาเธอก็เริ่มทักท้วงเพราะเจ็บที่ข้อมือ
“คุณณัฐภัทรฉันเจ็บนะ !” จิรภาณินท์ร้องประท้วงและพยายามต้านแรงจากฝ่ามือใหญ่ที่บีบข้อมือของตนอยู่
เมื่อรู้สึกตัวว่าทำเกินขอบเขตชายหนุ่มจึงรีบปล่อยมือของหญิงสาวทันที ความไม่เข้าใจและความว้าวุ่นในหัวใจก่อขึ้นแบบไม่มีวันสงบลง
“กลับกันเถอะ” ณัฐภัทรพูดด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งขณะที่เดินขึ้นรถ
