บทที่ 6 การกลั่นร่างขั้น4
บางคนมีพรสวรรค์ด้านการฝึกยุทธ์ที่ยอดเยี่ยม เพียงแต่แรกเริ่มไม่รู้ว่าควรจะดึงมันออกมาใช้อย่างไร แต่เมื่อเวลาผ่านไปสักระยะ พรสวรรค์เหล่านี้ก็จะปรากฏออกมา และระดับความสามารถก็จะถูกพัฒนาขึ้น
นางรู้สึกว่าหลัวซิวน่าจะเป็นลูกศิษย์ประเภทนี้ หากเป็นต้นกล้าพันธุ์ดีจริง ๆ ก็ควรได้รับการบ่มเพาะที่เหมาะสม
เมื่อเทียบกับบรรดาผู้ลากมากดีที่มาจากตระกูลขุนนาง ลู่เมิ่งเหยามักจะให้ความสำคัญกับคนธรรมดาสามัญมากกว่า เป็นเพราะพวกเขาอยากมีอนาคตที่ดีขึ้น จึงเต็มใจที่จะทุ่มเทความพยายามให้กับการบำเพ็ญตนมากกว่าผู้อื่นหลายเท่า ความเพียรพยายามเช่นนี้ ไม่ใช่สิ่งที่ผู้ที่มาจากตระกูลผู้ลากมากดีทุกคนจะทำได้
เมื่อถูกลู่เมิ่งเหยาจ้องมอง หลัวซิวก็รู้สึกประหม่า ลูกศิษย์ที่อยู่นอกสายตามาโดยตลอดอย่างเขา นี่ถือเป็นครั้งแรกที่ได้รับความสนใจจากอาจารย์
“การต่อสู้กันระหว่างลูกศิษย์ ในฐานะที่เป็นอาจารย์ ข้าก็ไม่ควรที่จะยื่นมือเข้าไปยุ่ง” ลู่เมิ่งเหยาเบนสายตากลับมา แล้วกวาดตามองทุกคน จากนั้นจึงกล่าวด้วยสีหน้าที่ไร้ความรู้สึก : “แต่ความเท่าเทียมและความยุติธรรมของสำนักยุทธ์ จะปล่อยให้ใครมาดูถูกเหยียดหยามไม่ได้เช่นกัน”
สายตาของนางไปหยุดอยู่ที่จางห่าย “ถ้าหากเจ้าคิดจะต่อสู้กับหลัวซิว ข้าเองก็ไม่คิดจะโต้แย้ง การทดสอบที่จะเกิดขึ้นในอีกสามเดือนหลังจากนี้ ถ้าหากหลัวซิวสามารถเข้าไปอยู่ในชั้นกลางได้ ข้าก็จะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวอีก แต่ตอนนี้ เจ้าจงรีบไสหัวกลับไปฝึกตนเดี๋ยวนี้ !”
ตอนนี้ทุกคนล้วนตีความออกว่า อาจารย์สาวสวยผู้มีรูปร่างอันเร่าร้อน แต่มีนิสัยที่เย็นชาราวกับภูเขาน้ำแข็งผู้นี้ กำลังเข้าข้างหลัวซิว
ในสำนักยุทธ์ การที่ลูกศิษย์ในชั้นสูงและชั้นกลางรังแกลูกศิษย์ชั้นต้น ถือเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นปกติ จางเจี๋ยกล้าวางอำนาจบาตรใหญ่ในชั้นต้น ก็เป็นเพราะเขารู้ดีว่ามีจางห่ายคอยหนุนหลังเขาอยู่ โดยปกติแล้ว หากไม่วิวาทกันจนถึงแก่ชีวิต อาจารย์ในสำนักยุทธ์เองก็มักจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยว
มีคนจำนวนไม่น้อยหันมองหลัวซิวด้วยแววตาอิจฉา เห็นได้ชัดว่าเป็นเพราะเมื่อสองสามวันก่อน เด็กคนนี้สามารถเอาชนะจางเจี๋ยได้ จึงกลายเป็นจุดเด่นและดึงดูดความสนใจจากอาจารย์ได้
จางห่ายกำหมัดแน่น เขารู้สึกไม่เต็มใจนักที่ไม่สามารถลงมือจัดการหลัวซิวให้ราบคาบเสียตั้งแต่ตอนนี้ได้
แต่ถึงแม้เขาจะมีความกล้าสักเท่าไหร่ เขาก็ไม่กล้าขัดต่อเจตนาของลู่เมิ่งเหยาอยู่ดี เพราะในสำนักยุทธ์มีคำร่ำลือมายาวนานว่า อาจารย์ลู่ผู้นี้มีภูมิหลังที่ไม่ธรรมดา อาจารย์ท่านอื่น ๆ ในสำนักยุทธ์ หรือแม้กระทั่งผู้อาวุโสของสำนักยุทธ์เอง ล้วนแล้วแต่แสดงความเกรงใจต่อนางอย่างมาก
“ได้ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ อีกสามเดือนให้หลัง ข้าจะมาคิดบัญชีกับเขา !” จางห่ายจ้องหลัวซิวตาเขม็ง จากนั้นจึงหันไปคารวะลู่เมิ่งเหยา แล้วเดินจากไป
การปรากฏตัวของลู่เมิ่งเหยา ทำให้สถานการณ์คลี่คลายลงทันที แต่ทุกคนรู้ดีว่า เรื่องนี้ยังไม่จบ
จางห่ายมีผลการฝึกตนอยู่ในระดับการกลั่นร่างขั้น7 ส่วนหลัวซิวเองถึงแม้สามเดือนให้หลังจะสามารถผ่านการทดสอบเข้าสู่ชั้นกลางได้ แต่อย่างมากก็อยู่เพียงแค่ระดับการกลั่นร่างขั้น5เท่านั้น อย่างไรเสียทั้งสองก็ยังคงมีความแตกต่างกันอยู่มาก
“ขอบคุณครับอาจารย์ลู่” หลัวซิวหันไปกล่าวแสดงความขอบคุณต่อลู่เมิ่งเหยา
ต่อให้ต่อสู้กันขึ้นมาจริง ๆ เขาเองก็ไม่เกรงกลัวจางห่าย แต่เมื่อครู่เห็นได้ชัดว่าอาจารย์ลู่ผู้นี้เข้าข้างเขาจริง ๆ หลัวซิวจึงรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง
ลู่เมิ่งเหยายิ้มแล้วพยักหน้า “สามารถรวบรวมพลังได้ในช่วงเวลาวิกฤติเช่นนี้ได้ ถือว่าเจ้าเองก็มีความสามารถพอตัว จงฝึกตนให้ดี และผ่านการทดสอบที่จะเกิดขึ้นในอีกสามเดือนข้างหน้าไปให้ได้”
ถ้าหากความเร็วในการฝึกตนของหลัวซิวยังเป็นอย่างเช่นแต่ก่อน คงไม่มีทางผ่านการทดสอบไปได้อย่างแน่นอน เมื่อเห็นว่าการทดสอบกำลังใกล้เข้ามา และเขาสามารถสะสมพลังจนสามารถผ่านระดับที่บรรลุถึงไปได้ถึง2ระดับ สิ่งนี้จึงเป็นสิ่งที่ทำให้ลู่เมิ่งเหยารู้สึกสนใจและให้ความช่วยเหลือเขา
เพราะในความเห็นของนางแล้ว หากหลัวซิวถูกจางห่ายทำร้ายจนได้รับบาดเจ็บ เรื่องที่จะผ่านการทดสอบในอีกสามเดือนให้หลัง นับว่าเป็นไปไม่ได้เลย
แน่นอนว่า ตอนนี้ลู่เมิ่งเหยายังไม่มั่นใจนักว่าหลัวซิวจะเป็นต้นกล้าชั้นดีที่ควรค่าแก่การบ่มเพาะ นอกเสียจากว่าเขาจะยังคงรักษาระดับความเร็วในการฝึกตนเช่นนี้เอาไว้ได้ มิเช่นนั้นเขาก็คงเป็นได้แค่ดอกไม้ที่บานเพียงชั่วคราวและโรยราลงอย่างรวดเร็วเท่านั้น
หลังจากพูดจบ ลู่เมิ่งเหยาก็หันหลังเดินจากไป ส่วนลูกศิษย์คนอื่น ๆ ต่างก็แยกย้ายกลับไปทำหน้าที่ของตนเอง
เมื่อมองดูลู่เมิ่งเหยาที่กำลังเดินจากไป หลัวซิวก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย เมื่อครู่เข้าเห็นลายเส้นชีวิตของอาจารย์ลู่ผู้นี้ ลายเส้นชีวิตบางจุดดูแข็งแกร่ง และบางจุดก็ดูอ่อนแอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตรงบริเวณหัวใจมีความผิดปกติบางอย่าง
นี่เป็นครั้งแรกที่หลัวซิวได้เห็นเส้นลายชีวิตของนักยุทธ์ระดับแดนฝึกชี่ไห่ ลายเส้นชีวิตของผู้ฝึกยุทธ์ที่ผ่านการกลั่นร่างและของคนธรรมดาทั่วไปจะมีแสงสีขาวจาง ๆ ส่องประกายออกมา แต่ลายเส้นชีวิตของนักยุทธ์ระดับแดนฝึกชี่ไห่ กลับส่องประกายแสงสีเขียว
หลัวซิวรู้ดีว่า นี่เป็นเพราะนักยุทธ์ระดับแดนฝึกชี่ไห่ แข็งแกร่งว่าผู้ฝึกยุทธ์ในระดับการกลั่นร่าง ลายเส้นชีวิตจึงปรากฏชัดเจนตามไปด้วย ถึงแม้เขาใช้ลงมือด้วยพลังทั้งหมดที่มี ก็ไม่อาจทำลายลายเส้นชีวิตของอีกฝ่ายได้
“ดูเหมือนว่าความสามารถของข้ายังอ่อนหัดอยู่มาก จะทระนงตนเพียงเพราะได้ความสามารถพิเศษมาครอบครองไม่ได้โดยเด็ดขาด”
แววตาของหลัวซิวแน่วแน่ยิ่งขึ้น เขาก้าวเท้ามุ่งตรงไปยังหอเก็บหนังสือของสำนักยุทธ์
หอเก็บหนังสือเป็นสถานที่เก็บรวบรวมวิชายุทธ์ทั้งหมดเอาไว้ จึงเป็นสถานที่สำคัญที่ใช่ว่าจะเข้าไปได้ง่าย ๆ
นอกจากจะมีผู้อาวุโสระดับปรมาจารย์แดนพรสวรรค์คอยนั่งประจำการอยู่แล้วนั้น ยังมีลูกศิษย์ของสำนักยุทธ์บางส่วนที่คอยรับจ้างเฝ้ายามหอเก็บหนังสือ ซึ่งพอมีรายได้หลายตำลึงในแต่ละเดือน
ลูกศิษย์ส่วนใหญ่ที่รับจ้างทำหน้าที่นี้ ก็มักจะเป็นผู้ฝึกยุทธ์ที่มาจากครอบครัวฐานะธรรมดา ส่วนบรรดาลูกศิษย์ที่มาจากตระกูลสูงศักดิ์ ไม่มีทางสนใจเงินเพียงเล็กน้อยเหล่านี้
“หยุดนะ หอเก็บหนังสือเป็นสถานที่สำคัญ ห้ามเข้าก่อนได้รับอนุญาต !” ที่บริเวณประตูของหอเก็บหนังสือ มีนักเรียกของสำนักยุทธ์ยืนขวางหลัวซิวเอาไว้สองคน
หลัวซิวขมวดคิ้ว แล้วมองดูคนสองสามคนที่เดินเข้าไปในหอเก็บหนังสือก่อนหน้า แล้วพูดว่า : “แล้วทำไมข้าไม่เห็นว่าพวกเจ้าจะขวางพวกเขาเลย ?”
“เจ้ามีสิทธิ์อะไรเอาตัวเองไปเทียบกับบรรดาคุณชายเหล่านั้น ? พวกเขามาที่หอหนังสือเพื่อซื้อวิชายุทธ์ หรือไม่ก็มีผลการฝึกตนที่อยู่ในระดับที่สามารถเข้ามาเลือกรับวิชายุทธ์ได้ ส่วนผู้ฝึกยุทธ์ที่อยู่ในระดับการกลั่นร่างขั้น2อย่างเจ้า รีบไสหัวไปให้พ้นเดี๋ยวนี้ !”
คนที่พูดเป็นลูกศิษย์ในระดับชั้นกลาง เป็นผู้ฝึกยุทธ์ที่อยู่ในระดับการกลั่นร่างขั้น5 มีนามว่าหวางฮุย เขาเป็นเพื่อนบ้านกับหลัวซิว ดังนั้นจึงไม่ใช่คนแปลกหน้าสำหรับเขา
หวางฮุยอายุมากกว่าหลัวซิวเล็กน้อย ตอนนี้เขาอายุ15ปี ตอนที่เขาอยู่ในระดับต้นมักคอยติดตามจางห่าย จึงได้รับสิทธิพิเศษเล็กน้อย มิเช่นนั้นคนที่มีฐานะอยู่ในระดับธรรมดาอย่างเขา ถือเป็นการยากที่จะไต่เต้าขึ้นสู่ระดับกลาง
สาเหตุที่เขาขัดขวางหลัวซิวและพูดจาถากถาง เป็นเพราะเขาได้ยินมาว่าหลัวซิวทำร้ายจางเจี๋ยซึ่งเป็นน้องชายของจางห่าย
“เห็นแก่ที่เราสองครอบครัวเป็นเพื่อนบ้านกัน ข้าขอเตือนเจ้าให้ไปกล่าวขอโทษคุณชายจางเสีย มิเช่นนั้นไม่เพียงแต่ตัวเจ้าเองที่จะเดือดร้อนเท่านั้น แม้แต่พ่อแม่รวมไปถึงพี่สาวของเจ้าเองก็จะต้องพลอยเดือดร้อนไปด้วย” หวางฮุยเชิดหน้า แล้วเหลือบมองหลัวซิวราวกับกำลังจ้องมองผู้น้อย
เขาไม่รู้สึกว่าการติดตามจางห่ายถือเป็นเรื่องน่าอับอาย นี่เรียกว่าการเอาตัวรอด ต่อให้อีกหน่อยหากอายุครบตามเกณฑ์แล้วยังไม่สามารถไต่เต้าขึ้นสู่ชั้นสูงได้ และต้องถูกไล่ออกจากสำนักยุทธ์ ถึงเวลานั้น เขาก็ยังคงพึ่งใบบุญของตระกูลจางได้
“เขาคือหลัวซิวที่ทำร้ายคุณชายของตระกูลจางคนนั้นเองหรือ ? ปกติแล้วไม่เคยเห็นแสดงฝีมือ เอาแต่คอยหลบซ่อนตัว......” นักเรียนชั้นกลางอีกคนที่ยืนอยู่กับหวางฮุยกล่าวด้วยท่าทีประชดประชันและดูถูกเหยียดหยาม
หลัวซิวไม่อยากสนใจทั้งสองคน ถึงแม้ในสมัยเด็กหวางฮุยจะเคยเป็นเพื่อนเล่นของตน แต่หลังจากเข้ามาในสำนักยุทธ์ และต่างคนต่างมีปณิธานของตนเองที่แตกต่างกัน พวกเขาก็ตัดขาดความสัมพันธ์กันอย่างหมดสิ้นแล้ว
“ตามกฎระเบียบของสำนักยุทธ์ การกลั่นร่างขั้น4สามารถเข้าไปในหอหนังสือเพื่อเลือกรับวิชายุทธ์ได้ หรือพวกเจ้าคิดจะทำลายกฎระเบียบของสำนักยุทธ์ ?” หลัวซิวเอ่ยถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“การกลั่นร่างขั้น4 ?” หวางฮุยหัวเราะลั่น “หลัวซิว เจ้าคิดจะคุยโวโอ้อวดกลับไม่รู้จักดูตาม้าตาเรือเอาเสียเลย เจ้าคิดว่าข้าไม่รู้จักเจ้าหรืออย่างไร ? สองสามวันก่อนเจ้ายังอยู่ในระดับการกลั่นร่างขั้น2อยู่เลย ไม่รู้ว่าใช้วิธีอะไรถึงสามารถทำร้ายคุณชายจางได้ แค่นี้ก็คิดที่จะอวดเบ่งตนเองแล้วอย่างนั้นหรือ ?”