บทที่ 2
“เสวียนหนิงอัน เจ้าย่อมรู้ดีที่สุดว่าการแต่งงานครั้งนี้ไม่ควรเกิดขึ้น เป็นเจ้าที่วางแผนชั่วร้าย เอาแต่ใจตนเองไม่แปรเปลี่ยน นิสัยช่างเหมือน...”
เขากลืนคำพูดของตนเอง ข่มใจให้สงบก่อนกล่าวประโยคที่ทำให้คนฟังปวดร้าวเสียยิ่งกว่าเก่า
“ในเมื่อการแต่งงานในครั้งนี้เป็นความลับ ยังเปิดเผยไม่ได้ เจ้าจึงเป็นได้เพียงภรรยาลับของข้า และในเมื่อข้าไม่เคยปรารถนาที่จะแต่งเจ้ามาเป็นภรรยา เรื่องอันใดที่ยังไม่ควรเกิดขึ้นก็ไม่จำเป็นต้องรีบร้อน...คำว่าท่านพี่เองก็เช่นกัน”
“เจ้าค่ะ หนิงเอ๋อร์จะเชื่อฟัง”
“บ่าวในบ้านเหลือเพียงคนที่ไว้ใจได้ ไม่จำเป็นต้องปิดบังสถานะของเจ้ากับข้ายามอยู่ที่นี่ หากอยู่นอกบ้านและมีผู้ใดตั้งข้อสงสัย ให้บอกว่าเจ้าคือหลานที่มาจากต่างเมือง...” เขาหยุดคิดครู่หนึ่ง
“ความจริงแล้วไม่ออกไปข้างนอกจึงจะดี”
“ท่านคิดกักขังข้า?” เสวียนหนิงอันถามด้วยเสียงที่ไม่อ่อนน้อมนัก
“หากไม่เชื่อฟัง การแต่งงานครั้งนี้คงต้องยกเลิก...”
“เจ้าค่ะ หนิงเอ๋อร์จะเชื่อฟัง อยู่ในบ้านเป็นภรรยา อยู่นอกบ้านเป็นเพียงหลานสาว ห้ามมิให้ใครอื่นล่วงรู้สถานะเพื่อรักษาเกียรติของท่าน ส่วนเกียรติของข้า ไม่จำเป็นต้องใส่ใจ”
“เสวียนหนิงอัน! เจ้าวางแผนต่ำช้าเพื่อครอบครองข้า ยังต้องพูดถึงเรื่องใส่ใจเกียรติอันใดอยู่อีกหรือ!”
เสียงตวาดทำให้เสวียนหนิงอันสะดุ้งตัวโยน ตั้งแต่เกิดมาจนอายุได้ สิบหกปี นี่นับเป็นครั้งแรกที่นางถูกตวาดโดยบุรุษที่มิใช่บิดา ความจริงแล้วกระทั่งบิดาก็ทำเพียงเอ่ยตักเตือนเท่านั้น มิใช่ตะโกนเสียงดังลั่น ทำให้นางเผลอกำมือแน่นจนข้อนิ้วขาวซีดน่าสงสาร แต่กระนั้นนางก็ยังอดทน
“หนิงเอ๋อร์ผิดไปแล้วเจ้าค่ะ” ใบหน้าสวยหวานยังคงซ่อนอยู่ใต้ผ้าคลุมสีแดง นางข่มความน้อยใจ สาบานกับตนเองว่าจะมิยอมให้น้ำตาไหลโดยง่าย ถึงอย่างไรนางก็เป็นบุตรสาวของตวนอ๋องสูงศักดิ์ ไม่สมควรแสดงความอ่อนแอให้ผู้ใดเห็น แม้ว่าคนผู้นั้นจะได้ชื่อว่าเป็นสามีของนางแล้วก็ตาม
“มิแน่ใจว่าคำพูดของเจ้าเชื่อถือได้มากน้อยเพียงใด” เสียงแข็งกร้าวไม่น่าฟังอ่อนลงมากแล้ว “เสวียนหนิงอัน หากเปิดผ้าคลุมหน้าแล้ว ข้าคือเจ้าของชีวิตของเจ้า หากสั่งอันใดก็ต้องทำตาม เอาแต่ใจตนเองเช่นที่ผ่านมาไม่ได้แล้ว เข้าใจหรือไม่”
“เจ้าค่ะ หนิงเอ๋อร์จะทำหน้าที่ภรรยามิให้บกพร่อง ดูแลบ้าน...ดูแลท่าน” นางเอ่ยเสียงหวานใส ทว่าแฝงความเศร้าเล็กน้อย ทราบดีว่าใช้น้ำเสียงเช่นนี้แล้วไม่ว่าบุรุษหรือสตรีที่ได้ฟังล้วนใจอ่อน อยากได้สิ่งใดก็มิเคยพลาด แต่ดูเหมือนคนตรงหน้าจะใจแข็งกว่าที่คาดไว้มาก
“คิดว่าทำเสียงออดอ้อนเช่นนี้แล้วข้าจะลืมเรื่องที่เกิดขึ้นได้หรือ เสวียนหนิงอัน จำไว้ว่าข้ามีสิทธิ์ในตัวเจ้า แต่เจ้าไม่มีสิทธิ์เรียกร้องอันใดจากข้า นอกจากทำหน้าที่ภรรยาในส่วนที่ข้าอนุญาตเท่านั้น เสวียนหนิงอัน เจ้ายังต้องการเป็นภรรยาข้าอยู่หรือไม่”
“รักแรกฝังใจไม่ลืมเลือน หนิงเอ๋อร์ไม่มีวันเปลี่ยนใจเจ้าค่ะ”
เสวียนหนิงอันมองเจ้าของร่างสูงที่ขยับเข้ามาใกล้ ลมหายใจของเขาเปลี่ยนจังหวะเล็กน้อยราวกับกำลังตื่นเต้น ทว่านางกะพริบตาครั้งหนึ่งก็สัมผัสได้ว่าทุกอย่างยังคงสงบนิ่งดังเดิม
เป็นนางที่เข้าใจผิดไป
“เจ้าแค่ลุ่มหลงและต้องการเอาชนะ ความรู้สึกเช่นนี้ย่อมเรียกว่าความรักไม่ได้”
เสวียนหนิงอันไม่เถียง ทว่าจ้องมองฝ่ามือใหญ่ที่ค่อย ๆ เปิดผ้าคลุมหน้าสีแดงอย่างเชื่องช้า แม้เขาไม่อยากมองนางก็จำต้องมอง ทันทีที่ดวงตาของทั้งคู่ประสานกัน ดวงตาสีเข้มก็ทอประกายที่สื่อความหมายไม่แน่ชัด เสวียนหนิงอันไม่ทราบว่าเขาปรารถนาสิ่งใด หากต้องการร่วมเตียงตาม ธรรมเนียมนางก็ยินดี แต่กระนั้นก็ยังหวาดหวั่นจนร่างกายสั่นสะท้าน มิได้พร้อมทำหน้าที่ภรรยาอย่างที่พร่ำบอกตนเองเลยสักนิด
“ท่านอาจะนอนที่นี่หรือไม่” นางรีบร้อนถาม ‘ท่านอา’ เพราะยังไม่พร้อม แต่เขากลับตีความหมายผิดไป
“หึ! ไม่นึกว่าเจ้าโตมาจะเป็นสตรีเช่นนี้ สวรรค์กลั่นแกล้งข้าแล้วจริง ๆ”
สิ้นวาจาร้ายกาจ บุรุษผู้ได้ชื่อว่าเป็นสามีของเสวียนหนิงอันก็จากไป ทิ้ง ‘ภรรยาลับ’ ไว้ในห้องหอตามลำพัง
ใบหน้างดงามของเสวียนหนิงอันปราศจากน้ำตา ทว่าหัวใจดวงน้อยกลับปวดร้าวราวกับถูกเข็มเล็ก ๆ นับร้อยนับพันทิ่มแทง ทั้งยังรู้สึกหนาวเหน็บมิต่างจากถูกน้ำเย็นจัดราดศีรษะในยามเหมันตฤดู
หลังจากใช้เวลาเกือบสองเค่อ ข่มความผิดหวังและความน้อยใจที่ประดังเข้ามาได้แล้ว เสวียนหนิงอันก็เผยรอยยิ้มเด็ดเดี่ยว กระซิบกับตนเองด้วยน้ำเสียงที่หมายมาดอย่างยิ่ง
“สักวันท่านจะต้องรักข้า หากข้าทำให้ท่านกลับมายิ้มได้อีกครั้ง ท่านจะทนใจแข็งไม่รักข้าได้อยู่อีกหรือ...”
