9
เหล่านางรำราวๆ สามสิบกว่าชีวิตถูกต้อนมายังพื้นที่หลังเรือนรับรอง ซึ่งห่างออกมาพอสมควร ยามนั้นสตรีที่รำประทีปอยู่ด้านหลังสุด มีทหารหลายคนมองนางด้วยความสนใจ ทั้งเสื้อผ้าที่สวม กิริยาอ่อนช้อย กลิ่นกายนางก็หอมหวานชวนให้เคลิบเคลิ้ม แน่นอนมันไม่ใช่กลิ่นกายปกติที่สตรีพึงมี หากเป็นนางที่ใช้ความสามารถของตนกลั่นน้ำมันหอมระเหยทั้งจากสมุนไพร และไขมันมนุษย์
“เฮ้ย... น่าเสียดายของสวยของงาม... คำสั่งคือเฉือดพวกนางทั้งหมดเลยหรือ”
คำพูดดังกล่าวทำให้นางรำเข้าใจได้ว่า ช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิตผู้บริสุทธิ์เหล่านี้กำลังจะสิ้นลง ทว่าคนที่เกิดใหม่ในร่างของท่านอาหญิงที่มีนามว่าจางเหยา อีกทั้งมีดวงตาที่สามมองเห็นเหตุการณ์ต่างๆ ในภายหน้า มีหรือจะยอมให้ทหารชั่วช้าของจือฮวน ปลิดชีพนางได้ง่ายๆ อย่างเช่นชาติภพก่อน
ฝ่ายทหารที่เป็นหัวหน้าหน่วยใช้ความคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยว่า
“แบ่งเป็นสองกลุ่มก็แล้วกัน พวกหนึ่งจัดการไม่ให้จดจำสภาพเดิมได้ ส่วนคนงามๆ ข้าจะนำไปขายต่อ ได้เงินสักเล็กน้อย นับว่าไม่เสียแรงเปล่า”
เมื่อเขาแจ้งความต้องการเช่นนั้น ทหารอีกหลายคนก็เห็นด้วย
“จริง พวกเราสมควรได้เงินติดกระเป๋า อีกอย่างจะจัดการอย่างไร ใต้เท้าห่าวก็ไม่ใส่ใจอยู่แล้ว เขาคงกำลังยุ่งอยู่กับการรักษาแผลให้คุณหนูสามจือ ใบหน้านางไม่ได้รับอันตรายก็จริง แต่ที่หลังมือทั้งสองข้าง ข้าคิดว่าคงเกิดแผลเป็น ยกเว้นเสียแต่ได้เกล็ดหิมะพันปีรักษา”
“โถ เจ้าก็เห็นว่านักพรตน้อยถูกฆ่าตายเสียแล้ว และเกล็ดหิมะพันปีที่เขาขโมยมา คงไม่มีใครรู้ที่ซ่อน เช่นนี้คุณหนูสามคงไร้วาสนาเป็นพระชายาของรัชทายาท”
“เฮ้ย เจ้าอย่าพลั้งปากกล่าวสิ่งใดให้มาก เมื่อหลายวันก่อน ขันทีกับสาวใช้หลายคน ถูกฆ่าและโยนร่างทิ้งให้หมาป่ากินมาแล้ว เช่นนั้นไม่ควรหาเรื่องใส่ตัว”
เมื่อมีการเตือน ทหารที่มีหน้าที่เก็บกวาดเหล่านางรำจึงไม่มีใครกล้าเอ่ยถึงจือฮวน และห่าวเจียอีก
ฝ่ายเหวินซืออี้ในร่างจางเหยา เริ่มเข้าใจหลายสิ่ง นางมาอยู่ในช่วงเวลานี้ก็เพราะดวงจิตเดิมไม่ปรารถนาเป็นเหวินซืออี้ ส่วนอาหญิงของนางเป็นผู้หยั่งรู้ อีกฝ่ายจึงหาทางช่วยให้นางได้มีวาสนาดีกว่าเดิม อย่างน้อยที่สุดคือได้มีโอกาสได้ใช้ชีวิตใหม่ และไม่เป็นโง่เขลาอีก ดังนั้นยามนี้เหวินซืออี้คนใหม่ จึงมีดวงตาที่สาม แม้ไม่อาจมองเห็นทุกสิ่งชัดเจน แต่ด้วยไหวพริบที่มี ก็ปะติดปะต่อเรื่องต่างๆ ได้
ในขณะที่ถูกไล่ต้อนไปนั้น เหวินซืออี้พบว่า หนึ่งในนางรำ มีคนผู้หนึ่ง ที่ทำให้นางต้องพยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้
สตรีนางนั้นอายุมากกว่าทุกคน และนางจะเป็นใครได้หากไม่ใช่ผิงจง แม่บ้านของเหวินซืออี้ในชาติภพก่อน
ผิงจงเปรียบได้เหมือนมารดาของเหวินซืออี้ ทั้งรัก และปกป้องเหวินซืออี้นับแต่วันที่นางคลอด เหนื่อยยากเกือบทุกสิ่งในช่วงเวลากว่าที่นางจะเติบโตและตัดสินใจหนีออกจากคฤหาสน์หลังโอ่อา หากสุดท้ายผลตอบแทนผิงจงก็คือความตายที่ไม่เป็นธรรม
ยามนั้น เหวินซืออี้ไม่สนใจพวกทหารแล้ว นางแค่อยากหาบอกบางสิ่งกับผิงจง จากนั้นก็หาวิธีหนีไปด้วยกัน
เหวินซืออี้แสร้งเสียหลัก แล้วเข้าไปเกาะร่างของผิงจงไว้
“อุ๊ย ขะ ขออภัย ข้ามึนศีรษะเล็กน้อย และทางก็มืดมาก” เหวินซืออี้ว่า และป้ายน้ำมันหอมระเหยที่หลังต้นคออีกฝ่าย นอกจากนั้นนางยังทำแขนเสื้อผิงจงขาด เรือนกายของผิงจง จึงล่อสายตาเหล่าทหารชั่ว
การกระทำทั้งหมด ส่งผลให้ผิงจงหวาดเกิดความระแวงเหวินซืออี้
“เจ้าก่อเรื่องให้พวกเราต้องอยู่ในสถานการณ์ลำบาก”
สิ่งที่ผิงจงกล่าว ทำให้เหวินซืออี้มองนางใหม่
“เจี่ยเจียพูดเช่นนี้ หรือว่าท่านก็ถูกส่งตัวมา”
ผิงจงยิ้ม รอยยิ้มของนางเป็นภาพที่เหวินซืออี้ในชาติภพก่อนไม่เคยเห็น คนที่เมื่อก่อนใจเย็นทั้งอ่อนโยน เหตุใดยามนี้ถึงดูคล้ายมีความนัยซ่อนอยู่ หรือแท้จริงแล้ว ผิงจงก็ถูกส่งตัวมาเพื่อทำภารกิจบางอย่าง
จากนั้น ก็เป็นอย่างที่เหวินซืออี้คาด ทั้งนางและผิงจง รวมถึงนางรำอีกราวๆ สิบคนถูกพาเดินลัดเลาะไปตามทางคดเคี้ยว ในขณะเดินฝ่าความมืด ด้านหลังมีเสียงหวีดร้องโหยหวนของนางรำที่ชะตาขาด
เหวินซืออี้ใจสั่นรุนแรง ตัวนางคิดถึงภาพนี้ในช่วงถูก
สวีเกาหานจับได้ว่าเป็นสตรี จึงวางแผนอย่างรวดเร็ว ฝ่ายเขาก็ช่วยสนับสนุนนาง แต่มีข้อแลกเปลี่ยนคือเขาต้องให้นางช่วยขับความขุ่นข้นออกจากร่างกาย ฝ่ายนางแม้จะมีดวงตาที่สาม แต่คนร้ายกาจเช่นสวีเกาหานใช่ว่านางจะทันเล่ห์เหลี่ยมเขาทั้งหมด ดังนั้นจึงยอมไหลตามน้ำ สร้างความสุขให้เขาจนอีกฝ่ายชมเชยไม่หยุด ทั้งยังบอกว่า ตำแหน่งพระชายาเอกของรัชทายาท สตรีนางเดียวที่สมควรครอบครองก็คือนาง
“ข้าไม่ใช่คนปากหวาน ส่วนที่หวานที่สุด คือสิ่งที่เจ้ากลืนลงท้องเมื่อครู่ ถ้าจำรสชาติไม่ได้ ข้าจะเติมมันเข้าไปอีกครั้งดีหรือไม่”
เหวินซืออี้ถลึงตาใส่อีกฝ่าย นางไม่ใช่สตรีร่านสวาท แต่ทำไปทั้งหมดย่อมมีเหตุผล
“หานอ๋องบังคับข้า เรียกว่าข่มเหงจิตใจ และร่างกายก็ไม่ผิด”
“นักพรตน้อย เอ ไม่ใช่สิ ดรุณีน้อย ข้าเห็นว่ายังเยาว์วัย จึงแค่ให้ใช้ปากเสียก่อน วันข้างหน้า ทั้งกลีบข้างหน้าเจ้า และกลีบด้านหลัง เกรงว่า ไม่พ้นที่บุรุษผู้นี้จะได้ครอบครองทุกคืนวัน”
“หึ แคว้นเหลียงช่างสรรหารัชทายาทที่นอกจากว่างงานแล้ว ยังสัปดนเป็นที่สุดมาทำหน้าที่นี้ ”
“ฮ่าๆ ๆ คำชมของเจ้าข้าขอรับไว้ แต่ยามนี้เจ้ากลืนของหวานข้าแล้ว ใยไม่ยอมบอกชื่อแซ่...”
อีกฝ่ายถามเช่นนั้น เหวินซืออี้ก็ใช้ความคิดอยู่ชั่วขณะหนึ่ง ชาติภพนี้นางควรเป็นผู้ใด แม้ร่างกายเป็นของจางเหยา แต่จิตใจคือของเหวินซืออี้
“ให้ข้าเป็นไร้นามดีหรือไม่”
สวีเกาหานส่ายหน้า และหัวเราะร่วน ก่อนตอบว่า
“ข้าเป็นถึงรัชทายาท แม้ไม่ได้เรื่องและเหลวไหลกว่าผู้ใด แต่ยามอุ่นเตียงกับเจ้า หากให้ครางว่า ไร้นาม... โอ้ แม่นางไร้นามคนงาม ตัวข้าเจียนจะหลั่งแล้ว เช่นนี้ ฟังอย่างไรก็พิลึกอยู่สักหน่อย”
พอเข้ากล่าวเช่นนั้น เหวินซืออี้ทั้งขำและจั๊กจี้หัวใจ คนผู้นี้ ทำให้นางมีความสุขและหัวเราะได้ ช่างเป็นบุรุษที่น่าค้นหาเสียจริง
“หากไม่ใช่ไร้นาม ข้าคงต้องเป็น... ซือเหยา... ของท่านก็แล้วกัน”
นางบอกเขาเช่นนั้น อีกฝ่ายจึงโน้มตัวลงมาแล้วจูบนางอย่างดื่มด่ำ กระทั่งเขาถอนจูบออก นางเลยทั้งฉงน ทั้งซ่านสยิวใจ
“นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าได้ชิมของหวานตัวเอง ผ่านริมฝีปากสตรี!”
เหวินซืออี้ไม่อาจทนฟังสิ่งใดได้ เขาเป็นคนบ้าตัณหา และยังทำให้นางหมกหมุ่น พอนางจะหมุนตัวเพื่อสวมเสื้อผ้า เขาจึงกล่าวว่า “เถาวัลย์ผสานใจ จะคลายตัวออกได้ ก็ต่อเมื่อ... หัวใจเจ้ากับของข้า เคลื่อนไหวในห้วงเวลาเดียวกัน”
สิ่งที่เขากล่าว นางย่อมรู้ว่ามีความหมายเช่นไร