2
เหตุการณ์ก่อนหน้า
เหวินซืออี้กราดเกรี้ยวหนัก นางอดทนมานาน ไม่เคยมีปากเสียงอันใดกับคนรัก ก็เพียงแต่อยากทวงถามสิ่งที่นางควรได้รับ ตัวนางต้องทนรับปัญหาสารพัด ตัดขาดญาติพี่น้องเพื่อมาเป็นจ้าวสาวของเซียวหัวเฟิง ผู้ที่เพิ่งก้าวขึ้นรับตำแหน่งแม่ทัพเมื่อไม่นานมานี้ ทว่าสิ่งที่เกิดขึ้น ณ ป้อมสังเกตการณ์ ส่งผลให้เหวินซืออี้กำลังจะจมดิ่งสู่ห้วงเหวลึก
“เฟิงเกอ...ท่านจะไปที่ใด ยามนี้ได้ฤกษ์เข้าหอแล้ว” นางถามน้ำเสียงสั่นอยู่สักหน่อย ด้วยมันเกิดจากความน้อยเนื้อต่ำใจ และความโมโหตนเองที่ไม่อาจพูดสิ่งใดที่รุนแรงอย่างใจนึกได้ นางเป็นสตรีเช่นนี้ โลกสวยงาม มีแต่สิ่งรื่นเริง คำร้ายๆ ไม่เคยหลุดออกจากปาก
จวบจนได้เห็นเกิงเตียวอิ๋ง ฝ่ายนั้นทำเรื่องบัดซบยิ่งนัก ขี่ม้าตัวโตเข้ามาที่นี่ อาภรณ์ที่นางสวมใส่คือ ชุดหยกที่เรียงเป็นแผ่นสี่เหลี่ยมผืนผ้าห้อยต่อกันไว้ ซึ่งกล่าวได้ว่า นางเปลือยกายคงไม่ผิด เพราะมองแล้วช่างเป็นคนไร้ยางอายยิ่ง
“เฟิงเกอ... โอ้ ท่านจะรอให้ร่างกายสตรีผู้นี้ สูญสลายและสิ้นใจเสียก่อนหรือ ถึงจะเข้ามาหาข้า”
เสียงดังกล่าวเรียกขึ้นร้อง ท่าทางสตรีผู้นั้นมิต่างจากโสเภณีชี้และชวนให้บุรุษเข้าไปเสพรักนาง ช่างไร้ค่า ทั้งชวนให้น่าเวทนา
เหวินซืออี้เดือดดาล สุดท้ายนางก็หลุดคำต่อว่าออกไป
“มารดาเจ้าเถอะ มะ มาทางไหน ก็รีบกลับไปตายที่เดิม สถานที่นี้ ไม่มีใครต้อนรับเจ้า”
สีหน้าและดวงตาคมๆ ตึงจัด ดรุณีน้อยของเขา เหตุใดถึงได้มีวาจาน่าชิงชังเช่นนี้ คงเพราะบิดามารดาไร้การอบรม และเขายอมแต่งงานกับนาง ก็นับว่าให้เกียรติมากแล้ว แต่นางเริ่มเผยส่วนที่ร้ายกาจออกมา หากเขาไม่ปรามเสียบ้าง สตรีนางนี้คงกำเริบ และสร้างเรื่องๆ ให้เขาปวดหัวเป็นแน่
และสายที่เซียวหัวเฟิงมองเหวินซืออี้คล้ายคมมีดกรีดหัวในดวงน้อยให้แหลกสลาย แล้วเขาก็ทำร้ายนางรุนแรงด้วยคำพูด
“เสี่ยวอี้ องค์หญิงหกคือคนที่เจ้าควรเคารพ เพราะนางได้ช่วยเจ้าไว้หลายครา ยามนี้ ก็เห็นว่านางนั้นได้รับบาดเจ็บหนักจากการปกป้องบ้านเมือง แต่เจ้ากลับใช้วาจาไม่สมควร เช่นนี้ ยังมีคุณธรรมในใจอยู่หรือ”
เหวินซืออี้ไม่อยากเชื่อหูของตน ไฉนบุรุษที่นางยกย่องและเลือกเขาให้เป็นคู่ชีวิต ถึงกล่าวคำร้ายกาจต่อว่านางต่อหน้าผู้คนมากมาย
ผู้เป็นเจ้าสาวกำหมัดแน่น เล็บของนางทิ่มเข้าเนื้อนิ่ม จนเกิดแผลและมีเลือดไหลซึม
“นางแค่อ้างคำพูดเหลวไหล อีกอย่างมีสตรีคนใดขี่ม้าแล้วเปลื้องผ้าให้ผู้อื่นมองอย่างหมิ่นเกียรติ เฟิงเกอยังมีสติปัญญาอยู่หรือไม่ ข้าหวังว่า ท่านคงไม่หน้ามืดตามัว เห็นสตรีไร้ค่าเป็นเทพธิดาหรอกนะ”
หญิงสาวสาดคำพูดร้ายๆ อีกชุด นั่นคงเป็นเพราะนางเก็บกดไว้ในใจมาเนิ่นนาน
“องค์หญิงหกแจ้งชัดแล้วว่านางได้รับพิษรุนแรง หากไม่รีบช่วย... อาจถึงขั้นเสียชีวิต” เซียงหัวเฟิงตอบกลับน้ำเสียงเข้ม ติดตำหนิผู้เป็นเจ้าสาว
“เฮอะ เฟิงเกอห่วงนางเยี่ยงนั้นหรือ ท่านห่วงผู้อื่นมากกว่าจิตใจของข้า ทั้งที่วันนี้คือวันเข้าหอของเรา”
กล่าวออกไปเช่นนั้น เหวินซืออี้ก็อยากคว้าคำพูดของตนกลับคืนเหลือเกิน เพราะเมื่อมองใบหน้าชายหนุ่ม ก็พบคำตอบที่กระจ่างใจ
“เสี่ยวอี้ หากไม่ได้สะสางปัญหาตรงหน้า ข้าคงไม่ใช่ลูกชายที่ผดุงความยุติธรรม อีกทั้งข้าคงผิดต่อลูกน้องของตน นอกจากองค์หญิงหก ยังมีดวงวิญญาณอีก 115 ดวงที่ข้าต้องล้างแค้นให้พวกเขา”
เซียวหัวเฟิงกล่าวถึงทหารและสหายของเขาที่พลีชีพปกป้องเชื้อพระวงศ์ จากการบุกของมือสังหารที่กำลังล่าสัตว์อยู่ มันคือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ก่อนงานวิวาห์เหวินซืออี้ราวๆ หนึ่งชั่วยามก่อน
“เฟิงเกอ ทะท่าน กล่าวสิ่งใดออกมา ช่างไร้ความรับผิดชอบ ข้ากับท่านดื่มเหล้ามงคลด้วยกัน กราบไหว้ฟ้าดิน มีแขกร่วมงานเป็นสักขีพยาน ไฉนยังจะให้เรื่องอื่นขัดขวางความสุขที่ข้ากับท่านรอมานานอีกเล่า”
“โถ เสี่ยวอี้...เจ้าช่างยึดถือแต่ตนเป็นใหญ่ องค์หญิงหกต้องการเพียงแค่ให้ข้าช่วยเหลือให้นางมีชีวิตรอด หลังจากนั้นข้าจะรับผิดชอบทุกอย่าง และชดใช้ให้เจ้าเอง”
เซียวหัวเฟิง เป็นแม่ทัพและเขามีสกุลเดิมขององค์หญิงหกหนุนหลัง และที่เขายืนยันอยากช่วยเหลือเกิงเตียวอิ๋ง ด้วยรู้ว่าพิษที่ทำร้ายนางในตอนนี้กำลังจะเผาไหม้อวัยวะภายใน และเขาต้องพาอีกฝ่ายไปยังถ้ำหิน อาศัยเตียงหยกแล้วใช้ลมปราณของเขาขับพิษแก่นาง
ฝ่ายเกิงเตียวอิ๋งเป็นสตรีที่เก่งด้านบุ๋น กระนั้นกว่าจะตีฝ่าวงล้อมศัตรูออกมาและควบม้าจะถึงที่นี่ นางต้องใช้พลังไปหลายส่วน สุดท้ายร่างกายนั้นคล้ายถูกเผาไหม้ จึงสลัดเสื้อผ้าออก ยามนี้มีเพียงชุดหยกด้านในที่แนบเนื้อ ซึ่งไม่อาจปกปิดเรือนร่างนางได้ ส่วนเว้าส่วนโค้งของประจักษ์ต่อสายตาผู้อื่น
อึดใจต่อมา หญิงสาวกระอักเลือดกองโต ภาพของนางในยามนี้ สร้างความตื่นตะลึงและเรียกคะแนนสงสารได้ดี อีกทั้งนางเป็นถึงองค์หญิงนักรบ ผิดกับคุณหนูในห้องหอ อย่างเหวินซืออี้ ให้ดีก็มีแต่ความงาม สตรีเช่นนี้เคยทำคุณประโยชน์ให้แผ่นดินหรือ
“แม่ทัพเซียว... เรื่องอื่นพวกเราจัดการเอง ต่อลมหายใจให้องค์หญิงหกเถิด จากนั้นค่อยไปชำระแค้น งานแต่งก็สำคัญ แต่ชีวิตคนที่ช่วยเหลือชาติบ้านเมืองย่อมสูงส่งกว่า ”
จากเสียงหนึ่งที่ดังขึ้น ก็เหมือนจะโน้มน้าวให้เซียวหัวเฟิงทำเช่นนั้น ฝ่ายกัวเตียวอิ๋งที่นั่งอยู่บนหลังม้าก็โงนเงนไปมาเจียนพลัดตกลงมา สถานการณ์ดังกล่าวยิ่งสร้างความคับแค้นใจต่อผู้เป็นเจ้าสาว
จวบจนแม่ทัพหนุ่มก้าวขาหมายใจเข้าไปช่วยเกิงเตียวอิ๋ง ก็เป็นช่วงเวลาดังกล่าวที่เหวินซืออี้ ล้วงมีดสั้นออกมาจากอกเสื้อ ใจนางเดือดพล่าน ห้วงเวลาดังกล่าวเจ้าสาวขาดสติไปเสียแล้ว
“เฟิงเกอ หากท่านก้าวออกไปจากที่นี่แม้แต่ก้าวเดียว... ขะ ข้า เหวินซืออี้ก็จะไปรอเฟิงเกอที่ประตูนรก!”