บท
ตั้งค่า

ดาวดวงน้อย 1

ดาวดวงน้อย

เช้าที่อากาศหม่นมัว พระอาทิตย์ขึ้นแล้ว แต่แสงเร้นอยู่ในม่านควันจากอากาศที่เป็นพิษของเมืองใหญ่ ชายหนุ่มกำลังจะยกกาแฟขึ้นดื่ม แต่ก็ไอออกมาชุดใหญ่ เขาเจ็บคอและไอมาได้หนึ่งสัปดาห์เต็มๆ ไปหาหมอ ก็บอกว่าเขาคงแพ้ฝุ่น PM 2.5 ที่นับวันจะยิ่งหนักขึ้นทุกปี

อยากหนีไปอยู่ในที่อากาศดีๆ แต่งานของเขาก็อยู่ที่กรุงเทพฯ ทั้งงานแสดง งานเพลง

แต่เขาก็อยากมีบ้านพักตากอากาศที่ไม่ไกลจากกรุงเทพฯ มากนัก กำลังหาที่สวยๆ ที่เขาใหญ่ เพราะเพื่อนนักแสดงก็ซื้อที่ดินสร้างบ้านที่นั่นหลายคน

ครอบครัวของเขามีบ้านพักตากอากาศที่หัวหิน นานๆ เขาถึงจะมีเวลาได้ไปพักผ่อนที่นั่นสักครั้ง ตอนนี้อยากมีบ้านพักตากอากาศอีกหลังที่อยู่ไม่ไกลจากกรุงเทพฯ จึงมองที่เขาใหญ่เป็นอันดับแรก

บ้านที่อยู่ตอนนี้สร้างขึ้นจากน้ำพักน้ำแรงของเขาทั้งหมด อยู่บริเวณเดียวกันกับครอบครัว เพราะถึงจะต้องการความเป็นส่วนตัว เพราะมีห้องอัดเสียง และห้องซ้อมเพลง แต่อัทธ์ก็ไม่อยากอยู่ไกลจากครอบครัว

ชายหนุ่มนั่งจิบกาแฟที่เฉลียงบ้าน พร้อมกับหยิบไอแพดขึ้นมาเพื่ออ่านบทละครที่ยังอ่านไม่จบ เป็นละครเรื่องสุดท้ายของปีนี้ จากนั้นเขาจะพักงานละคร เพื่อหันมาทำงานเพลงให้มากขึ้น

เป็นละครที่เขารู้สึกชอบบท ที่สำคัญโลเคชันในจังหวัดที่เขาอยากซื้อที่เพื่อสร้างบ้านพักตากอากาศ ผู้จัดที่สนิทคุ้นเคย เพราะเขาเป็นพระเอกเบอร์หนึ่งของวีราวรรณที่เรียกใช้งานบ่อย ส่วนนางเอกนั้นคือเมทิตา เป็นคู่จิ้นที่เป็นอดีตคนรักของเขานั่นเอง

ซึ่งการกลับมาเล่นละครด้วยกันอีกครั้ง หลังจากที่ไม่ได้เล่นคู่กันมานับสามปี ก็สร้างความสนใจให้กับกลุ่มแฟนคลับทั้งของเขาและของเมทิตาค่อนข้างมาก กระแสคู่จิ้นก็กลับมาอีกครั้งเช่นกัน

หลังจากเลิกรากันไป เขากับเมทิตาไม่ได้พูดคุยกันส่วนตัว แต่ทักทายกันตามงานปกติของนักแสดงร่วมช่อง

เพราะการเลิกราก็ถือว่าจบกันค่อนข้างดี กับเหตุผลที่ต่างคนต่างงานยุ่ง ไม่มีเวลาให้กัน นั่นคือสิ่งที่ตอบนักข่าวและแฟนคลับ แต่ในความเป็นจริงนั้น ความรักมันจืดจางไร้แรงดึงดูดต่อกันตามวันเวลา ไม่มีบุคคลที่สามในความรักระหว่างเขากับเธอ

แต่ตอนนี้เมทิตามีคนรัก เป็นไฮโซฯ หนุ่มนามสกุลดังที่คบหากันมาได้สองปีแล้ว

การมาร่วมงานกันครั้งนี้จึงไม่มีอะไรที่เกินคำว่า ‘คู่จิ้น’ อย่างแน่นอน แม้แฟนคลับบางกลุ่มจะเชียร์ให้เป็นคู่จริงอีกครั้งก็ตาม

สำหรับละครเรื่องใหม่ ซึ่งมีชื่อเรื่องว่า ‘ไร่แสนเสน่หา’ เขารับบทเป็นหนุ่มใหญ่เจ้าของไร่องุ่นที่เป็นพ่อหม้ายลูกหนึ่ง ส่วนนางเอกเป็นดาราที่มาถ่ายละครที่ไร่ของเขา ทำให้เกิดความใกล้ชิด กลายเป็นความรัก

นักแสดงทั้งหมด ทั้งตัวหลักตัวรองถูกแคสต์มาหมดแล้ว ยกเว้นเด็กที่จะเล่นเป็นลูกชายของเขา ทีมงานแคสต์นักแสดงเด็กหลายคนแล้ว แต่ยังไม่ถูกใจ เพราะต้องการเด็กชายที่หน้าตาคล้ายกับเขาให้มากที่สุด

‘ถ้าจะเอาคล้ายมากที่สุดขนาดนั้น คงต้องรอให้เป็นลูกของ’ผมจริงๆ แล้วไหม’

อัทธ์ตอบวีราวรรณไปแบบนั้น เมื่อผู้จัดยังหานักแสดงเด็กไม่ได้เสียที ทั้งที่กฤกษ์เปิดกล้องก็เดือนหน้านี้แล้ว ถ้ายังหานักแสดงเด็กไม่ได้ การเปิดกล้องก็คงต้องเลื่อนไปอีก มันอาจจะทำให้คิวงานเพลงของเขาถูกเลื่อนไปด้วย

ขณะนั่งเครียดกับเรื่องนี้ จู่ๆ วีราวรรณก็โทร. มา ราวกับรู้ว่าเขากำลังหงุดหงิดเรื่องที่อีกฝ่ายยังหานักแสดงมาเป็นลูกของเขาไม่ได้

“อัทธ์ พี่เห็นเด็กที่หน้าตาเหมือนอัทธ์แล้วนะ คือแบบ...เหมือนอัทธ์มากกก จนพี่สงสัยว่าเราไปน่ะไปไข่ทิ้งไว้ที่ไหนหรือเปล่า ฮ่าๆ”

อีกฝ่ายพูดจบประโยคยืดยาวก็หัวเราะร่วน เมื่อวีราวรรณหัวเราะจนสุดเสียง อัทธ์ก็ถามขึ้น

“แล้วพี่ติดต่อเด็กคนนั้นหรือยังล่ะ”

“กำลังติดต่อเอเยนซี่ที่เด็กร่วมงานด้วย”

“หมายความว่าเด็กคนนั้นอยู่ในวงการ”

“ไม่น่าจะ เพราะพี่เองก็เพิ่งเคยเห็นหน้า ถ้าอยู่ในวงการหรือลูกดาราคนดังที่ไหน พี่ก็ต้องคุ้นหน้าบ้างสิ แต่นี่ไม่เลย บอกตรงๆ นะหน้าเหมือนอัทธ์มากๆ เหมือนพ่อลูกกันจริงๆ” วีราวรรณย้ำอีกครั้งจนอัทธ์อยากเห็นหน้าทันที

“ส่งรูปมาให้ผมดูหน่อยสิ”

“เอาไปทั้งคลิปเลยจ้า ส่งทางไลน์นะ แล้วค่อยคุยกัน พี่จะโทร. คุยกับทางเอเยนซี่ที่ทำโฆษณาก่อน” แล้ววีราวรรณก็ส่งลิงก์ผลงานโฆษณาเครื่องดื่มน้ำผลไม้ผสมวิตามินซีแบรนด์ดังตัวใหม่มาให้เขาดู

ยอมรับว่าหัวใจของเขาเต้นด้วยจังหวะแปลกๆ เมื่อเห็นหน้าเด็กชาย ซึ่งตามรูปร่างน่าจะอายุแปดหรือเก้าขวบได้ รูปร่างค่อนข้างท้วม แต่โครงหน้ากลับเรียวเล็ก ทว่าก็มีแก้มยุ้ยๆ หล่อ แต่ก็มีความน่ารักตามประสาเด็ก โดยเฉพาะเวลายิ้ม ดวงตาเป็นสระอิ จนแอบยิ้มตาม ที่สำคัญลีลาเลี้ยงบอลไม่ธรรมดาเลย

เขาชอบเล่นฟุตบอลอยู่แล้ว พอเห็นเด็กที่มีแววว่าจะเป็นนักฟุตบอลที่เก่งในอนาคต เขาก็ยิ่งชอบ แถมหน้าตาเหมือนเขาในวัยเด็กมาก ต่างตรงที่เขาไม่เคยเป็นเด็กเจ้าเนื้อเหมือนเด็กคนนี้เท่านั้นเอง

สงสัยแม่เลี้ยงตามใจปาก

เมื่อดูคลิปโฆษณาจบ อัทธ์ก็ส่งข้อความหาวีราวรรณทันที

“พี่ เด็กคนนี้เหมาะแล้วครับ ติดต่อให้ได้นะครับ”

จากนั้นอัทธ์ก็นั่งดูคลิปโฆษณานั้นอีกหลายๆ รอบ เพื่อจะตอกย้ำว่า เด็กคนนี้เหมือนเขาในวัยเด็กจริงๆ

กระทั่ง...

“ทำไรอยู่” เสียงห้าวห้วนทักทายขึ้น พร้อมกับร่างสูงนั้นเดินไปนั่งเก้าอี้ตรงข้าม

อัทธ์เงยหน้าขึ้นมองผู้มาเยือน ที่นึกจะมาก็มา ไม่เคยบอกกล่าวล่วงหน้าก่อน

“มึงว่างมากเนาะ เข้าออกบ้านคนอื่นเป็นว่าเล่น” แทนที่จะตอบคำถามเพื่อน กลับส่งคำประชดให้อีก

“กูกลัวมึงเหงาไง อยู่บ้านคนเดียวหลังใหญ่โต”

“กูไม่ได้ว่างมากขนาดมานั่งเหงา ว่าแต่มึงเหอะ ไม่ไปดูร้านหรือไง” เขากับนนท์ เป็นเพื่อนตั้งแต่สมัยมัธยมต้น กระทั่งจบปริญญาตรีก็เรียนที่มหา’ ลัยเดียวกัน แยกย้ายกันตอนเรียนปริญญาโทที่อเมริกา

ตอนนี้ทั้งสองทำธุรกิจร่วมกัน ด้วยการเปิดร้านคาเฟ่ในย่านธุรกิจ โดยนนท์เป็นคนบริหารร้านทุกอย่าง ส่วนอัทธ์แค่เอาเงินไปลงทุนด้วยเท่านั้น

“อยากมากินมื้อเที่ยงกับมึงก่อน เดี๋ยวไปร้านตอนบ่ายไง เอออัทธ์ มึงจำรุ่นน้องคณะที่ชื่อบาลีได้ไหม”

“คนที่มึงเคยจีบแล้วแห้วน่ะเหรอ” เขาบอกน้ำเสียงเรียบๆ แต่แววตากลับวูบไหว

“ไอ้บ้า กูไม่ได้แห้ว แค่น้องเขามีแฟนแล้ว เลยปฏิเสธกูต่างหาก ซึ่งมันก็ถูกแล้วเปล่า ขืนน้องเขามารับรักกู นั่นเท่ากับว่าน้องนอกใจแฟนตัวเอง และกูก็จะกลายเป็นมือที่สามน่ะสิ”

นั่นคือเหตุผลที่นนท์บอกอัทธ์ตอนไปจีบบาลี แล้วฝ่ายหญิงปฏิเสธ

“เมื่ออาทิตย์ก่อน เหมือนกูเห็นเขาที่ห้าง จูงมือเด็กคนหนึ่งอยู่ในแผนกของเล่น กำลังว่าจะเข้าไปทัก แต่คลาดกันเสียก่อน”

“แค่สองคนเหรอ อือ ไม่เห็นสามีเขาเลย” อัทธ์ถาม เพราะครั้งสุดท้ายที่เขาเห็นเธอ เมื่องานอีเวนท์ล่าสุด ก็เกือบสองเดือนแล้ว แม้จะเห็นจากระยะไกล แต่เขาก็ไม่มีวันที่จะจดจำหญิงสาวคนนั้นไม่ได้

ส่วนนนท์เคยเห็นบาลีตอนท้อง อีกฝ่ายเดินจูงมือกับผู้ชายคนหนึ่งในแผนกของใช้เด็กอ่อนของห้างสรรพสินค้า นนท์จึงมั่นใจว่าผู้ชายคนนั้นคือสามีบาลี ซึ่งน่าจะเป็นคนเดียวกันกับที่บาลีคบมาตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย จากสภาพของบาลี เด็กในครรภ์น่าจะประมาณหกเจ็ดเดือน บาลีในตอนนั้นก็เรียนจบปริญญาตรีได้ไม่ถึงปี

นนท์ไม่กล้าเข้าไปทัก ไม่อยากเจอสามีของอีกฝ่าย ยอมรับว่าเห็นภาพนั้น มันแปลบที่ใจเช่นกัน

“ไม่เห็นนะ หรือจะเลิกกันแล้ว” ท้ายประโยคนั้นทำเสียงตื่นเต้น

“ถ้าเลิกแล้ว มึงจะกลับไปจีบเขาอีกหรือไง”

“เปล่าหรอก แม่ม่ายลูกติดไม่ใช่สเปกกู และกูไม่อยากเป็นพ่อเลี้ยงใครทั้งนั้น ลูกจริงๆ กูยังไม่แน่ใจเลยว่าจะเลี้ยงได้ไหม” เพราะนนท์เพิ่งหย่ากับภรรยาเมื่อปีก่อน หลังจากใช้ชีวิตคู่มาสามปี แต่ไม่มีลูกด้วยกัน ตอนนี้นนท์ก็มีคนคุยไปเรื่อยตามประสาหนุ่มโสด

“ใช่แล้ว ก่อนอื่นมันต้องเลี้ยงตัวเองให้ได้ก่อน” พูดจบอัทธ์ก็ลุกจากเก้าอี้ เดินตรงไปยังชั้นบน

“อ้าวไอ้นี่ ด่ากูอีกแล้ว อาบน้ำแล้วรีบลงมานะโว้ย กูหิวแล้ว จะบอกให้ป้าเขียวตั้งโต๊ะรอ” นนท์ส่งเสียงไล่หลังเจ้าของบ้าน ก่อนเจ้าตัวจะเดินเข้าไปในครัว ทักทายแม่บ้านและเด็กรับใช้ ที่กำลังจัดเตรียมอาหารกลางวันขึ้นโต๊ะ

"""""""""""""""""

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel