บท
ตั้งค่า

ตอนที่ : 2 ชนวนร้าว 2

เสียงฝีเท้าหลายสิบคู่วิ่งกรูกันขึ้นมาตามเสียงดังของปืน ความวุ่นวายโกลาหลเกิดขึ้นทั่วบริเวณชั้นสองของตัวบ้าน เสียงกรีดร้องด้วยความตกใจของบรรดาแม่บ้านตามมาด้วยเสียงร้องไห้ระงมทว่าศิงขรกลับไม่สามารถรับรู้สิ่งใดเพิ่มได้อีก ท่ามกลางผู้คนที่กำลังวิ่งวุ่นกันอยู่ เขาพาร่างอันไร้ชีวิตจิตใจเดินออกจากหน้าห้องของมารดา ก้าวลงขั้นบันไดไปอย่างช้าๆ ก่อนจะออกพ้นเขตบริเวณบ้าน มุ่งหน้าเข้าป่าอย่างไร้จุดหมายปลายทาง

เด็กหนุ่มผู้สูญเสียบิดาไปด้วยเหตุผลแห่งความอัปยศอดสู อีกทั้งยังต้องมาเจอภาพมารดาปลิดชีพตนเองคาตา จึงเกิดอาการช็อกอย่างรุนแรง สภาพจิตใจย่ำแย่จนไม่สามารถรับรู้สิ่งใดได้อีก ศิงขรเดินตัวลอยออกจากบ้านไปด้วยสภาพเท้าเปล่า พลัดหลงเข้าไปในป่าโดยไม่รู้ตัว ในหัวของเขามีแต่ภาพเลือดนองพื้นห้องของมารดา ดวงตาเหม่อลอยเหมือนคนไร้วิญญาณ ออกห่างอาณาเขตของม่านภูผาเข้าไปในป่าลึกที่ไม่มีใครอยากย่างกรายเข้าใกล้

“นายสนมีคนบุกรุก” เสียงคนตะโกนดังลั่นไปทั่วบริเวณป่า ทำให้ชายสูงวัยผู้มีผมยาวกลางหลังหันกลับมามองด้วยความแปลกใจ เพราะน้อยครั้งนักที่จะมีคนนอกผ่านเข้ามาในป่าแห่งนี้

“มันเป็นใคร” เจ้าของน้ำเสียงทรงอำนาจถามขึ้น

“ไม่รู้เหมือนกันนายสน เป็นเด็กหนุ่มวัยรุ่น ไอ้แดนกำลังคุมตัวมาอยู่โน่นไง” คนบอกชี้นิ้วไปอีกด้าน นายสนนิ่วหน้าเพ่งมองดูคนบุกรุกว่าเป็นใคร

“คุกเข่าลง”

แดนเตะเข้าตรงข้อพับเข่าของศิงขร เด็กหนุ่มก็ทิ้งตัวลงไปคุกเข่าบนพื้นอย่างไม่อิดออดแต่อย่างใด ครั้นนายสนได้เห็นหน้าของเด็กหนุ่มอย่างชัดเจนก็เป็นอันต้องตกใจ รีบตรงเข้าไปชันเข่าลงบนพื้นดินตรงหน้า แล้วดันคางของศิงขรให้เงยขึ้นเพื่อมองให้ถนัดอีกครั้ง

“ศิงใช่ไหมลูก” ชายสูงวัยจับหัวไหล่ทั้งสองข้างของศิงขรก่อนจะเขย่าไปมาแรงๆ แต่ปฏิกิริยากลับมีเพียงอาการนิ่งเฉยแววตาเหม่อลอยออกไปไกล

“นายสนรู้จักด้วยเหรอครับ” แดนถามด้วยความข้องใจ

“เออ หลานชายข้าเอง” คำตอบนี้ทำให้ทุกคนที่อยู่บริเวณนั้นหันไปมองหน้ากันเหลอหลา หลานชายของนายสนควรจะอยู่ที่ม่านภูผา แล้วทำไมถึงได้มาเดินเหม่อลอยกลางป่ากลางเขาแบบนี้ได้

“ศิงตอบตาสิลูก” นายสนเขย่าร่างของหลานชายอีกครั้งแต่ก็ไม่มีปฏิกิริยาตอบกลับ แววตาของศิงขรยังคงเหม่อลอยไปข้างหน้าราวกับวิญญาณไม่อยู่กับตัว

“แดนแกไปสืบมาสิว่าเกิดอะไรขึ้นที่ม่านภูผา”

“ได้ครับนายสน” แดนรับคำก่อนจะหันไปส่งสัญญาณให้ลูกน้องอีกสองคนตามติดไปสืบเรื่องนี้ด้วย

“ไปศิงเข้าไปในบ้านของตาก่อน” ชายสูงวัยดึงร่างของหลานชายให้ลุกขึ้น แล้วจูงมือให้เดินเข้าไปในกระท่อมไม้ที่ตั้งอยู่ใจกลางหมู่บ้าน

หนึ่งชั่วโมงผ่านไปคนที่เข้าไปสืบข่าวก็กลับมา เรื่องราวทั้งหมดถูกเล่าต่อให้แก่ผู้เป็นนายได้รับรู้ ชายสูงวัยเหมือนถูกควักหัวใจออกจากอก ลูกสาวสุดที่รักต้องเจ็บปวดจากผู้ชายคนนั้น นายสนทรุดตัวลงนั่นบนแคร่ไม้อย่างไร้เรี่ยวแรง ตอนนั้นหากตนคัดค้านเรื่องแต่งงานให้ถึงที่สุด เรื่องร้ายในวันนี้ก็คงจะไม่เกิดขึ้น

‘ถ้าพ่อไม่ให้หนูแต่งงานกับพี่อาจหนูจะฆ่าตัวตาย!’

คำประกาศกร้าวของนางกัลยาณีเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว ทำให้คนเป็นพ่อตัดสินใจยินยอมให้พวกเขาแต่งงานกัน จากนั้นนายสนก็ออกมาตั้งรกรากในป่าลึกพร้อมคนของตัวเอง ยกทรัพย์สินทั้งหมดให้อยู่ในความดูแลของลูกสาวและสามี นั่นเป็นเพราะว่าเขามีอุดมการณ์ที่แตกต่างจากนายองอาจ นายสนชอบวิถีแบบสมถะในธรรมชาติ ส่วนลูกเขยนั้นต้องการทำธุรกิจที่ติดต่อสื่อสารกับโลกภายนอก นายสนตัดสินใจทิ้งจดหมายฉบับหนึ่งเอาไว้ โดยลงท้ายว่า ‘อย่าตามหา’ จากนั้นก็เดินทางเข้าไปอาศัยอยู่ในป่ากับชาวบ้านที่ศรัทธาในตัวเขาเกือบสิบกว่าครัวเรือน

“นายสนครับแล้วคุณศิงล่ะครับ” เสียงถามของแดนทำให้เขาตื่นขึ้นจากความหลังหนเก่า

“หลับไปแล้ว ฝากดูแลเจ้าศิงมันด้วยนะแดน ข้าจะต้องเข้าไปจัดงานศพให้ลูกสาวข้า” ท้ายประโยคนั้นคำพูดช่างเบาหวิว ราวใจคนพูดจะขาดรอนๆ ลง

“ครับนายสนไม่ต้องเป็นห่วง” แดนรับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะพร้อมกับส่ายหน้าให้กับชะตากรรมอันเลวร้ายในวันนี้ของผู้เป็นนาย

คนสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ในชีวิตเดินทางออกจากป่า กลับสู่ถิ่นเกิดของตัวเองพร้อมกับลูกน้องอีกจำนวนหนึ่ง ทันทีที่คนในบ้านเห็นนายสนทุกคนก็รู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะธนกิจเขาไม่คิดว่าจะได้พบเจอนายเก่าในวันนี้

“นายสนมาได้ยังไงครับ” ธนกิจยกมือขึ้นไหว้อีกคนด้วยความรู้สึกดีใจอย่างท่วมท้น

“ลูกข้าตายทั้งที ข้าต้องมาสิเดี่ยว เป็นยังไงบ้าง” คนถามฝืนใจยิ้มบางๆ ให้ลูกน้องเก่าคนคุ้นเคย

“ขอโทษครับนายสน คือว่าคุณศิงหายตัวไปจากบ้านตอนที่เกิดเหตุชุลมุนกัน เรายังหาตัวคุณศิงไม่เจอเลยครับ” ธนกิจพูดแล้วก็ก้มหน้าต่ำด้วยความรู้สึกผิด

“หลานข้ามันเตลิดเข้าป่าไป โชคดีที่คนของข้าไปพบเข้า ไม่ต้องตกใจไปเดี่ยว ตอนนี้ศิงมันปลอดภัยแล้ว”

“จริงเหรอครับนายสน”

“จริงสิไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอกเดี่ยว”

“คุณศิงอยู่ในความดูแลของนายสนก็ดีแล้ว พวกผมเป็นห่วงแทบแย่” คนพูดเป่าปากอย่างโล่งอก เพราะไม่เช่นนั้นแล้วเขาคงได้แบกรับความรู้สึกผิดนี้ไปจนตาย

“ปลอดภัยแล้วจริงๆ ไป พาข้าไปดูในบ้านหน่อย”

ธนกิจรีบนำทางพานายสนเข้าไปในตัวบ้าน จากนั้นก็พาไปยังวัดที่เป็นสถานที่ตั้งสวดอภิธรรมศพ

งานศพถูกจัดขึ้นพร้อมกันทั้งนายองอาจและนางกัลยาณี ทั้งงานเต็มไปด้วยเสียงซุบซิบนินทา รวมไปถึงความแปลกใจในการปรากฏตัวขึ้นของนายสน ศิงขรไม่อาจมาร่วมงานศพของบุพการีทั้งสองคนได้ เนื่องจากสภาพทางจิตใจนั้นยังคงไม่เป็นปกติดี

“คุณศิงจะไม่มาจริงๆ หรือครับนายสน” ธนกิจถามในวันที่ต้องเผาศพทั้งสองคนอีกครั้ง ด้วยความเป็นห่วงว่าลูกชายจะเป็นยังไงหากไม่ได้มาส่งวิญญาณของพ่อแม่

“ข้าไม่ให้มา เอ็งไม่ไปเห็นหลานข้าในตอนนี้ สภาพแบบนั้น ขืนมางานศพมีหวังได้เป็นบ้าไปพอดี”

แต่ก็ใช่ว่าคนเป็นตาจะปล่อยเรื่องนี้ผ่านเลย เขาได้เชิญจิตแพทย์มือดีให้เข้าไปรักษาหลานชายถึงในป่าลึก ใช้เวลาราวหนึ่งเดือน ศิงขรก็เริ่มพูดจาประสาคนรู้เรื่อง ก่อนจะถูกคนเป็นตาเคี่ยวเข็ญให้เข้มแข็งและแกร่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นทางร่างกายหรือจิตใจ ศิงขรค่อยๆ กลับคืนสู่สภาพปกติได้ในเวลาต่อมา และเมื่อประจักษ์แก่สายตาและคำยืนยันจากจิตแพทย์ว่าศิงขรหายเป็นปกติดีแล้ว สามเดือนถัดมาสองตาหลานจึงได้เดินทางกลับมาอยู่ที่บ้าน

ศิงขรเกือบจะกลายเป็นคนเสียสติไปจากเหตุการณ์ในครั้งนี้ ด้าน สุริยกาล อิงตะวัน บุตรชายของนางนวลผ่องเองก็ใช่ว่าสภาพจิตใจจะปกติดีดังเดิม เด็กหนุ่มในวัยสิบห้าปีได้ก่อเกิดหลุมดำภายในหัวใจ สุริยกาลรู้สึกเกลียดชังมารดาของตัวเองจนไม่อาจให้อภัยได้ มีเพียงนวลหงน้องสาวในวัยห้าขวบที่เฝ้าอยู่เคียงข้าง เพราะว่าอาทิตย์ผู้เป็นบิดาได้กลายเป็นคนเก็บเนื้อเก็บตัวและเกิดภาวะซึมเศร้า ศักดิ์ศรีของลูกผู้ชายที่ถูกภรรยาสวมเขา ทำให้เขากลายเป็นคนเก็บกด

ในวันที่สุริยกาลเรียบจบมหาวิทยาลัย นายอาทิตย์ก็ตัดสินใจออกบวชละทิ้งทางโลกไป ปล่อยสองพี่น้องให้ใช้ชีวิตตามลำพัง

“พี่กาลพ่อทิ้งเราไปแล้ว” ในวันที่บิดาออกบวชนวลหงเอ่ยคำนี้กับพี่ชายพร้อมกับน้ำตาคลอเบ้า

“ไม่ใช่หง พ่อไม่ได้ทิ้งเรา ท่านแค่ออกเดินทางชีวิตใหม่แค่นั้นเอง” พูดแล้วก็ดึงน้องสาวเข้ามากอดเอาไว้ ไม่ทิ้งก็เหมือนทิ้งอยู่ดี สุริยกาลเองก็ไม่รู้ว่าจะใช้คำพูดไหนมาปลอบน้องสาวได้อีก

“พี่กาลอย่าทิ้งหงนะคะ” เด็กสาวออดอ้อนพี่ชายอย่างน่าสงสาร

“พี่ไม่มีวันทิ้งเราหรอกหง พี่สัญญา” สุริยกาลยกนิ้วขึ้นเกี่ยวก้อยกับน้องสาว เมื่อบิดาตัดสินใจแบบนี้ลูกชายอย่างเขาก็คงต้องปล่อยท่านไป หน้าที่จากนี้ไปของเขาคือการดูแลนวลหงกับอิงตะวันให้ดีที่สุด เท่าที่สองมือของสุริยกาลคนนี้จะทำได้

สุริยกาลจึงกลายเป็นคนดูแลอิงตะวันนับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา โดยมีอดิษฐ์หัวหน้าคนงานในวัยสี่สิบห้าปีคอยช่วยเหลือดูแลมาโดยตลอด หลายปีต่อมาเขาก็ตัดสินใจส่งนวลหงเข้าไปศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยเอกชนในกรุงเทพฯ เป็นครั้งแรกที่หญิงสาวต้องจากบ้านไปอยู่ในเมืองกรุงเพียงลำพัง

นวลหงถูกปลูกฝังความบาดหมางลงไปในความทรงจำตั้งแต่เล็กจนโตจากคนเป็นพี่ชาย ห้ามคบหาหรือพูดคุยกับคนของม่านภูผาโดยเด็ดขาด และห้ามไม่ให้คนของทั้งสองบ้านคบหากันฉันมิตรอีกด้วย

ความสัมพันธ์ของอิงตะวันกับม่านภูผานับวันก็มีแต่ถดถอยลง ไม่มีการติดต่อสื่อสารหากันแต่อย่างใด แม้ไม่ได้โกรธแค้นกันโดยตรง แต่หากจะให้พูดคุยแบบปกติทั่วไปก็คงยาก สิ่งที่คนตายได้ก่อเอาไว้ในอดีต กลายเป็นชนวนแห่งความเคียดแค้นต่อคนรุ่นหลังแบบเงียบๆ และยังคงเฝ้ารอวันปะทุขึ้นมาในภายภาคหน้า

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel