1. คลุมถุงชน
"ว่าไงนะ! จะให้ผมแต่งงานเหรอ!" เสียงลูกชายเจ้าของสวนผลไม้ส่งออกที่ใหญ่ที่สุดของจังหวัดตะโกนลั่นบ้านจนคนงานที่กำลังทำงานนอกเรือนบ้านพากันหันมองหน้ากันเลิ่กลั่ก สงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นภายในบ้านพ่อเลี้ยงกันแน่
"ผมไม่แต่ง!" ธันวาพูดเสียงแข็ง ชายหนุ่มผู้รักอิสระไม่เคยคบใครเป็นแฟน จู่ ๆ ครอบครัวจะจับแต่งงานเขาย่อมไม่ยอมอยู่แล้ว
"แต่ทางครอบของลุงกรเขาเดือดร้อนจริง ๆ นะตาธัน" ดวงเดือน มารดาของธันวาพูดขึ้น
"ก็ช่างเขาสิ เดือดร้อนแล้วมันมาเกี่ยวกับที่ต้องให้ผมไปแต่งงานกับลูกเขายังไง" ธันวาพูดขึ้นอย่างไม่แยแส จริงอยู่ที่ว่าสองครอบครัวนี้สนิทสนมกันแต่เรื่องที่จะให้ลูก ๆ มาดองกันทั้งที่ไม่ได้รักกันนี่มันออกจะเป็นเรื่องใหญ่ไปสักหน่อย
เขายังอยากจะใช้ชีวิตอิสระไปแบบนี้ไปอีก ยังไม่อยากมีห่วงผูกคอแบบเพื่อน ๆ ที่เวลาจะไปไหนก็ต้องห่วงเมียห่วงลูกที่บ้าน มาสังสรรค์กันแป๊บ ๆ ก็พากันกลับ
"บริษัทของลุงเขาต้องการเครดิต ต้องมีแบล็กช่วยหนุนจะได้ดูมั่นคง ไม่อย่างนั้นพวกบริษัทเมืองนอกไม่ยอมมาเซ็นสัญญารับสินค้าของลุงเขา ต่อไปลุงกรต้องล้มละลายแน่ ๆ " ทิวภพ บิดาของธันวาพูดเกลี้ยกล่อมอีกแรง บริษัทของเพื่อนนั้นขาดทุนเพราะส่งออกได้น้อย เขามองไม่เห็นทางที่จะช่วยเพื่อนอย่างไรแล้วจึงต้องใช้วิธีนี้เพราะบริษัทของเขานั้นใหญ่โตพอที่จะใช้หนุนบริษัทที่เล็กกว่าได้ ถ้าหากให้สองครอบครัวได้มาเกี่ยวดองกันจะได้ดูเชื่อถือมากขึ้น
"จะล้มละลายจนจะต้องขายลูกเนี่ยนะ" ธันวาเอ่ยอย่างหงุดหงิดที่ทางนั้นถึงต้องเอาลูกไปประเคนให้ผู้ชายเพียงเพื่อต้องการความมั่นคงให้บริษัท
"นี่! แกพูดอะไรแบบนั้น ฉันนี่แหละเป็นฝ่ายเสนอแกให้ทางนั้นเอง เห็นแกไม่เห็นมีแฟนสักทีฉันเลยจัดให้" ทิวภพถึงกับขึ้นเสียงเมื่อลูกชายเริ่มจะลามปาม
"พ่อ ผมเป็นลูกพ่อนะ จะยกให้คนอื่นง่าย ๆ ได้ยังไง?" ธันวาหน้ายุ่งขึ้นกว่าเดิมเมื่อได้ยินว่าพ่อเขาเป็นผู้ต้นคิดเรื่องทั้งหมด นี่พ่อถึงกับเอาเขาไปประเคนให้ผู้หญิงเลยเหรอ เขาไม่ใช่คนที่จะขาดแคลนเรื่องผู้หญิงสักหน่อย ที่ผ่านมามีแต่ผู้หญิงจ้องจะวิ่งเข้าแต่เป็นเขาเองที่ไม่อยากมีพันธะจึงซื้อกินไปครั้ง ๆ ไป
"แต่งกับหนูรินเถอะนะตาธัน ตอนนี้ป้านิราเขาก็ป่วย นอนอยู่โรงพยาบาลเป็นอาทิตย์แล้ว ไหนจะค่ารักษาไหนจะโรงงานขาดทุน บ้านนั้นเขาแย่จริง ๆ นะลูก"
"ในเมื่อเขาเดือดร้อนทางการเงินแล้วทำไมพ่อไม่ให้เขากู้ล่ะ?"
"ให้กู้น่ะพ่อให้กู้ไปแล้ว แต่เงินแค่นั้นไม่เท่าไหร่ก็หมด เขาต้องการการช่วยเหลือระยะยาว บริษัทลุงกรต้องยืนได้ด้วยตัวเองถึงจะอยู่รอด" ทิวภพตอบลูกชายไปตามความเป็นจริงว่าเขาได้ให้เพื่อนกู้ไปจำนวนหนึ่งแล้ว แต่นั่นเป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเท่านั้น
"โอ๊ย ผมปวดหัว แล้วต้องใช้เวลาเท่าไหร่บริษัทเขาถึงจะอยู่รอดล่ะ ผมจะไม่ต้องติดแหงกกับยัยเด็กนั่นตลอดชีวิตเลยหรือไง" ธันวาโอดครวญเมื่อนึกไปถึงยัยเด็กรินรดาลูกสาวไร่โน้นที่ทั้งดำทั้งผอมอย่างกับไม้เสียบผี จะโดนจับคลุมถุงชนทั้งทีขอให้มีเมียสวย ๆ อึ๋ม ๆ หน่อยไม่ได้หรือไง ยิ่งคิดยิ่งเครียด
"งั้นเอาอย่างนี้ พ่อขอเวลาให้ลุงกรเขาหนึ่งปีที่จะสร้างรากฐานให้บริษัทเขา ถ้าหนึ่งปีแล้วเขายังตั้งตัวไม่ได้แกอยากจะหย่าก็หย่าพ่อจะไม่ห้าม เป็นผู้ชายถ้าหย่าคงไม่เสียหายหรอก"
"เฮ้อ.." ธันวาถอนหายใจเสียงดังอย่างหนักใจ จริงอยู่ที่ผู้ชายแต่งแล้วหย่านั้นไม่เสียหายเท่าผู้หญิง แต่การที่แต่งงานไปแล้วเขาไม่อาจจะไปเที่ยวเล่นกับหญิงอื่นได้ไม่เช่นนั้นชื่อเสียงของพ่อแม่คงมัวหมองว่าลูกชายแต่งเมียเป็นตัวเป็นตนแล้วยังนอกใจนอกกายไปกินหญิงนอกบ้าน ตั้งหนึ่งปีเลยนะที่เขาจะต้องอดอยากปากแห้ง จะให้ทำแบบนั้นกับยัยเด็กดำถ่านนั่นก็คงเอาไม่ลง
"ธันวา พ่อเคยเล่าให้ฟังแล้วใช่ไหมว่าลุงกรเขาเคยมีบุญคุณกับพ่อมาก ตอนพ่อยังไม่มีอะไรก็ได้ลุงกรช่วยเหลือจนตั้งบริษัทได้ตั้งโรงงานได้เป็นสิบ ๆ แห่งแบบนี้ ถึงคราวที่พ่อจะต้องช่วยเขาบ้าง" ทิวภพเคยเล่าเรื่องราวสมัยก่อนให้ธันวาฟังประจำว่าเมื่อก่อนกรวิทย์นั้นมีฐานะกว่าตนมากนัก พอทิวภพอยากตั้งบริษัทก็ได้กรวิทย์ช่วยเซ็นค้ำประกันกู้เงินจากบริษัท ไหนจะให้หยิบยืมอีกตั้งมากมาย
แต่ที่ตอนนี้กรวิทย์มีปัญหาก็เพราะว่าโดนหุ้นส่วนโกงไปหลายสิบล้านบาทซึ่งตอนนี้อยู่ในช่วงดำเนินคดีอยู่ แต่เพราะบริษัทต่างชาติได้รับข่าวก็รู้สึกไม่ไว้วางใจว่าบริษัทของกรวิทย์ที่กำลังระส่ำระสาย จะทำสินค้าให้ตามออร์เดอร์ได้ไหมจึงได้สั่งสินค้าน้อยลง จากที่มีปัญหาอยู่แล้วจึงเกิดปัญหายิ่งกว่าเพราะเม็ดเงินที่จะเข้าบริษัทนั้นน้อยลงมากกว่าเดิม
"วันนี้แม่จะไปเยี่ยมป้านิรา แกไปกับแม่นะ" ดวงเดือนพูดขึ้นเพราะวันนี้ตั้งใจจะไปเยี่ยมไข้คนป่วยอยู่แล้ว ถ้าไปคงได้เจอกับรินรดาที่เฝ้าแม่ของเธออยู่และเจ้าลูกชายจะได้หน้าลูกสาวบ้านนั้น เพราะรู้สึกว่าตั้งแต่ธันวาไปเรียนที่กรุงเทพทั้งคู่ไม่ค่อยได้เจอกันเลย พอเรียนจบธันวาก็ทำงานอยู่บริษัทที่กรุงเทพเลยนาน ๆ ครั้งจึงจะได้กลับมาบ้าน
"เมื่อคืนผมไปเที่ยวมาตอนนี้ง่วงมาก แม่ไปกับพ่อเถอะ ผมไม่อยากไป"
เพี้ยะ!
สิ้นเสียงทุ้มก็มีเสียงเนื้อกระทบเนื้อดังลั่นจนผู้ชายต่างวัยสองคนถึงกับสะดุ้ง คนสูงวัยสะดุ้งเพราะที่ได้ยินเสียง คนหนุ่มสะดุ้งเพราะรู้สึกแสบแปลบที่ต้นแขนอันเกิดจากฝ่ามืออรหันต์ของผู้เป็นแม่นั่นเอง
"ก็ได้แต่เที่ยวเตร่แบบนี้ไงถึงไม่มีผู้หญิงเอาแกเป็นผัว พ่อเขาถึงได้จับแต่งงานแบบนี้ รีบไปอาบน้ำแต่งตัวเดี๋ยวนี้เลยนะ!" ดวงเดือนบ่นให้ลูกชายตัวดี เพราะเธอยิ่งไม่ชอบใจอยู่แล้วที่ลูกชายกลับบ้านทีไรไม่เคยอยู่ติดบ้านเลยสักวัน เอาแต่เหาะระเห็ดไปนู่นไปนี่ได้ทุกวัน
"ผมไม่อยากไป โอ๊ย ๆ แม่อย่าบิด ผมเจ็บนะ" ธันวาพูดปฏิเสธแต่เขาก็ต้องร้องลั่นแต่ทิวภพหัวเราะร่าสะใจที่เห็นลูกชายโดยแม่บิดจนแทบจะเนื้อเขียว
"สมน้ำหน้า ไปกับแม่เขาไป พ่อจะเข้าไร่สักหน่อย" ทิวภพเยาะเย้ยก่อนจะลุกขึ้นหยิบหมวกปีกกว้างที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นสวมศีรษะแล้วเดินหนีออกนอกบ้านไป ไม่สนใจที่ลูกชายที่โดนแม่ทำโทษนั่นเลย
"รีบไปอาบน้ำ แม่ให้เวลาสิบนาที" ดวงเดือนบิดเนื้อต้นแขนหนาแรง ๆ อีกหนึ่งทีขณะที่สั่งการ
"แม่.." เสียงทุ้มเอ่ยเสียงอ่อย
"รีบไป.." แต่เสียงที่ดวงเดือนตอบกลับเป็นเสียงกดต่ำตามแบบฉบับแม่บ้านจอมดุแม้แต่พ่อบ้านอย่างทิวภพยังไม่กล้าหือ
ธันวาจึงต้องไปอาบน้ำแต่งตัวพามารดาไปโรงพยาบาลตามคำสั่งประกาศิตนั่น ลองแม่ได้โมโหแล้วใครก็ขัดใจท่านไม่ได้
...................................
เด็กดำถ่าน ว่าซ่านนนนนน555555