ตอนที่ 1 ข้อตกลงกับคุณหมอ
โรงพยาบาลเอกชนชื่อดัง
“แม่ไม่ต้องห่วงนะ เฟรย์จะรออยู่หน้าห้องผ่าตัด”
ผู้เป็นแม่ทำได้แค่ยิ้มให้เธอก่อนที่เตียงคนไข้จะถูกเข็นเข้าไปในห้องผ่าตัด “ณิชมน" ได้แต่ยืนมองอยู่ด้านนอก ไม่นานคุณหมอที่สวมชุดพร้อมผ่าตัดก็เดินเข้ามาหาเธอ
“ไม่ต้องห่วง คุณแม่ของคุณจะปลอดภัย”
“ขอบคุณค่ะ”
ดวงตาหม่นนั้นไม่ได้บอกถึงความยินดี สายตาของคุณหมอเจ้าของไข้เองก็เช่นกัน เขาก็ไม่ได้หวังว่าเธอจะเข้าใจในการทำงานของเขา ทุกอย่างที่เกิดขึ้นล้วนเกิดจากข้อแลกเปลี่ยนของทั้งคู่ทั้งหมด
ก่อนหน้านั้นสองเดือน
“เคสนี้เป็นเคสที่ค่อนข้างหนัก คุณแม่ของคุณต้องทำการผ่าตัดค่ะ”
“อะไรนะคะ แต่ประกันชีวิตที่คุณแม่ทำไว้ วงเงินอาจจะไม่พอ”
“เท่าที่ดูแล้วน่าจะเพียงพอในการผ่าตัดครั้งแรกค่ะ แต่เรื่องค่าใช้จ่ายอื่น ๆ อาจจะมีเพิ่มเติม นี่เป็นยอดค่าใช้จ่ายที่คุณหมอลองคำนวณมาให้ คุณลองพิจารณาดูอีกทีนะคะ”
พยาบาลยื่นเอกสารการรักษาทั้งหมดของคุณ “ชมจันทร์” มาให้ แม่ของเธอเป็นเจ้าของสวนมะม่วงและมะพร้าว แต่เพราะโหมงานหนักกับออเดอร์ที่รับมา เธอจึงได้เกิดอาการหน้ามืดเป็นลม โชคดีที่คนงานในสวนเห็นและนำตัวเธอส่งโรงพยาบาลได้ทันเวลา แต่เมื่อตรวจโดยละเอียดกลับพบว่าเธอมีเนื้องอกที่สมอง
“ค่าใช้จ่ายมากขนาดนี้เลยเหรอ”
เอกสารในนั้นมีค่าใช้จ่ายเกือบสองล้านบาท แม้ว่าแม่ของเธอจะทำประกันชีวิตเอาไว้ แต่วงเงินในการรักษารวมทั้งหมดก็อาจจะไม่พอ เมื่อเห็นค่ารักษาพยาบาลแล้วเฟรย์ทรุดตัวลงกับโซฟาในห้องพักฟื้นของแม่ แม้ว่าเธอจะมีงานทำและเงินเดือนก็นับว่าพอใช้ได้ แต่ไม่อาจจะไม่พอหากต้องใช้เงินมากขนาดนี้ อีกอย่างตั้งแต่แม่ของเธอเข้าโรงพยาบาลและรับการรักษา ก็ยังไม่เคยได้คุยกับคุณหมอเจ้าของไข้เลยสักครั้ง
“คุณหมอจะเข้ามาไหมคะวันนี้”
“คุณหมอ “อติวิชญ์” จะเข้ามาช่วงบ่ายค่ะ ถ้าคุณอยากจะคุยกับคุณหมอเดี๋ยวฉันจะแจ้งให้นะคะ”
“ค่ะ ขอบคุณมากเลยนะคะ”
บ่ายวันนั้น / ห้องพักคุณหมอ
“คุณหมอคะ ญาติผู้ป่วยห้องแปดสองสองอยากปรึกษาคุณหมอเรื่องการผ่าตัดค่ะ”
“ห้องแปดสองสอง…”
“อติวิชญ์” หมอศัลยกรรมสมองและเจ้าของไข้ของชมจันทร์ หยิบแฟ้มมาดู เมื่อเห็นชื่อของผู้ป่วยเขาก็ยิ้มออกมาเล็กน้อยและหันไปบอกพยาบาลผู้ช่วยของเขา
“ให้เธอเข้ามาคุย ผมว่างตอนบ่ายสาม”
“ได้ค่ะ เดี๋ยวดิฉันไปแจ้งญาติผู้ป่วยให้นะคะ”
“ขอบคุณมากครับ”
เมื่อพยาบาลผู้ช่วยออกไปแล้ว อติวิชญ์ หรือ “มาร์ค” หมอหนุ่มในวัยสามสิบสองปี เขาพึ่งได้รับตำแหน่งแพทย์ผู้เชี่ยวชาญพิเศษทางด้านศัลยกรรมสมองมาหมาด ๆ และยังเป็นอาจารย์พิเศษในมหาวิทยาลัยดังอีกสองแห่ง เมื่อหันไปมองนอกหน้าต่างด้านนอกก็ยิ้มออกมา
“ได้เจอสักทีสินะ”
เมื่อเฟรย์รู้ว่าคุณหมออนุญาตให้เข้าพบได้ เธอจึงรีบเดินตามพยาบาลผู้ช่วยเข้ามาที่ห้องพักของคุณหมอทันที เมื่อเคาะประตูและเสียงอนุญาตดังขึ้นเธอจึงเดินเข้าไปด้านใน เฟรย์หันไปสวัสดีคุณหมอที่ดูอายุมากกว่าเธอแต่คงไม่มากเกินห้าปี เขาสวมแว่นตา หน้าตานิ่งและดูเย็นชากว่าที่เธอคิด
“สวัสดีค่ะคุณหมอ ดิฉันอยากจะปรึกษาเรื่องอาการป่วยของคุณชมจันทร์ค่ะ”
“เชิญนั่งก่อนสิครับ”
“ขอบคุณค่ะ”
เขาปรายตามองเธอนิดหน่อยและบอกให้เธอนั่งลง หญิงสาวในวัยยี่สิบห้าปีค่อย ๆ นั่งเก้าอี้ตรงข้ามเขา ในมือเธอถือเอกสารที่พยาบาลให้เอาไว้แน่น หมอมาร์คที่หันไปคลิกบางอย่างในคอมพิวเตอร์เสร็จ จึงหันมามองเธอ
“ว่ายังไงครับ คุณมีอะไรจะคุยกับผมเหรอ”
“คือว่าเรื่องการผ่าตัดของคุณแม่น่ะค่ะ ดิฉันอยากทราบรายละเอียดว่าต้องทำการผ่าตัดเร่งด่วนเลยไหมคะ แล้วก็ค่ารักษาทั้งหมด… จะเกินกว่าที่คุณหมอประเมินมาหรือเปล่า ดิฉันจะได้เตรียมตัวถูก”
“เห็นว่าคุณชมจันทร์ก็มีประกันชีวิตอยู่ไม่ใช่เหรอครับ เรื่องค่ารักษาไม่น่าจะต้องห่วงนี่”
“ใช่ค่ะ เรื่องค่าผ่าตัดอาจจะไม่มีปัญหา แต่ว่าค่าห้องที่ต้องจ่ายในช่วงพักฟื้น… คือว่ามันค่อนข้างสูง ดิฉันจึงอยากจะทราบว่าต้องใช้เวลาพักฟื้นนานแค่ไหน เพราะส่วนต่างตรงนี้ เราต้องรับผิดชอบเอง”
“อ้อ ผมเข้าใจแล้ว ถ้าตามปกติผู้ป่วยที่เข้ารับการผ่าตัดสมอง ช่วงพักฟื้นในโรงพยาบาลอย่างต่ำก็ไม่เกินเจ็ดวัน หากมีอาการแทรกซ้อนก็ราว ๆ สิบวันไม่เกินสิบห้าวัน นอกจากมีอาการอื่นร่วมด้วย ดังนั้นผมคิดว่าหากต้องการสำรองเรื่องค่าห้อง ก็ควรจะต้องคำนวณเผื่อเอาไว้สักหนึ่งเดือน”
“หนึ่งเดือน… เลยเหรอคะ”
“ผู้ป่วยหลังการผ่าตัดมีอาการไม่เหมือนกัน บางคนก็หายเร็วกว่าปกติ แต่บางคนหากมีอาการข้างเคียงมาก ๆ ก็คงต้องดูอาการกันยาว ๆ อ้อจริงสิอย่าลืมเรื่องค่าใช้จ่ายหลังจากที่ผ่าตัดไปแล้ว ก็ต้องมีการมากายภาพบำบัดและตรวจร่างกายทุกเดือนด้วย ผมลืมไปเลยว่าตรงส่วนนี้ประกันชีวิตน่าจะไม่จ่ายให้ใช่ไหม”
“นั่น… จริงด้วยสิ”
สีหน้าของเฟรย์เริ่มวิตกกังวลมากขึ้น เธอลืมนึกถึงเรื่องหลังจากการผ่าตัดไปเลย ทั้งเรื่องการรักษาต่อเนื่องและการพักฟื้น ถึงจะผ่านเรื่องการผ่าตัดใหญ่ไปได้ แม่ของเธอก็อาจจะต้องพักอย่างน้อยสามถึงหกเดือน และยังต้องมาตรวจที่โรงพยาบาลตลอด
“ดูเหมือนคุณจะค่อนข้างลำบากใจนะคุณ…”
“ณิชมนค่ะ”
“คุณณิชมนเอาแบบนี้ก็แล้วกัน คุณลองกลับไปคิดดูก่อน ที่ผมประเมินค่ารักษาไปให้คุณ นี่เป็นเพียงเบื้องต้นเท่านั้น ยังไม่นับเรื่องที่จะมีอาการแทรกซ้อน หรือภาวะที่คนไข้ต้องรับหลังจากการผ่าตัดเสร็จสิ้น แต่ยังไงผมก็คงต้องบอกว่าอาการของคุณแม่คุณ จะต้องได้รับการผ่าตัด ไม่อย่างนั้นอาจจะอันตรายมากในอนาคต คุณเข้าใจที่ผมพูดใช่ไหม”
“ฉันทราบค่ะ”
‘ณิชมน เอมฤทัย เป็นเธอจริง ๆ ด้วยสินะ’
สีหน้าของเฟรย์เริ่มซีดลงเรื่อย ๆ เธอแทบจะหมดแรงเมื่อคุยกับคุณหมอมาถึงตรงนี้ แม้ว่าเขาจะยังทำหน้านิ่งและพูดเหมือนไม่ได้มีความรู้สึกอะไรเลยก็ตาม
“คุณมีอะไรอยากจะพูดไหม”
“คะ?”
“ผมถามคุณว่า มีอะไรอยากจะพูดอีกไหม”
“แล้วถ้าฉัน… อยากจะย้ายโรงพยาบาลที่พอจะ… จ่ายไหว”
“คุณก็ต้องมาขอประวัติ ทำเรื่องโยกย้ายและเริ่มต้นการตรวจใหม่ทั้งหมด อีกอย่างการรักษาที่ไม่ต่อเนื่องมีผลกระทบในระยะยาวและที่สำคัญ… คนไข้อาจจะรอไม่ได้นานถึงขนาดนั้น”
เฟรย์เริ่มหาทางออกไม่ได้ เธอกำมือแน่น ไม่รู้ว่าควรจะทำยังไงดีในตอนนี้ ทุกหนทางเหมือนกับจะถูกบีบให้แคบลงเรื่อย ๆ ซึ่งเธอไม่รู้ว่าเป็นเพราะคำพูดของหมอ หรือว่าเธอเองที่กำลังสับสนจนทำตัวไม่ถูก
‘ใกล้แล้วสินะ’
“ฉันขอเวลากลับไปคิดทบทวน”
“แบบนั้นก็ได้ไม่มีปัญหา แต่ก็เท่ากับว่าคุณแม่ของคุณจะมีความเสี่ยงเพิ่มมากขึ้น”
“คุณหมอหมายความว่ายังไงคะ”
“หมายความว่าอาการของคุณชมจันทร์ ที่อยู่ห้องไอซียูตอนนี้ ต้องการการรักษาอย่างต่อเนื่อง”
“แต่ว่าฉัน…”
เฟรย์รู้สึกจนมุมอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ถึงคิดจะขายที่ดินและทรัพย์สินที่มีทั้งหมด แต่ก็คงไม่ได้รวดเร็วขนาดนั้น ถ้าจะหางานทำเพิ่มในตอนนี้ก็พอจะเป็นไปได้แต่มันจะช่วยได้สักเท่าไหร่ เมื่อหันไปมองหน้าคุณหมอหนุ่มตรงหน้า เธอจึงไม่คิดถึงอะไรที่น่าอายมากกว่านี้อีกแล้ว
“คุณหมอมีวิธีอะไรที่พอจะช่วยฉันในเรื่องนี้ไหมคะ ฉันยินดีทำทุกอย่างเพื่อให้แม่ได้เข้ารับการผ่าตัดในครั้งนี้”