บทที่ 12 หัวใจวีตัส
บทที่ 12 หัวใจวีตัส
ภายในห้อง อารียาล้มตัวลงนอนบนเตียงอย่างหมดแรง เธอหยิบมือถือขึ้นมาสไลด์หน้าจอเล่น
“นี่ คนที่เจ้าของวิลล่าฟ้าอนงค์เชิญน่ะอาจจะไม่ใช่ชรินทร์ทิพย์ก็ได้ ตอนนี้เธอมั่นใจมากแค่ไหน เมื่อถึงตอนนั้นเธอก็ยิ่งอายมากขึ้นเท่านั้น” รพีพงษ์พูดปลอบใจ
“ไม่ว่าคนที่เขาเชิญจะเป็นใคร แต่ไม่ใช่ฉันแน่นอน ไม่ต้องพูดเรื่องนี้แล้ว หงุดหงิดใจเปล่าๆ” อารียาเอ่ยขึ้น
เมื่อเห็นว่าอารียาพูดเช่นนี้ เขาก็ไม่พูดอะไรอีก เขารอให้ถึงวันงานแล้วค่อยเซอร์ไพรส์เธอ
“ว้าว สร้อยคอเส้นนี้สวยจัง” เธอพูดขึ้นมาขณะที่รพีพงษ์กำลังปูที่นอน
รพีพงษ์ประหลาดใจเล็กน้อย เขาโน้มหน้าเข้าไปดู รูปในมือถือของเธอเป็นสร้อยคอที่ประดิษฐ์อย่างสวยงาม ชื่อของมันคือหัวใจวีตัส สร้อยคอเส้นนี้จะถูกประมูลในวันพรุ่งนี้
เขาฉุกคิดขึ้นมาในใจ เขาวางแผนไว้ว่าจะเซอร์ไพรส์เธอในวันงานนิทรรศการ เขาจะจัดสถานที่ให้โรแมนติก เพื่อจะขอบคุณเธอตลอดสามปีที่ผ่านมา แต่ดูๆ ไปแล้วมันยังขาดของขวัญไปสักอย่าง
“สร้อยคอเส้นนี้สวยมาก คุณชอบไหม” รพีพงษ์ถามลองเชิง
อารียาทำหน้าเซ็งๆ แล้วพูดว่า “เจอกับของแบบนี้ ผู้หญิงคนไหนจะไม่ชอบ แต่ว่าสร้อยคอเส้นนี้มันแพงมาก ราคาเริ่มประมูลคือสิบล้าน มันเป็นสิ่งที่ฉันไม่สามารถวาดฝันได้”
“อันที่จริงวาดฝันไว้หน่อยก็ไม่เห็นเป็นไร” รพีพงษ์เอ่ยขึ้นมา
อารียากลอกตามองบนใส่เขา แล้วพูดว่า “วาดฝันอะไร วาดฝันให้นายซื้อให้ฉันเหรอ อย่าคิดเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย รีบนอนเถอะ”
พูดจบ เธอก็ปิดมือถือแล้วนอนลงบนเตียง
รพีพงษ์ยกยิ้มมุมปาก เขาตัดสินใจได้แล้ว ว่าจะประมูลสร้อยคอหัวใจวีตัสเพื่อจะเอามาเป็นของขวัญให้เธอ
เช้าวันต่อมา อารียาไปเตรียมนิทรรศการวัตถุโบราณ รพีพงษ์เข้าไปในตัวเมือง สร้อยคอหัวใจวีตัสจะถูกประมูลในตัวเมือง
รพีพงษ์ซื้อหมวกแก๊ปที่ร้านข้างทางแล้วสวมมันไว้บนศีรษะ จากนั้นเขาก็จัดการเสื้อผ้าของตัวเอง เพื่อไม่ให้คนจำเขาได้
ไม่นานเขาก็มาถึงสถานที่ประมูล มีรถจอดอยู่จำนวนมาก ผู้ที่มาร่วมงานประมูลนี้ถ้าไม่ใช่คนรวยก็เป็นคนที่มีอำนาจ แต่ละคนสวมเสื้อผ้าเครื่องประดับที่ดูดีมีราคา จะมีก็แต่รพีพงษ์ ที่สวมเสื้อผ้าตามแผงขายเสื้อ ซึ่งดูไม่เข้ากับคนในที่นี้เสียเลย
เขาเดินมาถึงหน้าประตูทางเข้างานประมูล ตรงนั้นมีชายสวมเสื้อสูทสีดำสองสามคนกำลังยืนตรวจสอบผู้เข้าร่วมงาน
รพีพงษ์กำลังจะเดินเข้าไปในงาน แต่ชายสองคนก็เข้ามากั้นเข้าเอาไว้ก่อน
“ถ้าจะเก็บขยะก็ไปฝั่งนู้น ที่นี่เป็นงานประมูลระดับสูง ไม่ดูสารรูปตัวเองเลย แกคิดว่าตัวเองจะเข้าไปที่ไหนก็ได้อย่างนั้นเหรอ” ผู้ชายหนึ่งในนั้นพูดขึ้น
รพีพงษ์ปรายตามองแล้วพูดขึ้นมาว่า “ฉันมาร่วมงานประมูล”
ผู้ชายทั้งสองคนได้ยินแล้วก็อึ้งไป จากนั้นก็หัวเราะร่วน
“แกคิดว่าพวกฉันตาบอดหรือไง สารรูปอย่างแกเนี่ยนะ เสื้อผ้าที่ใส่อยู่รวมๆ แล้วน่าจะไม่เกินร้อย ที่นี่เป็นงานประมูลระดับสูง ของแต่ละชิ้นมีราคาหลักล้านทั้งนั้น แกคิดว่าตัวเองซื้อไหวเหรอ”
“พอแล้ว พอแล้ว อย่าไปคุยกับคนไร้ประโยชน์แบบนี้เลย รีบไล่มันไปเถอะ อย่าให้มันไปรบกวนแขกคนอื่น” ชายหนึ่งในนั้นพูดขึ้นมา
ขณะนั้นเองก็มีผู้หญิงที่ดูเซ็กซี่และฉลาดเดินเข้ามา เธอพูดขึ้นมาว่า “มีเรื่องอะไรกัน”
เมื่อชายสองคนนั้นเห็นก็รีบโค้งให้เธอทันที ผู้ชายหนึ่งในนั้นพูดขึ้นมาว่า “พี่ฮันน่า ไอ้นี่มันจะเข้าไปในงานพวกเราก็เลยกันมันเอาไว้ครับ พวกเราไล่มันไปแล้วแต่มันก็ยังไม่ยอมไป”
คนที่ถูกเรียกว่าพี่ฮันน่ามองรพีพงษ์ตั้งแต่หัวจรดเท้า จากนั้นก็แสยะยิ้มออกมา เธอคิดในใจว่าเดี๋ยวนี้มีคนจำนวนมากที่ไม่รู้จักประมาณตัว
แต่ทว่าเธอก็ไม่ได้ไล่เขาออกไป เธอพูดขึ้นมาว่า “คนที่จะมาร่วมงานประมูลของเราต้องมีเงินอย่างต่ำก็สิบล้าน ไม่อย่างนั้นเราจะไม่ให้เข้าไป นายแน่ใจแล้วใช่ไหมว่าจะเข้าไป”
รพีพงษ์หยิบแบล็กการ์ดออกมา แล้วยื่นให้พี่ฮันน่าดู “คุณตรวจดูเงินในบัตรใบนี้ได้ ถ้ามันน้อยกว่าสิบล้าน ผมจะออกไปจากที่นี่”
พี่ฮันน่าเห็นว่าเขายังคงไม่ยอม เธอเบะปากแล้วพูดว่า “ในเมื่อเป็นแบบนี้ อย่างนั้นฉันจะพานายไปตรวจเงินในบัตรนี่ดู แต่ฉันจะบอกนายไว้นะ ถ้านายกล้าทำให้ฉันเสียเวลา นายได้เจ็บตัวแน่”
รพีพงษ์ยักไหล่เหมือนไม่สนใจ
พี่ฮันน่าพาเขาไปในห้องที่ตรวจทรัพย์สิน เธอคิดในใจว่าถ้าไม่มีเงินในบัตรนี่ เธอจะให้ลูกน้องมากระทืบเขาสักที
เมื่อมาถึงภายในห้อง พี่ฮันน่าก็เอาบัตรของรพีพงษ์ยื่นให้พนักงาน แล้วให้พนักงานตรวจสอบเงินภายในบัตร
จากนั้นเธอก็มองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า เมื่อเธอเห็นเสื้อผ้าที่เขาสวม ก็แสดงสีหน้ารังเกียจออกมา
“พูดจริงๆ นะ ฉันไม่เข้าใจเลยว่าผู้ชายไร้ประโยชน์พวกนี้ ทำไมต้องมาโอ้อวด ทั้งๆ ที่รู้ว่าจะต้องโดนจับได้ ก็ยังหน้าด้านทำต่อไป ไม่รู้จริงๆ ว่าทำแบบนี้ไปเพื่ออะไร” พี่ฮันน่าเอ่ยขึ้นมา
รพีพงษ์หัวเราะแล้วพูดขึ้นมาว่า “ผมไม่ได้โอ้อวด ในเมื่อพวกคุณบอกว่าต้องมีเงินไม่ต่ำกว่าสิบล้าน ผมก็ให้คุณตรวจสอบเงินในบัตรของผม ก็ถูกแล้วไม่ใช่เหรอครับ”
“หึ อย่ามาทำเป็นโอ้อวดแถวนี้ เงินในบัตรนี่อย่าว่าแต่สิบล้านเลย ถ้ามีถึงหมื่น วัวก็ออกลูกเป็นควายแล้ว” พี่ฮันน่าพูดอย่างมั่นใจในตัวเอง
รพีพงษ์รู้สึกว่าคนคนนี้ช่างน่าเบื่อ เขาเลยไม่ต่อปากต่อคำกับเธออีก
“กดรหัสค่ะ” พนักงานพูดกับรพีพงษ์
รพีพงษ์กดรหัส หลังจากนั้นก็รอพนักงานแจ้งผล
ไม่นาน พนักงานคนนั้นก็เห็นจำนวนเงินในบัตรของรพีพงษ์ เธอถึงกับอ้าปากค้าง
เมื่อพี่ฮันน่าเห็นปฏิกิริยาของพนักงานคนนั้น เธอก็รีบเอ่ยปากถาม “เป็นอะไร เงินในบัตรของเขาน้อยมากจนทำให้เธอช็อกไปเลยหรือไง”
“นะ… หนึ่ง…หนึ่ง…” พนักงานพูดตะกุกตะกัก
พี่ฮันน่าจ้องไปที่พนักงานคนนั้น แล้วพูดว่า “อะไรแค่หนึ่งร้อยเดียวก็ช็อกขนาดนี้ เธอไม่เคยเห็นเงินหรือไง”
หลังจากนั้นพี่ฮันน่ากำลังจะเรียกพวกนักเลงมารุมกระทืบเขา
จู่ๆ พนักงานคนนั้นก็พูดเสียงดังขึ้นมาว่า “ไม่ใช่หนึ่งร้อย!”
“อย่างนั้นมันเท่าไรกัน ก็แค่บัตรของไอ้คนจนๆ เธอจะอะไรนักหนา” พี่ฮันน่าพูดอย่างเหลืออด
พนักงานสูดหายใจเฮือกใหญ่แล้วพูดขึ้นมาว่า “หนึ่งหมื่นล้าน! เงินในบัตรของเขามีหนึ่งหมื่นล้าน!”