บทที่ 9 นั่งรถม้าด้วยกัน
องครักษ์คนนั้นเงยหน้าขึ้นมองเข้าไปในรถม้าอย่างลำบากใจ เฟิ่งชิงหัวเอียงตัวมาบดบังสายตาของเขาเอาไว้ เอ่ยด้วยรอยยิ้มเสแสร้งว่า “อย่างน้อยข้าก็เป็นพระชายาของท่านอ๋องของพวกเจ้า คำพูดข้าใช้ไม่ได้เลยหรือ หรือว่าพวกเจ้าไม่เห็นท่านอ๋องอยู่ในสายตา”
ไม่ได้ยินเสียงของท่านนาย องครักษ์คนนั้นก็ได้แต่ก้มหน้าลง เอ่ยอย่างนอบน้อมว่า “ข้าน้อยไม่กล้า”
เฟิ่งชิงหัวหมุนตัวเข้าไปนั่งในรถม้า ไม่ช้ารถม้าก็เริ่มเคลื่อนตัว และไม่รู้สึกโคลงเคลงเลยแม้แต่น้อย นางรู้สึกพอใจมาก
รู้สึกน่าเบื่อมาก เฟิ่งชิงหัวจึงเริ่มสำรวจภายในรถม้าอย่างละเอียด
จ้านเป่ยเซียวเห็นนางที่ดูจะอยู่ไม่สุขเอาแต่จับตรงนั้นลูบตรงนี้ในรถม้าไม่หยุด และยังเคาะรถม้าเป็นระยะ ราวกับกำลังศึกษาว่าสิ่งนี้ทำมาจากอะไร
เขาชอบความสงบ บวกกับเมื่อคืนไม่ได้พักผ่อนเต็มที่ ตอนนี้ยังมาถูกรบกวนอีกจึงรู้สึกหงุดหงิดมาก เส้นเลือดบริเวณขมับปูดขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด
เมื่อคิดถึงการเดิมพัน ก็อดกลั้นความใจร้อนที่อยากจะโยนนางออกไปนอกรถม้าเอาไว้ พยายามข่มตาลง
หลังจากที่เฟิ่งชิงหัวสำรวจดูและลูบคลำไปทั่วภายในรถม้าแล้วสายตาย่อมหันไปมองที่ร่างของเจ้าของรถม้า
ชุดยาวสีหยกสุดหรูหราห่อหุ้มเรือนร่างแข็งแกร่งและสูงของเขาเอาไว้ เส้นผมดำขลับถูกมัดและรัดไว้ด้วยกวานหยก เส้นผมที่ดูนุ่มลื่นราวกับใยไหมทอดยาวประบ่า แม้จะมองเห็นแค่กรามบนใบหน้าที่ดูเรียวยาว ก็ไม่รู้ว่าก่อนที่คนคนนี้จะเสียโฉมจะมีใบหน้าที่สง่างามแค่ไหน
ไม่รู้ว่าเก้าอี้รถเข็นของเขาถูกออกแบบมาอย่างไร ล้อทั้งสองข้างสามารถพับเข้าหากันได้ จ้านเป่ยเซียวที่นั่งอยู่ตรงนั้นดูจะสูงกว่านางอยู่มาก
สายตาของเฟิ่งชิงหัวจดจ่อมากเกินไป จ้านเป่ยเซียวที่เดิมทีกำลังหลับตาเพื่อพักผ่อนลืมตาขึ้นมาอย่างกะทันหัน สายตาคู่นั้นราวกับถูกหล่อขึ้นด้วยน้ำแข็ง
“ถ้ายังมองอีก ข้าจะควักลูกตาของเจ้า”จ้านเป่ยเซียวเอ่ยเสียงเย็นชา
เฟิ่งชิงหัวแบะปาก ไม่ได้รู้สึกกลัว เปิดช่องลับในรถม้าออกอย่างรู้สึกเบื่อหน่าย เอาหนังสือเกี่ยวกับการศึกออกมาเปิดอ่าน
ตอนแรก จ้านเป่ยเซียวคิดว่านางคงจะเอาหนังสือในมือมาเป็นข้ออ้างเท่านั้น แต่หลังจากนั้นพอเห็นนางอ่านหนังสือขึ้นมาจริงๆ ก็เลิกคิ้วขึ้นมาอย่างประหลาดใจ
หนังสือสงครามมันน่าเบื่อ แต่ไหนแต่ไรไม่ใช่สิ่งที่หญิงสาวทั่วไปจะชื่นชอบ แต่นางกลับแตกต่าง
รถม้ายังคงเคลื่อนไปข้างหน้าตามถนนใหญ่ ย่อมมีเสียงซุบซิบนินทาดังเข้ามาในรถม้าไม่น้อย
“ได้ยินมาว่าลูกสาวเฉิงเซี่ยงที่แต่งเข้าจวนอ๋องเมื่อวานนี้ยังคงสบายดีอยู่ และยังมีชีวิตอยู่จนถึงตอนนี้ ช่างนะประหลาดใจจริงๆ”
“ก็ไม่แน่ ท่านอ๋องเจ็ดโหดเหี้ยมขนาดนั้น ไม่แน่พอผ่านไปนานวันเข้าพระชายาคนใหม่อาจจะต้านทานไม่อยู่ก็ได้”
“ท่านเฉิงเซี่ยงก็จริงเชียว ทั้งๆที่รู้ว่าลูกสาวของตนเองต้องแต่งงานมาเจอกับเรื่องร้ายมากกว่าเรื่องดี ก็ยังจะส่งมา ถูกเหยียดหยามก็แล้วไปเถอะ ยังต้องแลกด้วยชีวิตอีก ข้าว่า เกิดในตระกูลร่ำรวยก็ใช่ว่าจะมีความสุข”
คำพูดเล็กๆน้อยๆแว่วเข้ามาในหู จ้านเป่ยเซียวใช้สายตามองไปที่ร่างของหญิงสาว แต่กลับเห็นว่านางกำลังอ่านหนังสืออย่างหมกมุ่นเหมือนไม่ได้ยินคำติฉินนินทาเหล่านั้นเลยสักนิด
คนคนนี้ เป็นเพราะเจ้าเล่ห์เกินไป หรือเพราะไม่ใส่ใจกันแน่
รถม้าเข้าไปในเขตพระราชวังอย่างราบรื่น และจอดนอกประตูเมือง ผ้าม่านถูกเลิกขึ้น ทันใดนั้นก็มีแสงสว่างส่องเข้ามา เฟิ่งชิงหัวจึงได้สติกลับมา ปิดหนังสืออย่างระมัดระวัง วางกลับไปที่เดิม และนำมาซึ่งสายตาเหลือบมองของจ้านเป่ยเซียวอีกแล้ว
เฟิ่งชิงหัวหมุนตัว ไม่รอให้คนข้างนอกมาประคอง กระโดดลงไปจากรถม้าด้วยตนเองทันที ทำเอาผู้คนรอบข้างมองนางด้วยสายตาประหลาดใจ
หลังจากนั้นจ้านเป่ยเซียวก็ถูกองครักษ์สองคนประคองลงมาจากรถม้า เพิ่งจะนั่งลงบนเก้าอี้รถเข็น เห็นเฟิ่งชิงหัวกำลังจะก้าวเท้าเดินเข้าไปข้างใน จึงเอ่ยเสียงเย็นว่า “หยุด”
เฟิ่งชิงหัวเพิ่งจะนึกถึงเขาขึ้นมา หมุนตัวเดินกลับไปหา ประคองเก้าอี้รถเข็นเอาไว้ แต่คิดไม่ถึงว่าชายหนุ่มจะคว้าข้อมือของนางเอาไว้ทันที ใช้แรงไม่น้อยเลย เพื่อที่จะป้องกันไม่ให้นางดิ้นรน
“ถ้าหากยังกล้าหาเรื่องให้ข้าอีกจะตัดขาของเจ้าซะ”ชายหนุ่มเตือนเสียงต่ำ