บทที่ 4 สัญญาเดือนสาม
“ท่านอ๋อง คุณหนูก็แค่ตื่นเต้นที่ได้แต่งงาน ไม่ได้มีเจตนาจะล่วงเกินท่าน ขอได้โปรดเข้าใจด้วยเจ้าค่ะ”แม่มงคลที่อยู่ข้างๆรีบพูดขึ้นอย่างลนลาน
ถ้าหากคุณหนูแห่งตระกูลหนานกงถูกส่งกลับไปจริงๆ ใต้เท้าเฉิงเซี่ยงคงจะโทษนางแน่ๆ
เมื่อคิดเช่นนี้ นางก็รีบคุกเข่าคลานเข้าไปหาเฟิ่งชิงหัว เอ่ยเสียงต่ำว่า “คุณหนูเอ๋ย ท่านก็พูดอะไรที่อ่อนโยนเป็นการขอร้องท่านอ๋องหน่อยเถอะ ไม่เช่นนั้นพวกข้าจะถูกท่านทำให้พลอยเดือดร้อนไปด้วย”
เฟิ่งชิงหัวเหลือบมองนางแวบหนึ่ง และไม่สนใจนาง เพียงแต่ประสานสายตากับจ้านเป่ยเซียวและพูดขึ้นว่า “หรือท่านอ๋องอยากจะขัดราชโองการ ไม่ยอมแต่งงานกับข้า ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็สามารถเขียนหนังสือหย่าเพื่อหย่ากับข้าก็ได้ ข้าหนานกงเยว่ลั่วจะไม่ตอแยกับท่านอีก จะยอมขึ้นเกี้ยวกลับไป”
เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ไม่ใช่ความผิดของจวนเฉิงเซี่ยงที่ไม่ยอมทำตามคำมั่นสัญญา แค่ท่านอ๋องเจ็ดต้องการหย่าเอง ไม่ว่าอย่างไรก็นับว่ายอมรับการแต่งงานแล้ว นางเองก็ทำภารกิจได้ลุล่วงราบรื่น
แม่มงคลได้ยินสิ่งที่เฟิ่งชิงหัวพูด ก็แทบอยากจะเป็นลมล้มพับลงไปทันที
ไม่เคยได้ยินหญิงสาวคนไหนเอ่ยปากขอหนังสือหย่าด้วยตนเองมาก่อนเลย คุณหนูรองคนนี้สมองมีปัญหาหรืออย่างไร
“หนังสือหย่า ข้าไม่เคยยอมรับการแต่งงานครั้งนี้ จะต้องการหนังสือหย่าอะไร”
เฟิ่งชิงหัวเม้มปาก ในใจก็คิดว่าคนคนนี้ไม่ธรรมดา ตรรกะแรงกล้าเกินไป
ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่เฟิ่งชิงหัวก็พูดขึ้นว่า “ท่านยอมรับหรือไม่สำคัญด้วยหรือ การแต่งงานของราชวงศ์ท่านไม่สามารถตัดสินใจเองได้ แต่ข้าหนางกงเยว่ลั่วก็ไม่ใช่คนไม่รู้เรื่องราวอะไร ไม่สู้ท่านอ๋องกับข้ามาลองเดิมพันกันสักตั้ง”
เมื่อเห็นว่าจ้านเป่ยเซียวไม่ได้เอ่ยปากห้ามอะไร เฟิ่งชิงหัวก็พูดต่อไปว่า “ภายในสามเดือน ข้าหากท่านอ๋องเกิดชอบหม่อมฉันขึ้นมา เช่นนั้นการแต่งงานครั้งนี้ก็นับว่าเงื่อนไขบรรลุผล ข้าจะเป็นพระชายาของท่าน เป็นนายหญิงเพียงหนึ่งเดียวของจวนอ๋อง แต่ถ้าหากหม่อมฉันแพ้ ก็คิดเสียว่าข้ามารบกวนท่านอ๋องเป็นเวลาสามเดือน ขออาศัยอยู่ในจวนอ๋องชั่วคราว ข้าหนานกงเยว่ลั่วจะจากไปเอง อย่างนี้ดีหรือไม่”
สายตาของจ้านเป่ยเซียวมองนางตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าอย่างพินิจพิเคราะห์ ราวกับกำลังแยกแยะว่าสิ่งที่นางพูดเป็นเรื่องจริงหรือไม่ จากนั้น ก็เอ่ยขึ้นมาว่า “ก็ได้”
เฟิ่งชิงหัวอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา ยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์
นี่เป็นการเดิมพันเพียงฝ่ายเดียวเท่านั้น มีเพียงนางที่รู้ดีแก่ใจ นางจะกลายเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด
นางเดาไว้ตั้งแต่แรกแล้วว่าชายหนุ่มคงไม่กล้าขัดต่อราชโองการของราชวงศ์
จ้านเป่ยเซียวส่งสัญญาณให้คนที่อยู่ทางด้านหลังเข็นรถเข็น เฟิ่งชิงหัวเห็นดังนั้นจึงเดินเข้าไป อ้อมไปทางด้านหลังของจ้านเป่ยเซียว “เรื่องอย่างนี้ย่อมต้องให้หม่อมฉันเป็นคนทำจึงจะถูกต้องเพคะ”
องครักษ์ที่เดิมทีกำลังจะเดินเข้าไป กลับถูกจ้านเป่ยเซียวโบกมือให้ถอยไป
เฟิ่งชิงหัวเข็นเขาเข้าไปในห้องโถง อาศัยโอกาสนี้ รีบวิเคราะห์ทุกสิ่งรอบตัวอย่างรวดเร็ว
ไม่เสียทีที่เป็นจวนอ๋อง พื้นที่กว้างใหญ่จนน่าตกใจ เพียงแต่ตลอดทางที่เดินมา ไม่มีการเตรียมการสำหรับงานแต่งงานเลยแม้แต่น้อย นางที่เป็นเจ้าสาวช่างน่าหดหู่ใจเสียจริง
เฟิ่งชิงหัวใช้ความคิด และเอ่ยกับชายหนุ่มบนรถเข็นว่า “ท่านอ๋อง ในเมื่อเราทำพันธสัญญากันแล้ว เพื่อความยุติธรรม ข้าเองก็ต้องทำความเข้าใจในตัวท่าน จึงจะสามารถหาวิธีมาเอาชนะใจให้ท่านชื่นชอบข้าไม่ใช่หรือ”
สองมือของจ้านเป่ยเซียววางอยู่บนที่วางมือบนเก้าอี้ สายตามองไปข้างหน้า ไม่ได้สนใจสิ่งที่นางพูดเลย
เฟิ่งชิงหัวยังคงพูดต่อว่า “เช่นนั้นพวกเราก็เริ่มจากการทำความรู้จักซึ่งกันและกันเถอะ ตัวอย่างเช่น เผชิญหน้ากันอย่างตรงไปตรงมา……”
ในขณะเพิ่งจะสิ้นเสียงพูด เฟิ่งชิงหัวก็ยืนมือเข้าไปแย่งหน้ากากของจ้านเป่ยเซียว แต่ชายหนุ่มเคลื่อนไหวเร็วกว่า คว้ามือของเฟิ่งชิงหัวเอาไว้ได้อย่างทันท่วงที ใช้แรงดึงเล็กน้อยร่างของนางก็โถมลงบนเก้าอี้รถเข็นไปครึ่งตัว
ทั้งสองประสานสายตากัน หนึ่งกระด้างหนึ่งอ่อนโยน ราวกับมีสายฟ้าฟาดลงมา
เฟิ่งชิงหัวยิ้มอ่อนโยน “ท่านอ๋องชอบใกล้ชิดกับข้าขนาดนี้เชียว”
น้ำเสียงของจ้านเป่ยเซียวเย็นชาดุจน้ำแข็ง “ถ้ามีครั้งหน้าอีก ข้าจะตัดแขนขาของเจ้าไปเป็นปุ๋ยให้ดอกไม้”
เหมือนเฟิ่งชิงหัวจะไม่รับรู้ถึงความเจ็บที่ส่งผ่านมาจากข้อมือของตนเอง พูดยิ้มๆว่า “ท่านไม่ให้ข้าดู ข้าจะเข้าใจท่านได้อย่างไร”
“เจ้ามั่นใจมากไม่ใช่หรือว่าจะทำให้ข้าชอบเจ้าได้ เช่นนั้นก็อย่าใช้ทางลัดเช่นนี้”
“ท่านอ๋องสั่งสอนถูกต้อง”เฟิ่งชิงหัวพูด จากนั้น แรงที่มือก็ผ่อนลง
ทั้งสองคนทำเรื่องก่อนหน้านี้ต่อ คนหนึ่งเข็นรถเข็น อีกคนก็ใช้ความนิ่งเงียบมาขวางกั้นเอาไว้
เฟิ่งชิงหัวครุ่นคิดในใจ คนพิการที่ถูกทำลายโฉมคนนี้ คิดไม่ถึงว่ายังเป็นยอดฝีมือด้วย มีวรยุทธเหนือกว่านาง จวนอ๋องแห่งนี้น่าสนุกกว่าจวนเฉิงเซี่ยงที่มีแต่บรรยากาศอึมครึมไม่น้อย
เพิ่งจะเดินเข้าไปในห้องโถง องครักษ์คนหนึ่งก็มารับเก้าอี้รถเข็นของจ้านเป่ยเซียวไปจากมือนาง และมีอีกคนหนึ่งพานางไปส่งยังเรือนอีกแห่ง ห่างจากเรือนหลักที่จ้านเป่ยเซียวอาศัยอยู่ระยะทางไม่ใช่น้อยๆเลย
เรือนแห่งนี้ใช้แผ่นหินสีเขียวก่อขึ้นและซ้อนทับสลับกัน ช่องว่างเล็กๆระหว่างแผ่นหินมีหญ้าเขียวบางๆเกาะอยู่ มองจากที่ไกลๆราวกับดวงดาวที่ถูกวางอยู่บนกระดานหมากรุก นอกจากห่างไกลไปหน่อยแล้วอย่างอื่นก็ไม่เลว
เดิมทีเฟิ่งชิงหัวก็คิดว่าที่นี่เป็นที่พำนักชั่วคราวของนางเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นอย่างไรก็รับได้ จึงล้มตัวลงนอนกับเตียงทันที
แค่ชั่วพริบตาความมืดก็เข้าปกคลุมท้องฟ้า เข้าสู่ยามราตรี
ในขณะที่เฟิ่งชิงหัวกำลังนอนหลับอยู่นั้นก็เหมือนจะได้ยินเสียงบางสิ่งบางอย่างดังฟ่อๆ วินาทีต่อมา นางลืมตาขึ้นมาทันที และมือของนางก็จับงูสองตัวที่อยู่ตรงหน้าฟาดลงไปที่พื้นอย่างแรงโดยทันควัน