chapter 5 ชีวิตใหม่
5
สี่เดือนต่อมา
"เจ๊พริก ฮึก ฮือๆ"
"อ่าวเห้ยเป็นอะไรไอ้ฝัน ร้องให้ทำไม"
"เจ๊ฝันจะทำยังไงดี ฝันจะทำยังไงดี"
"ใจเย็นค่อยๆพูด เป็นอะไร แม่เอ็งไม่สบายอีกเหรอ" คนเป็นผู้ใหญ่กอดปลอบเธอทั้งที่ไม่รู้ว่าที่ร้องอยู่นี้เพราะเรื่องอะไร แต่ยัยทิมแม่ของเธอเพิ่งจะผ่าตัดและฟื้นตัวได้ดีแล้วนี่ มันจะเรื่องอะไรอีก
"ไม่ใช่แม่ ฮึก แม่ฝันสบายดีแล้ว แต่ฝัน ชฮึก ฝัน ท้อง"
"ห๊ะ เห้ย!" สาวใหญ่ร้องลั่น พลางคิดว่าเด็กคนนี้มันเรียบร้อย และยังไม่ทำตัวเหลวไหล มีหนุ่มเข้ามาแวะเวียนแจกขนมจีบอยู่บ้างแต่ไม่เคยเห็นเคยคบใครเลย
"คงเป็นเพราะตอนนี้ ฮือๆ ฮึก" เธอพูดออกมาพร้อมเสียงสะอื้น เป็นเพราะคืนนั้นเธอกับเขาไม่ได้ป้องกัน ถ้ามันแค่ครั้งเดียวอาจจะยังไม่เลวร้ายแต่คืนนั้นมันหลายครั้งมาก
"ไม่ได้ป้องกันเหรอ โอ๊ย เจ๊จะบ้าตายแล้วฝัน ปกติร้านจะให้เด็กกินยาแต่ตอนนั้นไม่ได้คิดถึงแกเลยเพราะทำงานครั้งเดียว แล้วเราก็มัวแต่วุ่นวายกันด้วย เจ๊จะทำยังไงดี" สาวรุ่นแม่รู้สึกผิดเอามากๆที่ทำให้เด็กคนหนึ่งพลั้งพลาดแบบนี้
"ฝันจะบอกแม่ยังไงดี" เธอพยายามหยุดร้องแล้วตั้งสติ แต่ความกังวลก็ไม่ได้ลดน้อยลงไปเลย
ใจหนึ่งคิดอยากจะเอาเด็กออก แต่ในนี้มันคือเลือดครึ่งหนึ่งของเธอ จะทำแบบนั้นได้ยังไง เธอจะทำร้ายชีวิตหนึ่งได้ยังไง แค่ฆ่าสัตว์ซักตัวยังไม่กล้าเลย
"เจ๊ปวดหัว ถ้ายัยทิมรู้ว่าไปทำงานนั้นมาต้องแย่แน่"
"..." คำพูดของเจ๊ทำให้พิมพ์ฝันรู้สึกอึดอัด เธอไม่อยากคิดถึงมันเลย ไม่อยากนึกถึงผู้ชายคนนั้นด้วย
"เอาไงดี เอาออกมั้ยเดี๋ยวเจ๊พาไป" เจ๊พริกตาแวววาวเพราะคิดว่ามันคือทางออกที่ดีที่สุดแล้ว
"ฝะ ฝันทำไม่ได้" เธอก้มหน้าลง แล้วมองท้องตัวเองที่เริ่มป่องขึ้น แต่ไม่ได้เป็นที่สังเกตมากมายนัก
"แล้วจะเก็บไว้เหรอ ชาวบ้านจะมองยังไง" เสียงแหลมรบเร้า จริงอย่างที่เธอว่าถ้าคนแถวนี้เห็นเธอท้องป่องขึ้นมาทั้งที่ไม่มีพ่อคงจะนินทากันเป็นปี
"ฝันจะบอกแม่ แต่เจ๊อย่าให้แม่รู้ว่าฝันไปทำอะไรมา ให้แม่คิดว่าฝันท้องกับผู้ชายที่เคยคุยก็พอ ฝันจะพาแม่ย้ายไปอยู่ที่อื่น เพราะฝันคงทนกับปากชาวบ้านไม่ได้เหมือนกัน" เธอจับมือผู้หญิงอีกคนแน่น เจ๊พริกมองเธอน้ำตาคลอ เด็กคนนี้เข้มแข็งกว่าที่เธอคิด ถึงแม้จะพลาดกับเรื่องนี้แต่ก็ยังไม่สิ้นหวัง
"อื้ม เจ๊จะช่วยแกเอง"
"ขอบคุณนะเจ๊" เธอโผเข้ากอดผู้หญิงคนนั้นแล้วร้องไห้ออกมา เธอตัดสินใจแล้ว และมันต้องเป็นทางเลือกที่ดีกว่าเอาเด็กออกแน่ๆ เธอไม่อยากฆ่าใคร หากเขามาอยู่กับเธอแล้วเขาก็คงอยากจะลืมตามาดูโลกเหมือนกับเรา ทุกชีวิตย่อมรักชีวิตของตัวเอง และสิ่งที่อยู่กับเธอตอนนี้คือส่วนหนึ่งของชีวิตเธอ
พิมพ์ฝันกลั้นใจเดินเข้าไปหาแม่ของตัวเองในบ้านที่เป็นเหมือนคูหาติดกับเจ๊พริก เธอคิดหนักว่าหากบอกแล้วแม่จะแย่หรือเปล่า
"แม่!" เธอต้องตกใจที่เห็นแม่ยืนมองเธอน้ำตาคลอ
"..."
"แม่ได้ยิน หรือเปล่า" เธอถามเสียงสั่น
"เหนื่อยมั้ยลูก" สาววัยกลางคนนามว่าทับทิม กอดลูกตัวเองแน่น อาการของเธอดีขึ้นจนเกือบหายแล้ว
"ฮึก ฮือ แม่ ฝันขอโทษ ฝันไม่มีทางออก" แม่ของเธอคงได้ยินสิ่งที่พูดกับเจ๊พริกหมดแล้ว เธอมองออกจากแววตาเศร้าๆนั้น
"แม่ต่างหากต้องขอโทษที่ทำให้แกต้องเหนื่อยแบบนี้" ผู้หญิงที่ใครๆต่างรู้ว่าเป็นคนจิตใจดีร้องไห้กอดปลอบลูกสาวสุดสวย
"แม่รู้หมดแล้วเหรอ แม่โกรธฝันหรือเปล่า ฝะ ฝันท้อง ฝันไม่อยากเอาออก ฝันสงสารเด็ก" เธอร้องไห้ฟุมฟาย
"แล้วเราจะเลี้ยงไหวเหรอลูก" ผู้เป็นแม่รู้สึกสับสน เธอไม่ใช่คนใจร้ายแต่เธอรู้ดีว่าถ้าเก็บเด็กไว้คนที่จะลำบากคือลูกของเธอเอง
"ฝันทำได้ค่ะ ฝันต้องทำได้" เธอร้องไห้ฟุมฟาย โดยมีเจ๊พริกยืนร้องไห้เงียบมองดูสองแม่ลูก
คนเป็นแม่รู้สึกโกรธตัวเอง เธอรู้ดีว่าลูกสาวตัวเองไม่ใช่คนเหลวไหล สิ่งที่เธอได้ยินวันนี้้มัันทำให้คนเป็นแม่ต้องรู้สึกแย่ ถ้าเธอไม่ป่วยปางตายวันนั้นลูกสาวคงไม่ตัดสินใจทำแบบนี้ คงจะมีอนาคตที่สดใส
"แม่ขอโทษนะฝัน"
"ไม่ค่ะ แม่ไม่ผิดฝันผิดเองที่หาทางออกไม่ได้"
"มันเหนื่อยนะฝันที่ต้องเลี้ยงลูกคนเดียว" เธอเข้าใจความรู้สึกนั้นดี เพราะเธอก็ต้องลำบากคนเดียวมาตลอดเกือบยี่สิบปี ตั้งแต่สามีของเธอตายจากไป
"แม่ยังเลี้ยงฝันมาได้เลย ฝันต้องทำได้อยู่แล้ว" เธอยิ้มปนน้ำตา ไม่รู้ทำไมถึงอยากเก็บลูกในท้องของเธอไว้ขนาดนี้
หลังจากวันนั้นพิมพ์ฝันก็พาแม่ของเธอย้ายไปอยู่แถวชานเมือง ขายคูหานี้แล้วซื้อคอนโดไว้ มันเป็นส่วนตัวสำหรับผู้หญิงท้องแล้วไม่มีสามีที่สุดแล้ว เธอสมัครงานอยู่ใกล้ๆเกี่ยวกับสายงานที่เรียนมา แล้วยังต้องทำงานเสริมจากการเป็นตัวแทนขายเสื้อผ้าไปด้วย
พิมพ์ฝันยอมรับว่าเธอรู้สึกเหนื่อย แต่มันไม่ได้ทำให้เธอท้อเลย เธอเชื่อว่าวันหนึ่งจะต้องมีชีวิตที่ดีกว่านี้ให้ได้
จนกระทั่ง...
สี่ปีต่อมา
พิมพ์ฝันใช้เวลาในการทำงานมาตลอดสี่ปี จากพนักงานบริษัทตำแหน่งต่ำต้อยได้ขึ้นมาเป็นเลขาผู้จัดการ งานเสริมที่ทำจากการเป็นตัวแทนขายเสื้อผ้าเธอก็ได้เปิดร้านเสื้อผ้าเล็กๆที่บ้าน จากคอนโดที่อยู่กันสามคน แม่ ตัวเอง และ...ลูกชาย
ได้กลายมาเป็นบ้านหลังเล็กๆที่เธอพึ่งซื้อไปเมื่อเดือนก่อน
ชีวิตของเธอเริ่มเหนื่อยน้อยกว่าตอนตั้งตัวแล้ว แค่นี้มันก็เพียงพอแล้วสำหรับเธอ แต่รู้สึกว่าโชคชะตาจะไม่อยากให้เธอมีความสุข
วันนี้เป็นวันแรกที่เธอต้องเริ่มงานเลขาผู้จัดการ
"ฝัน ชงกาแฟมาให้หน่อยสิ" เสียงเข้มของผู้ชายมาดเพล์บอย แต่อายุสี่สิบกว่าพูดเสียงหวานผ่านสายโทรศัพท์สำนักงานผ่านมายังคนหน้าห้อง
"ค่ะ" เธอรีบทำตามคำสั่งเพราะมันเป็นนิสัยของเธอ เต็มที่กับการทำงานเสมอ
ไม่นานพิมพ์ฝันก็ยกแก้วกาแฟหอมกรุ่นเดินเข้าไปในห้องผู้จัดการ วันนี้เป็นการทำงานวันแรกของตำแหน่งใหม่ ถึงแม้จะถูกสายตาคนขี้อิจฉาอยู่บ้างแต่ก็ต้องทน
"วางตรงนี้นะคะ" เธอวางแก้วกาแฟพร้อมจานรองลง จากนั้นก็ก้มหัวให้เขาแล้วถอยออกมาเพื่อไปทำงานของเธอต่อ
"เดี๋ยวสิ มานี่ก่อน"ชายวัยกลางคนลุกขึ้นแล้วยิ้มยียวน เขามองใบหน้าสวยงามและไล่ลงมาทุกส่วนจนถึงเรียวขาขาวเนียนที่โผล่พ้นกระโปรงลงมาแค่นิดหน่อยเท่านั้น
"คะ ผู้จัดการมีอะไรให้ฝันทำต่อสั่งได้เลยค่ะ"
"เลขาของผมที่ผ่านมาไม่มีใครเทียบได้กับคุณเลย" เขาพูดเสียงหวานแล้วเดินเข้ามาใกล้ พิมพ์ฝันถอยหนีแต่เขาก็ยังย่างก้าวเข้ามาหาช้าๆ จนหลังเธอติดกับตู้เอกสาร
"ขะ ขอบคุณค่ะ ถ้าไม่มีอะไรแล้วฉันขอตัวไปทำงาน" เธอเบี่ยงตัวหลบแต่กลับถูกตาแก่ตัณหาดึงเข้าไปกอด
"หืม จะไปไหนล่ะ รู้มั้ยเป็นเลขาฉันยังไงก็ต้องสนองฉัน"
"ปล่อยนะ!" เธอผลักเขาเต็มแรง แต่ก็สู้แรงไม่ได้ มือไม้ของเขาเริ่มปัดป่ายไปทั่ว
เอาว่ะ เป็นไงเป็นกัน
ปึก!
"อั๊ก! นังตัวดี"
พิมพ์ฝันยกเข่าขึึ้นแทงตรงหว่างขาของผู้ชายหื่นกามคนนั้นแล้วรีบวิ่งออกมาจากห้องทันที สายตาของพนักงานมองท่าทางของเธออย่างตกใจ
เธอทนทำงานทุกอย่างได้ ไม่ว่ามันจะเยอะจะหนักแค่ไหน แต่เธอจะมาเป็นนางบำเรอให้ใครไม่ได้แน่
เพราะครั้งหนึ่งในชีวิต เธอเคยพลาดมาแล้ว
พิมพ์ฝันเดินตรงไปที่ห้องฝ่ายบุคคลอย่างรีบร้อน เธอเปิดประตูเข้าไปทั้งที่ไม่ได้เคาะ ตอนนี้เธอไม่สนอะไรทั้งนั้น ความกลัว ความโมโหมันกำลังสั่งการให้ลืมเรื่องมารยาทไปแล้ว
"มีอะไรคุณเธอ" สาวหัวหน้าพนักงานฝ่ายบุคคลถามขึ้นด้วยสายตาไม่เป็นมิตรนัก
"ขอใบลาออก ออกด่วนค่ะ"
"เพื่อนเล่นหรือไง เธอต้องบอกล่วงหน้าหนึ่งเดือน กลับไปทำงานซะ!" เธอด่าเสียงแหลมแต่นั่นไม่ได้ทำให้พิมพ์ฝันกลัวเลยซักนิด
เธอเดินไปตรงหน้าของพนักงานคนนั้น แล้วพูดขึ้นอย่างเด็ดขาด
"ถ้าคุณไม่จัดการให้ฉัน ฉันจะฟ้องผู้จัดการของคุณว่าลวนลามฉัน"
"..."
"จัดการให้ฉันหน่อยค่ะ ฉันอยู่ไม่ได้จริงๆ"