9
“นั่นใครน่ะ”
“พี่เองครับแม่บัว”
“พี่พงศ์เหรอคะ” บัวยิ้มกว้างทันทีที่เห็นชายหนุ่มก้าวออกมายืนอยู่ตรงศาลาที่เธอนั่งตีขิมอยู่
“พี่มากวนหรือเปล่าครับ”
“ไม่กวนหรอกค่ะ พี่พงศ์มาเมื่อไหร่คะ”
“สักครู่แล้วครับ คุณแม่เอาของมาฝากคุณพ่อของแม่บัว พี่เลยออกมาเดินเล่น ให้ผู้ใหญ่เขาได้คุยกันครับ”
“ฉันมัวแต่เล่นขิม ไม่เห็นมีใครมาตาม จะได้ไปต้อนรับ”
“ทุกคนคงเห็นว่าแม่บัวเล่นขิมกระมัง เลยไม่มาตาม” เขานั่งลงบนศาลาไม่ไกลจากเธอนัก แต่ทิ้งระยะห่างไม่ให้ดูมองว่าน่าเกลียด
หากจริงๆ นั้นเขารู้ว่าบิดาของหญิงสาวเปิดโอกาสให้เขาได้อยู่ตามลำพังกับบุตรสาวของท่าน เพราะไหนๆ ก็เป็นคู่หมั้นคู่หมายกันตั้งแต่เล็กแต่น้อย
“พี่พงศ์อยากฟังเสียงขิมไหมคะ ฉันจะบรรเลงให้ฟัง”
“อยากฟังสิครับ” พงศ์อินทร์ผวาตื่นจากที่นอนหนานุ่ม เขาสดับรับฟังเสียงขิมที่ดังมาจากส่วนไหนสักแห่งของบ้าน เมื่อกี้เขาฝันไป สะดุ้งตื่นเพราะได้ยินเสียงขิมจริงๆ ไม่ใช่ความฝัน ทุกครั้งที่ฝันเขาจำต้องเหลือบไปมองแหวนพลอยนิลที่สวมติดตัวเอาไว้ทุกครั้ง อาจเพราะเมื่อก่อนเขาไม่เคยฝันเป็นเรื่องเป็นราวขนาดนี้ เขาเริ่มฝันเห็นเรื่องราวมากมายในอดีตและการแต่งตัวแปลกๆ ก็ตอนที่ได้แหวนพลอยนิลวงนี้มาสวมใส่ เขาเพิ่งรู้จากมารดาว่ามันเป็นมรดกตกทอดที่ลูกหลานเก็บเอาไว้ แต่ไม่มีใครกล้านำมาสวมใส่แม้แต่คนเดียว คงเป็นเขาคนแรกกระมังที่สวมใส่แหวนพลอยนิลวงนี้
ร่างสูงของชายหนุ่มเดินไปหยุดที่ริมหน้าต่าง เขาชะโงกหน้าออกไปเห็นหญิงสาวเจ้าของบ้านกำลังตีขิมอยู่ที่ศาลาริมน้ำ ความรู้สึกของเขาที่เกิดขึ้น ช่างคุ้นเคยเหมือนเห็นเธอตีขิมแบบนี้มาก่อน
ใช่... มันเหมือนความฝันเมื่อครู่ไม่มีผิดเพี้ยน พงศ์อินทร์ล้างหน้าล้างตา ก่อนจะเดินไปตามเสียงขิมที่บรรเลงอย่างไพเราะ เขาหยุดยืนมองเธออย่างเผลอไผล ศาลาตรงนี้เป็นศาลาทรงเดียวกับในรูป ด้านหลังของรูปภาพที่เขาได้มาจากร้านของลุงทองถมเป็นศาลาและแม่น้ำที่ทอดตัวเป็นสายสุดลูกหูลูกตา อีกทั้งบ้านเรือนที่อยู่ตามฝั่งแม่น้ำลำคลอง เท้าหนาของพงศ์อินทร์เผลอไปเหยียบกิ่งไม้จนทำให้บัวบุษบาชะงัก หันขวับมามอง พอเจอเขาเธอก็ยิ้มให้อย่างเป็นมิตรเจ้าหลงเห่าอยู่ใกล้ๆ เหมือนเป็นการทักทายมากกว่าจะกระโจนเข้าใส่หรือทำร้ายเหมือนดั่งเช่นคนอื่นๆ
“คุณพงศ์นั่นเอง”
“ขอโทษที่ทำให้คุณตกใจ”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ คุณตื่นแล้วเหรอคะ”
“คุณรู้เหรอครับว่าผมนอนหลับอยู่”
“ขอโทษนะคะ บัวว่าจะไปดูคุณเสียหน่อย เลยถือวิสาสะเปิดประตูเข้าไป แล้วคุณเผอิญเห็นคุณหลับอยู่ จึงไม่อยากรบกวนน่ะค่ะ” เธอบอกอย่างรู้สึกผิด ที่เข้าห้องเขาไปแบบนั้น
“ไม่เป็นไรหรอกครับ คุณเป็นเจ้าของที่พัก ต้องการดูแลแขก ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ผมเองเผลอหลับไปตอนไหนยังไม่รู้ตัวเลย” เขานั่งไม่ห่างจากเธอมากนัก เจ้าหลงหยุดเห่าและนอนฟุบลงกับพื้นเหมือนคอยฟังบทสนทนาอย่างน่าแปลกใจ บัวบุษบาเองที่มองว่าเจ้าหลงแปลกไป ปกติมันไม่ชอบให้คนแปลกหน้าเข้าใกล้เธอเท่าใดนัก
“คุณหิวหรือยังคะ...” เธอละสายตาจากเจ้าหลงมาเอ่ยถามแขกคนเดียวของที่นี่ พอคิดว่าเขาเป็นแขกคนเดียวเธอก็ห่อเหี่ยวยิ่งนัก แต่ก็ปลอบใจตัวเองว่ามันก็ดีกว่าไม่มีแขกเลยกระมัง อาจเพราะก่อนหน้านี้มีการฆ่ากันตายแถวๆ นี้ พวกวัยรุ่นหรือคู่อริทะเลาะกันยิงกันตายกระมัง ข่าวลือนี้เลยทำให้ไม่มีใครกล้ามาพักที่นี่ ทำให้เธอขาดรายได้ไปมากโข
“ยังไม่ได้เวลาอาหารเย็นเลยนี่ครับ”
“เผื่อคุณจะหิวน่ะค่ะ อาจจะไม่ได้เวลาอาหารเย็นแต่ตั้งโต๊ะก่อนได้นะคะ แขกคือคนสำคัญที่สุดค่ะ” เธอบอกอย่างเอาใจ ตอนนี้เขาต้องการอะไรเธอก็หามาให้ได้อยู่แล้ว
“ผมขอเดินดูรอบบ้านก่อนได้ไหมครับ”
“ได้สิคะ เดี๋ยวฉันจะพาคุณไปนะคะ” เธอรีบลุกขึ้น กลิ่นหอมโชยมาจากร่างของเธอ จนพงศ์อินทร์ต้องหลับตาเพื่อสูดดมกลิ่นหอมนั้นเสียเต็มปอด
“หอมจังครับ”
“คะ” เธอหันมามองหน้าเขาอย่างแปลกใจ
“ผมหมายถึงดอกไม้ที่นี่กลิ่นหอมจังเลยครับ”
จริงๆ เขาอยากจะบอกว่าเธอหอมมาก กลิ่นเธอเหมือนดอกไม้ ดอกแก้ว ดอกมะลิ ดอกกุหลาบ หรือดอกจำปีจำปากันนะ เขาว่ามันหอมเหลือเกิน หอมคลุกเคล้ากันไปเสียทุกกลิ่น เหมือนเอาดอกไม้หลายๆ กลิ่นมารวมกันแล้วเป็นกลิ่นหอมเฉพาะกายของเธอ
“ดอกจำปีจำปาน่ะค่ะ ดอกพิกุลก็มีนะคะ ที่นี่มีดอกไม้ที่มีกลิ่นหอมปลูกเอาไว้มากมายเลย คุณพงศ์คงได้สูดกลิ่นดอกไม้หอมๆ แบบนี้ทุกวันเลยค่ะ”
เธอเดินนำเพื่อพาเขาชมสวนดอกไม้ เขาเดินมาเคียงข้างเธอ มองสวนรอบๆ ข้างอย่างเชื่องช้าเพื่อเก็บบรรยากาศงดงามและสูดกลิ่นหอมๆ ของดอกไม้พวกนั้นเข้าปอด พงศ์อินทร์มองดอกไม้กลิ่นหอมนานาพันธุ์ รวมถึงไม้ยืนต้นที่มีดอกสะพรั่งเต็มต้น ให้กลิ่นหอมอ่อนโยนและเย็นใจ
“ผมขอมานั่งวาดรูปบ้านและสวนของคุณได้ไหมครับ”
เขามองทัศนียภาพรอบกายแล้วอยากจะเก็บภาพสวยๆ แบบนี้เอาไว้ คิดถึงน้องชายแว๊บขึ้นมาในหัว หากพชรเห็นบรรยากาศแบบนี้ก็คงไม่ลืมเก็บภาพสวยๆ เอาไว้เหมือนเขาเช่นกัน แต่อีกรูปแบบหนึ่ง ซึ่งเป็นรูปถ่ายนั่นเอง
“ได้สิคะ ฉันยินดีและเต็มใจค่ะ” เธอยิ้มอ่อนโยนให้เขา
“ถ้าผมจะขอให้คุณเป็นนางแบบให้ผมด้วยจะได้ไหมครับ” เขามองสบตาเธอนิ่ง บัวบุษบาสบตาเขาแล้วรู้สึกสะเทิ้นอาย ก่อนจะรับคำด้วยความเต็มใจ
“ได้สิคะ” เธอออกเดินต่อ พาเขาเดินผ่านสวนดอกไม้นานาพันธุ์ไปยังบ้านหลังเล็กๆ ที่เป็นที่พักสำหรับแขก
“ดูจากสภาพบ้านแล้ว ที่นี่น่าจะสร้างมานานแล้วนะครับ”
“ใช่ค่ะ แต่พวกเราบูรณะซ่อมแซมให้ดูใหม่อยู่เสมอค่ะ มีบางส่วนก็ต่อเติมเข้าไปด้วยค่ะ น่าเสียดาย...” บัวบุษบาพูดอย่างใจหาย
“เสียดายอะไรครับ”
“ฉันเป็นทายาทรุ่นที่ไม่เอาไหนน่ะสิคะ ไม่ได้ดูแลอะไรเลย” เธอพูดอย่างเศร้าใจ
“ทำไมล่ะครับ”
“ช่วงหลังๆ ไม่มีแขกมาพักเลยค่ะ บางครั้งฉันก็คิดว่ามันเกินความสามารถของฉันที่จะดูแล แต่ที่นี่ก็เป็นสมบัติตกทอดของบรรพบุรุษ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ฉันก็ต้องดูแลมันให้ดีที่สุดค่ะ” เธอมองรอบกาย ตอนบิดามารดายังอยู่ที่นี่ไม่ได้เป็นแบบนี้ ทั้งมีแขกมาพัก ทั้งมีเม็ดเงินไหลเข้ามาพอสมควร แต่เพราะมรดกตกทอดเก่าแก่ของตระกูลมารดากระมังครอบครัวของเธอจึงมีฐานะไม่ได้ลำบากเหมือนทุกวันนี้ ตกทอดมาถึงรุ่นเธอนี่แหละ ทุกอย่างถึงได้ซบเซา
จริงๆ แล้วเธอได้กลับมาเยี่ยมบ้านที่อยุธยาแค่ช่วงปิดเทอมเท่านั้น เพราะต้องไปอยู่กับคุณย่าที่ภาคอีสาน พอคุณย่าเสียชีวิตนั่นแหละ เธอเลยกลับมาอยู่ที่อยุธยา และไม่นานบิดามารดาก็มาเสียชีวิตลงไปในเวลาไล่เลี่ยกัน จึงเหลือแค่พี่ชายคนเดียวที่เธอคิดว่าเป็นที่พึ่งสำหรับเธอได้ เธอไม่ใคร่จะสนิทกับพี่ชายนัก เพราะแยกกันอยู่ตั้งแต่เด็ก จึงไม่ค่อยรู้นิสัยใจคอหรือความเป็นมาอะไรของอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย
“สมัยก่อนครอบครัวของคุณคงจะร่ำรวยมากนะครับ” เพราะข้าวของเครื่องใช้และบ้านเรือนไทยหลายหลังบ่งบอกถึงฐานะของเจ้าของดี
“คุณทวดของฉันเป็นเศรษฐีน่ะค่ะ สมัยนั้นท่านค้าขายจนร่ำรวย แต่พี่ชายของฉัน...” เธอชะงักเพราะเพิ่งรู้ตัวว่าเล่าเรื่องครอบครัวให้คนนอกฟังมากไป
“มีอะไรให้ผมช่วยก็บอกได้นะครับ” เขาอาสาอย่างมีน้ำใจ เมื่อเธอไม่เล่าต่อเขาจึงไม่อยากซักไซ้ให้เธออึดอัดอะไรอีก
“ฉันไม่รบกวนคุณหรอกค่ะ คุณเป็นแค่แขกมาพัก ฉันเอาเรื่องไม่เป็นเรื่องมาเล่าให้ฟัง ก็ไร้สาระมากพอแล้ว” เธอบอกอย่างเกรงใจ เผลอตัวเผลอใจเล่าให้เขาฟังเพราะรู้สึกไว้วางใจเขา ทั้งๆ ที่เธอกับเขาเพิ่งเคยเจอกันครั้งแรก ไม่นับรวมความฝันที่ไม่สามารถบอกเขาได้ในตอนนี้